SH – 7 ความสามารถที่ซ่อนอยู่
SH – 7 ความสามารถที่ซ่อนอยู่
เหยี่ยซ่าวหยาง รู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าดาบเล่มนั้นเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในนิกายเหม่าซาน ด้วยอาวุธนี้ทำให้ เหยี่ยซ่าวหยาง เหมือนติดปีกบินโบยบินไปในอากาศ เขาสามารถอวดคนอื่นได้ทุกที่ที่เขาไป แต่เรื่องที่ต้องออกเดินทางเป็นระยะเวลา 5 ปี ... เขาค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลังละกัน
“เอาหล่ะ ตอนนี้อาจารย์บอกทุกอย่างที่ควรรู้ไปหมดแล้ว จากนี้ต่อไปจะทำยังไงก็แล้วแต่นาย ไม่ต้องมาหาอาจารย์ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ต้องมาเมื่อมีเรื่องสำคัญด้วย ตอนนี้เป็นเวลาดีที่อาจารย์จะได้พักผ่อนแล้ว” ชิงหยุ่นซื่อมอบรอยยิ้มและเหลือบตาใส่เขาแล้วกระแอมขึ้นมาว่า “แค่ก แค่ก สิ่งสุดท้าย”
เหยี่ยซ่าวหยาง หันมาสนใจอีกครั้ง เขาคิดว่าคำแนะนำสุดท้ายต้องสำคัญมากๆ ชิงหยุ่นซื่อมีสีหน้าจริงจังมาก จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาต้องการให้ เหยี่ยซ่าวหยาง กลายเป็นหัวหน้านิกายเหม่าซาน ?
“อ่า ... เบอร์โทรศัพท์ที่นายได้ .. ผู้หญิงน่ารักๆที่นายรู้จัก ฮี่ฮี่ ทำไมไม่ทิ้งมันไว้ให้อาจารย์หล่ะ? อาจารย์จะช่วยดูลายมือให้เอง”
เหยี่ยซ่าวหยางใจตกไปอยู่ตาตุ่ม “อาจารย์ พูดจริงดิ?”
เมื่อถึงเวลาตกเย็นที่มหาวิทยาลัยสโตนท์....
มีเด็กหนุ่มแต่งกายด้วยชุดฉางเชียน ยืนอยู่ด้านหน้าทางเข้าโรงเรียน เขาใส่รองเท้ามือสองราคาถูกๆและเขาแบกห่อของบนบ่าของเขา ชายหนุ่มจ้องมองไปที่ตัวอักษรสีทองที่เป็นชื่อของสถาบันแล้วส่ายหัวอย่างงุนงง หลังจากนั้นเขาก็เดินตรงเข้าไป......
ในเวลาที่เขาเดินเข้าไป เวลานั้นเป็นเวลาพักเที่ยง เขาเห็นเด็กนักเรียนเดินออกจากอาคาร ซึ่งเป็นที่แน่นอน ว่ามีสาวสวยเดินอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ในตอนนี้ไม่มีอะไรสามารถอธิบายความปลื้มปิติยินดีของเหยี่ยซ่าวหยางได้ เขาใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาเป็นเวลา 10 ปีโดยไม่มีผู้หญิงเลย ในที่สุดความฝันเป็นจริงแล้ว เขาหยุดมองผู้หญิงที่สวยที่สุดและถามทางจากเธอเพื่อไปที่สำนักงานอาจารย์ใหญ่ ในขณะที่เขาเดินตรงไปที่สำนักงานของอาจารย์ใหญ่ที่แห่งนั้นตั้งอยู่ใจกลางของสถานศึกษา.......
“ค .. คุณคือนักบวชเต๋า ห .. เหยี่ย?” ชายคนหนึ่งเอ่ยถามออกมา เขาเป็นชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะสำนักงาน เขายิ้มในขณะที่เขาพยายามเอื้อมมือไปจับมือกับ เหยี่ยซ่าวหยาง “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับครับ คุณต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางรึปล่าว ?”
