บทที่ 94 ไฉนดวงตาข้าจึงมักจะมีน้ำตาอยู่ร่ำไป?
ภายในห้องศิลา จั่วม่อนั่งอยู่ในท่วงท่าดอกบัว ดวงตาพริ้มหลับ ลูกไฟหินงอกลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า เห็นไข่มุกหยินอยู่ภายในลูกไฟสีขาวน้ำนม
สองมือแปรเปลี่ยนท่ามุทราเป็นลำดับ พลังปราณปะทุเข้าสู่เปลวไฟตามการเคลื่อนไหวของกระบวนท่าดรรชนี
กุญแจสำคัญในการหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์ไม่ใช่พลังปราณ แต่เป็นพลังจิตสำนึก จั่วม่อใช้พลังจิตสำนึกควบคุมเปลวไฟอย่างระมัดระวัง เวทวิชานี้ซับซ้อนถึงที่สุด มันรู้สึกทันทีว่านี่เป็นภาระที่ลำบากยากเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทนรักษาสภาพนี้ไว้ราวๆ ครึ่งชั่วยาม จั่วม่อผู้น่าเวทนา ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าโดยทั่วไปแล้ว กระบวนการหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์ ไม่ใช่สิ่งที่ซิวเจ่อด่านจู้จีตัวน้อยๆ เช่นมันจะสามารถกระทำสำเร็จได้
ไม่มีผู้ใดบอกมัน ผูเยาไม่ได้บอก ในตำรามุกหยินประลัยกัลป์ก็ไม่ได้เขียนเอาไว้
หากมันทราบ แน่นอนว่าคงไม่เสียเวลาทดลองดู
บางครั้งคนโง่มักไม่จักความกลัว จั่วม่อผู้ไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยแม้แต่จะฉุกใจคิดว่าพลังบำเพ็ญเพียรของมันเพียงพอจะหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์หรือไม่ มันทำตามคำบรรยายในตำรามุกหยินประลัยกัลป์อย่างเชื่องเชื่อ ค่อยๆ ผนึกมุทราหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์อย่างระมัดระวัง
อักขระยันต์ลึกลับเปล่งแสงลอยเข้าไปในไฟหินงอกทีละตัวๆ เจาะลึกเข้าไปในไข่มุกหยิน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าไฟหินงอกหรือไข่มุกหยินก็ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขึ้น
เวลาเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หยดเหงื่อค่อยๆ ผุดพรายบนหน้าผากจั่วม่อ
พลังปราณถูกเผาผลาญเร็วเกินไปแล้ว!
หากยังเผาผลาญด้วยระดับความเร็วเช่นนี้ พลังปราณในร่างมันจะเหือดแห้งอย่างรวดเร็วเกินเชื่อ และหากไม่สามารถคงสภาพพลังปราณไว้ได้ ไข่มุกหยินเม็ดนี้คงไม่แคล้วต้องพินาศย่อยยับเป็นผุยผง
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจ ภาพทิวป่าของป้ายประกาศ ’รับซื้อไข่มุกหยินด้วยราคาสูง’ ในตลาดเสรีก็ลอยขึ้นมาด้วย สิ่งของที่กระทั่งปรมาจารย์จินตันยอมจ่ายราคาสูงเพื่อซื้อหา ลองคิดถึงมูลค่าดูสิ! ยิ่งนึกมากเท่าไรจั่วม่อก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากเท่านั้น มันคล้ายเห็นภาพจิงสือนับไม่ถ้วนโบกมืออำลา และพากันบินห่างออกไปไกลแสนไกลสุดสายตา
บัดซบ!
อย่างที่คาดไว้เลย สิ่งของของผูเยาไม่น่าเชื่อถือจริงๆ! ตำรามุกหยินประลัยกัลป์บ้าบออันใด นี่มันตำราแห่งความผิดพลาดชัดๆ! ไม่เช่นนั้นจะอธิบายสถานการณ์นี้ว่าอย่างไร?
จั่วม่อทั้งแตกตื่นลนลาน ทั้งโมโหโทโส และไม่ยินยอมพร้อมใจ!
แม้ว่าตอนนี้ชีวิตมันจะไม่ตกอยู่ในอันตราย แต่จิงสือมากมายกำลังโบกมืออำลาต่อมัน นี่จะต่างอันใดกับถูกมีดหลายเล่มรุมแทงซ้ำๆ หากไม่ติดว่ามันกำลังอยู่ในกระบวนการหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์ จั่วม่ออาจแล่นไปหาผูเยาเพื่อถกเถียงสักครา
ในเวลาเดียวกัน ในทะเลแห่งจิตสำนึก ผูเยาเงยหน้าขึ้น กล่าวราวกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องว่า “เริ่มทดลองหลอมสร้างเร็วถึงเพียงนี้เชียว? คนหนุ่มสาวนี่ช่างกระตือรือร้นนัก เต็มไปด้วยแรงขับเคลื่อนดีจริงๆ อ้า!” จบคำ มันก็พริ้มตาหลับลงอีกครั้ง ทอดอารมณ์ฟังอินกุยอย่างสบายใจ
หากจั่วม่อได้ยินประโยคนี้ มันจะต้องกระอักเลือดออกมาสักครึ่งตัว จั่วม่อผู้น่าสังเวช ยังคงไม่ทราบสถานการณ์ของตนเอง มันได้แต่เชื่อมั่นเท่านั้นว่าไม่ได้อ่านสิ่งใดผิดพลาดไปสักคำ
แต่สถานการณ์เร่งด่วนตรงหน้ามันนี้ แตกต่างไปจากที่บรรยายไว้ในตำรามุกหยินประลัยกัลป์อย่างสิ้นเชิง หากว่าตามตำรา มันเพียงต้องยืนหยัดให้ได้ครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่เวลานี้พลังปราณในร่างกายแทบจะเกลี้ยงฉาดอยู่รอมร่อ รอเดี๋ยว... หรือว่าพลังบำเพ็ญเพียรของมันจะไม่พอ? จั่วม่อในที่สุดตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงเสียที แต่ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปไม่น้อย
ท้ายที่สุดจั่วม่อก็ไม่เต็มใจที่จะรับการสูญเสียไข่มุกหยินเม็ดนี้ ต้องขบกรามแน่นและตั้งใจมั่น มันจะทำต่อไปเท่าที่สามารถทำได้! จะอย่างไรก็ไม่อาจยืนเฉยๆ เบิกตามองไข่มุกหยินเม็ดนี้เสียเปล่าไปได้ ทันใดนั้นพลันนึกถึงในกระบวนการหลอมกลั่นโอสถ มันเคยใช้พลังแห่งจิตสำนึกคอยสังเกตการณ์เม็ดยา จึงแบ่งจิตสำนึกส่วนเล็กๆ ออกมาส่วนหนึ่ง ใช้จิตสำนึกส่วนนี้คอยเฝ้าระวังและควบคุมพลังปราณในร่างกายของตน
การเผาผลาญพลังปราณลดน้อยลงทันที อย่างไรก็ตาม หากยังเป็นไปในสภาพนี้ มันก็ยังคงทำไม่สำเร็จอยู่ดี
จั่วม่อกัดฟันแน่น แบ่งจิตสำนึกออกมาอีกส่วนหนึ่ง ใช้ควบคุมพลังปราณขุมเล็กๆ อย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับพลังปราณที่ไหลเวียนตามท่ามุทราซึ่งแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา จั่วม่อชักนำพลังปราณขุมเล็กๆ นี้ไปยังจุดหย่งเฉวียนที่ฝ่าเท้า หากไม่มีเศษเสี้ยวจิตสำนึกส่วนนี้ จั่วม่อย่อมไม่มีปัญญาควบคุมพลังปราณขุมเล็กๆ นี้ได้ เพียงแค่กระบวนท่าดรรชนีที่ไม่สามารถหยุดชะงักขาดตอน ก็เพียงพอที่มันจะสำรอกออกมาเป็นเลือด แต่มันเมื่อสามารถแบ่งแยกจิตสำนึกออกมา ก็สามารถทำสามสิ่งได้พร้อมๆ กัน
เมื่อจิตใจถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน จั่วม่อรู้สึกอึดอัดมาก เพียงชั่วครู่เท่านั้น มันก็รู้สึกศีรษะเจ็บปวดอย่างรุนแรง
เป็นความเจ็บปวดที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง!
กาลก่อน ตอนที่จิตสำนึกของมันถูกผ่าครึ่งด้วยเจตจำนงกระบี่ของอาจารย์ลุงซินหยาน ก็เป็นความรู้สึกเช่นนี้เอง นั่นเป็นช่วงเวลาที่มันตกลงไปในกับดักของผูเยา จนต้องฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด
แต่หนนี้เพื่อจิงสือ! เพื่อไข่มุกหยิน!
จั่วม่อทนได้!