“ยินดีที่ได้รู้จักอาจารย์ใหญ่ซูครับ ผมชื่อเหยี่ยซ่าวหยางครับ การเดินทางสบายมากครับผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย !” เหยี่ยซ่าวหยาง ตอบกลับพร้อมกับจับมือกับอาจารย์ใหญ่อย่างสุภาพ
อาจารย์ใหญ่หัวเราะและเชิญเหยี่ยซ่าวหยางนั่งหลังจากนั้นก็สั่งให้เลขาของเขาเตรียมน้ำชามาให้ในขณะเดียวกันเขาเริ่มเปิดการสนทนากับเหยี่ยซ่าวหยางอย่างกระตือรือร้น.......
“มาเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายเหม่าซานตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ คุณต้องไม่ธรรมดาแน่เลย นักบุญเต๋าเหยี่ย ฮ่าฮ่า ไม่ต้องทำหน้างงใส่ผมหรอกครับ ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่ผมเชื่อ ถ้าไม่ได้อาจารย์ของคุณช่วยผมไว้และทำให้ผมกลับมารวยแบบนี้อีกครั้ง ผมคงไม่ได้อยู่ดีมีสุขมาทุกวันนี้ แล้วเมื่อก่อนผมมีปัญหาใหญ่เพราะวิญญาณร้าย แต่ตอนนี้ดูสิ ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมจะพกเครื่องรางเรียกทรัพย์นี้ไปทุกที่เลย”
อาจารย์ใหญ่ซู นำกระเป๋าตังค์เขาออกมาแล้วโชว์เครื่องรางเรียกทรัพย์ให้ผมดูอย่างระมัดระวัง เขาทำเหมือนกับว่ากำลังถือสมบัติล้ำค่าไว้ในมือ
เพียงแวบเดียวเท่านั้นเหยี่ยซ่าวหยางเกือบจะกลั่นหัวเราะไม่ไหวสิ่งที่เขาเรียกว่า เครื่องรางเรียกทรัพย์นั้น จริงๆแล้วมันเป็นเพียงสิ่งที่ชิงหยุ่นซื้อทำขึ้นในร้านขายสิ่งพิมพ์ที่ตีนเขาของเขาเหม่าซานเท่านั้น จริงๆมันผ่านมา 10 ปีแล้ว เขาได้บอกแก่ผู้ศรัทธาว่า เครื่องรางนี้ได้ทำการปลุกเสกแล้ว นอกจากนี้ เขายังขายเครื่องรางเหล่านี้ในราคา ร้อยดอลล่าร์เศษต่อชิ้นด้วย ดังนั้นหลังจบวันนั้นคนที่มั่งคั่งร่ำรวยจริงๆคือ ชิงหยุ่นซื่อเพียงคนเดียว
“ผมเป็นเจ้าของทั้งหมดนี้ได้เพราะอาจารย์ของคุณ ดังนั้นการที่นักพรตเหยี่ยอยู่ที่นี้นี้เป็นเกียรติสูงสุดของผม ผมไม่เคยได้รับมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ผมได้รับการบอกกล่าวจากอาจารย์คุณแล้วว่า ผมจะไม่เก็บค่าเทอมทั้งหมดที่ต้องจ่ายในสถานศึกษานี้กับคุณ”ง
“ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมสักหยวนเดียว ?” เหยี่ยซ่าวหยางรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ ก่อนที่เขาจะลงจากเขา ชิงหยุ่นซื่อบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่าค่าธรรมเนียมทั้งหมดสำหรับของเขา อาจารย์ได้จ่ายให้ทั้งหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีการเก็บค่าอะไรเพิ่ม หลังจากนั้น ชิงหยุ่นซื่อให้เงินเขาเพียง 1000 หยวน สำหรับค่าใช้จ่ายประจำวัน เมื่อเขาใช้เงินหมดไปแล้ว เหยี่ยซ่าวหยางจะต้องหาค่าอาหารเอง
ใน 10 ปีที่ผ่านมานี้ เขาต้องตรากตรำทำงานหนัก เขาทำมันด้วยความแต่มีค่าตอบแทนแค่ 1000 หยวนเท่านั้น ? ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้ยิ่งทำให้เขายิ่งโกรธ ตาแก่สารเลว ! เป็นแค่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เขามีแต่ได้กับได้ เขาหาประโยชน์ให้กับตนเองทั้งนั้น !