ทุ่มเทความพยายาม ควบคุมพลังปราณขุมเล็กๆ ตรงไปยังจุดหย่งเฉวียน แล้วบังคับให้พลังปราณขุมนั้นเริ่มหมุนวนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเร่งเร้าพลังปราณ พลังปราณขุมเล็กๆ ก็หมุนวนเร็วขึ้น เร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ก่อตัวเป็นวังวันเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ฝ่าเท้าดูเหมือนจะบังเกิดแรงดึงดูดขุมหนึ่ง ปราณธรรมชาติในบริเวณโดยรอบคล้ายค่อยๆ ไหลมายังวังวนเล็กๆ นี้
นี่เป็นสิ่งที่จั่วม่อไม่เคยลองทำมาก่อน แต่เพื่อจิงสือ มันไม่แยแสสนใจอะไรมากนัก จะว่าไปแล้ว วิธีนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากกระบวนท่าเจ็ดวังวนของเพลงกระบี่เพลิงธารา หากยังดูดซับปราณธรรมชาติด้วยอัตราความเร็วตามปกติ เช่นนั้นย่อมไม่มีทางทันต่อการเผาผลาญในปัจจุบัน ในความอับจนหนทาง จั่วม่อพลันบังเกิดความคิดเสี่ยงอันตรายขึ้นมา
การหมุนวนพลังปราณที่ฝ่าเท้าทวีความเร็วขึ้นทุกขณะ ปราณธรรมชาติค่อยๆ ถูกดูดเข้าไปในใจกลางวังวน
เมื่อปราณธรรมชาติถูกดูดเข้าไปในวังวนเล็กๆ นี้ วังวนก็ขยายใหญ่ขึ้น ความเร็วก็น่าตกใจมากยิ่งขึ้น ปราณธรรมชาติในห้องศิลาเริ่มหมุนวนคล้ายถูกลากดึง พากันถาโถมเข้าไปในวังวนใต้ฝ่าเท้าของจั่วม่อเป็นปริมาณมหาศาล
ซี่!
จั่วม่อสูดลมหายใจอย่างเจ็บปวด ไฟหินงอกที่ลอยอยู่ตรงทรวงอกสะท้านเฮือก แทบจะระเบิดกระจัดกระจายไป
มันรู้สึกคล้ายเล็บแหลมคมแทงขึ้นจากพื้น กระแทกทะลวงใส่ฝ่าเท้าของมันไม่หยุดยั้ง จุดหย่งเฉวียนแม้เป็นจุดชีพจรสำคัญแห่งหนึ่งในร่างกาย แต่จั่วม่อไม่เคยใช้ดูดซับปราณธรรมชาติมาก่อน บัดนี้เมื่อจู่ๆ ก็ใช้งานมันอย่างหนักหน่วงถึงเพียงนี้ หากไม่เจ็บปวดปางตายก็แปลกไปแล้ว!
แต่เพื่อจิงสือ เกอจะทน!
จั่วม่อเต็มไปด้วยความโศกเศร้า โคจรพลังปราณอย่างบ้าคลั่ง เร่งการดูดกลืนปราณธรรมชาติให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก ปราณธรรมชาติในอากาศ เมื่อดูดซึมเข้าไปในร่างกาย จำเป็นต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองขัดเกลาเสียก่อน จึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นพลังบำเพ็ญเพียร ปราณธรรมชาติยิ่งกลั่นกรองขัดเกลาจนบริสุทธิ์มากเท่าใด ก็จะยิ่งแข็งแกร่งทรงพลังและควบคุมได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ แต่เวลานี้จั่วม่อย่อมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ พลังปราณแม้ไม่บริสุทธิ์นัก จะอย่างไรยังคงเป็นพลังปราณ อย่างน้อยสามารถแก้ไขวิกฤติการณ์เฉพาะหน้านี้ได้ มันราวกับผู้ที่หิวโหยมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปราณธรรมชาติเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อยเพียงใด ก็ดึงดูดมาอย่างตะกละตะกลามจนหมด
ด้วยพลังปราณที่เติมเข้ามาใหม่นี้ จั่วม่อในที่สุดค่อยโล่งใจได้บ้าง
มุกหยินประลัยกัลป์ที่หลอมสร้างออกมาจะมีคุณภาพอย่างไร ถึงขั้นนี้จั่วม่อไม่คิดพิจารณาอีก แค่สามารถหลอมสร้างสำเร็จมันก็ขอบคุณฟ้าดินมากแล้ว
ชีวิตของเกอเป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่ร่ำไป! จั่วม่อทั้งเดือดดาลทั้งสลดใจ ตอนที่ดูดซึมไฟหินงอก มันก็แทบจะสังเวยชีวิตน้อยๆ ของมันไป พอมาหลอมสร้างมุกหยินประลัยกัลป์ ยังต้องมาทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ ความเจ็บปวดทะลวงจากฝ่าเท้าขึ้นมาถึงขั้วหัวใจ จิตสำนึกที่แบ่งออกเป็นสามส่วนก็เจ็บร้าวสุดจะทานทน ซ้ำพลังปราณที่ไม่บริสุทธิ์ พอไหลเวียนผ่านเส้นชีพจรปราณยิ่งเจ็บปวดรุนแรงจนน้ำตาร่วง...
ไฉนดวงตาข้าจึงมักจะมีน้ำตาอยู่ร่ำไป นั่นเป็นเพราะข้ารักจิงสือสุดหัวใจ...
อ๊าก เจ็บเหลือเกิน!
จั่วม่อรู้สึกตกใจที่มันยังมีเวลาคิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แต่ในไม่ช้ามันก็ไม่มีอารมณ์คิดอีก ปราณธรรมชาติที่ไม่ถูกกลั่นกรองนั้นควบคุมยากกว่าเดิมมาก เวทวิชาที่ก่อนหน้านี้ยังใช้ออกอย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นลำบากยากเย็นถึงที่สุด สภาพในร่างกายมันอยู่ในสมดุลที่ละเอียดอ่อน ประมาทเพียงเล็กน้อย สภาวะสมดุลนี้จะพังทลาย นำไปสู่การล้มเหลวอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นมันจึงพกพาความเจ็บปวดและน้ำตานองหน้า รักษาสภาวะสมดุลในร่างกายอย่างระมัดระวัง
ภายในห้องศิลา จั่วม่อดุจวังวนหฤโหดขุมหนึ่ง ปราณธรรมชาติม้วนตัวถาโถมเข้าหามันไม่ขาดสาย
ยิ่งปราณธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายมันเท่าใด ไฟหินงอกตรงหน้าก็ยิ่งทวีพลังขึ้นเท่านั้น
แม้จะไม่มีลม แต่เสื้อผ้าของจั่วม่อก็กระพือไปด้านหลัง สะบัดพลิ้วอย่างรุนแรง เม็ดเหงื่อบนหน้าผากรวมตัวเป็นสาย ไหลหลั่งลงมาไม่ขาดสาย กระทั่งปราณธรรมชาติในห้องศิลายังไม่อาจทนต่อการดูดกลืนอย่างคลุ้มคลั่งของจั่วม่อได้ ถูกกวาดไปจนเกลี้ยงเกลา มีเพียงปราณธรรมชาติจากเส้นชีพจรปราณปฐพีเท่านั้น ที่ยังคงพุ่งเข้าสู่จุดหย่งเฉวียนใต้ฝ่าเท้าของจั่วม่ออย่างไม่หยุดยั้ง
ใต้ฝ่าเท้าของจั่วม่อยามนี้แดงฉานราวกับโลหะร้อนฉ่า หากผู้ใดเพ่งพิศดูใกล้ๆ จะพบว่ายามนี้ขาที่แข็งกระด้างข้างนั้นราวกับเป็นโรคลมชัก กระตุกกึกๆ เป็นจังหวะอย่างถี่ยิบ
ในที่สุดเมื่อผนึกมุทราท่วงท่าสุดท้ายของเวทวิชา ส่งอักขระยันต์เข้าสู่ไฟหินงอกสำเร็จ จั่วม่อมิอาจฝืนยืนหยัดได้อีกต่อไป ต้องกระแทกนั่งลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง
มันเหน็ดเหนื่อยจนแทบไม่อยากขยับแม้แต่ปลายนิ้ว ทั้งร่างราวกับคางคกถูกเลาะเส้นเอ็น แขนขากระตุกแปลกๆ เป็นครั้งคราว
เจ็บเหลือเกิน!
พอนอนราบลงไป มันครวญครางออกมาทันที ความเจ็บปวดรุนแรงจนน้ำตาร่วงในเส้นชีพจร ความเจ็บร้าวสุดทานทนในจิตสำนึก และความเจ็บปวดทะลวงขั้วหัวใจจากใต้ฝ่าเท้า ทั้งหมดเตือนให้ทราบว่าสภาพของมันย่ำแย่ถึงเพียงไหน
หลังจากคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง จั่วม่อดิ้นรนยันร่างขึ้น คืบคลานเข้าไปหยิบมุกหยินประลัยกัลป์
จากไข่มุกหยินสีเทาหม่น ยามนี้ดูราวกับผลึกแก้วใส มีลวดลายสีขาวอยู่ภายใน คลับคล้ายกลุ่มเมฆล่องลอยบนฟ้าคราม
งดงามยิ่ง!
จั่วม่อดวงตาทอแววลุ่มหลงมึนเมา มันรู้สึกว่าความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวลล้วนคุ้มค่าแล้ว แม้ไม่ทราบว่ามุกหยินประลัยกัลป์เม็ดนี้ทรงพลังปานใด แต่มองไข่มุกอันงดงามถึงเพียงนี้ และนึกถึงความยากลำบากปางตายในกระบวนการหลอมสร้าง มันยังจะสามารถหักใจใช้มุกเม็ดนี้เพื่อทดสอบพลังอีกหรือ?
แน่นอนว่าไม่ จั่วม่อเก็บมุกหยินประลัยกัลป์เม็ดแรกของมันไว้ราวกับสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
จากนั้นตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็กรีดร้องออกมาคำหนึ่ง ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด เท้าขวาของมันบวมเป่งดุจเท้าช้าง เพียงแค่ก้าวเดินเบาๆ สัมผัสพื้นเพียงเล็กน้อย จะส่งผลให้เจ็บปวดดุจถูกแข็มแทงลึกเข้าไป
นกตายเพราะอาหาร คนตายเพราะความโลภอย่างแท้จริง!
จั่วม่อถอนใจสะทกสะท้อน งอขาข้างที่เจ็บ กระโดดเขย่งขาท่าแปลกๆ ออกจากห้องศิลา
สำหรับมุกหยินประลัยกัลป์เม็ดนี้ มันจ่ายด้วยราคาที่หนักหน่วงไม่น้อย อาการบาดเจ็บในจิตสำนึกไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการ เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดเชี่ยวชาญในการเยียวยารักษาบาดแผลในจิตสำนึกอยู่แล้ว สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือความเสียหายในเส้นชีพจรปราณ จั่วม่อต้องวิ่งไปยังเรือนขิงหอม เสาะหาสวี่ฉิง เพื่อร้องขอโอสถปราณบางชนิด ซึ่งสามารถเยียวยาอาการเส้นชีพจรปราณฉีกขาดได้อย่างช้าๆ โชคยังดี ที่สำหรับผู้ฝึกตน ชีพจรปราณบาดเจ็บแม้ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ดังนั้นสำนักไม่ได้ขาดแคลนเรื่องการรักษาอาการนี้
เมื่อสวี่ฉิงพบเห็นสภาพน่าอนาถของจั่วม่อ ต้องตะลึงลานสุดระงับ
เวลานี้ชื่อเสียงของศิษย์พี่จั่วม่อขจรขจายไปไกล อย่างน้อยชื่อของผีดิบจอมลอกคราบก็เป็นที่รู้จักกันดีในบริเวณโดยรอบสำนักกระบี่สุญตา กระทั่งเหล่าผู้ผลาญจิงสือแห่งพรรคอัจฉริยะปราณยังเงียบหายไปหลายวัน ไม่หาญกล้ามาท้าทายอีก แล้วผู้ใดเล่นงานศิษย์พี่จนสะบักสะบอมถึงเพียงนี้ได้?
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่นางต้องถาม นางรีบนำเม็ดยาห้าเม็ดออกมาส่งให้จั่วม่อ มองมันรับเม็ดยาและเตรียมจะหมุนตัวจากไป นางลังเลแวบหนึ่ง ค่อยกล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ เม็ดยาเหล่านั้นเม็ดละหนึ่งชิ้นจิงสือระดับสาม รวมทั้งหมด ห้าชิ้นจิงสือระดับสาม”
จั่วม่อขาเดียวสะท้านขึ้นทั้งร่าง แทบล้มคว่ำลง หนนี้มันขาดทุนหนักอย่างแท้จริง! เวลานี้มันไม่มีจิงสือติดตัวสักชิ้น ได้แต่โบกมือ กล่าวว่า “ลงบัญชีไว้!”
จิงสือหนึ่งชิ้นเหยียดหยามวีรบุรุษ!
“อ้อ” สวี่ฉิงผงกศีรษะรับ จากนั้นเตือนว่า “ศิษย์พี่ กำหนดชำระเงินภายในสิบวัน อย่าได้ลืม! ศิษย์พี่ยังมีหนี้สินอีก อืม ให้ข้าดูก่อน...” กล่าวพลางหยิบสมุดบัญชีเล่มเล็กออกมา พลิกผ่านๆ สองสามหน้า อ่านให้ฟังว่า “ค่าวัตถุดิบที่ศิษย์พี่ใช้หลอมกลั่นโอสถยังไม่ได้ชำระ รวมกับเม็ดยาเมื่อครู่ ทั้งหมดสามสิบชิ้นจิงสือระดับสาม!”
จั่วม่อรู้สึกเบื้องหน้ามืดทะมึน...