“นักบุญเต๋าเหยี่ย ผมได้เตรียมเอกสารการสมัครเข้าเรียนที่จำเป็นทั้งหมดไว้ให้แล้ว เหลือเพียงแต่ให้คุณกรอกเอกสารเท่านั้น”
หลังจากที่เขากรอกเอกสารสารทั้งหมดแล้ว เหยี่ยซ่าวหยาง ปฎิเสธที่จะกินข้าวเที่ยวกับอาจารย์ใหญ่ เนื่องจากเขามาเพื่อเรียนหนังสือ เขาจึงต้องทำตัวราวกับนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าเขาต้องปล่อยให้อาจารย์ใหญ่เลี้ยงมื้อเที่ยงเขาคงจะหรูหราเกินไปสำหรับนักเรียนธรรมดาๆ อาจารย์ใหญ่ไม่ขัดข้องกับความคิดของเหยี่ยซ่าวหยาง แต่อาจารย์ใหญ่เลือกที่จะพาเขาไปส่งหอพักแทน เขารู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเห็นตึก อาจารย์ใหญ่พูดขึ้นทันที “นักบุญเต๋าเหยี่ย นี้เป็นตึกผู้บริหารใหม่ที่ผมสร้าง คุณคิดว่ายังไงกับฮวงจุ้ยของที่นี้?”
นี้เขาทดสอบผมอยู่รึเปล่า? เหยี่ยซ่าวหยาง คิดกับตัวเอง ในนิกายเหม่าซานแบ่งออกเป็น 4 พวก ได้แก่พวก ซุ, ขาน, บู, และ ยี่ จาก 4 กลุ่มนี้ กลุ่ม ซูเป็นกลุ่มที่เป็นเต๋าที่มีพลังเวทมนต์ เป็นกลุ่มเดียวที่สามารถกลายเป็นศิษย์ชั้นในได้ ในขณะที่กลุ่มอื่นเป็นได้เพียงแค่ศิษย์ชั้นนอก กลุ่ม ‘ขาน’ จะเรียนเกี่ยวกับฮวงจุ้ย ‘บู’ จะเรียนเกี่ยวกับการทำนาย และ ‘ยี่’ เรียนเกี่ยวกับยาจีน เหยี่ยซ่าวหยาง ไม่สนใจกลุ่มใดๆเลย ยกเว้นกลุ่มเดียวที่เขารู้ ถึงแม้ว่าเขาจะคลุกคลีกับพวกนั้นเล็กน้อยแต่การเรียนรู้ศิลปะแขนงอื่นของเขานั้นดีกว่านักบวชเต๋าทั่วไปเล็กน้อย.....
เมื่อเขามองไปรอบๆ เหยี่ยซ่าวหยาง สรุปได้ว่า “อาคารนี้สร้างทางด้านเหนือของโรงเรียน ในขณะที่หันหน้าไปทางใต้ มันโค้งปะทะกับพระอาทิตย์ที่สำคัญที่หันหน้าเข้าหาแสงอาทิตย์ หน้าตึกไม่มีอะไรเลย เป็นไปตามชิจากการรวม 8 ทิศเข้าด้วยกัน” เขาหยุดแล้วชี้นิ้ว “ผมขอแนะนำก่อนที่ผมจะเข้าไป ควรมีป่าเล็กๆหลังตึก เป็นการสร้างแหล่งที่รับพลังงานมั่นคงจากภูเขา เพราะ ทั้งสวรรค์และโลกเป็นแหล่งพลังงานด้านบวก ผมต้องขอชื่นชมว่าคนที่ให้คำแนะนำเรื่องฮวงจุ้ยกับคนเป็นคนที่ค่อนข้างมีความสามารถครับ อาจารย์ใหญ่ซู”
“อย่างไรก็ตาม เนื่องจากส่วนโค้งหน้าตึก พลังงานสำคัญจากแสงอาทิตย์ที่มันรับมีมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นตึกแห่งนี้มันไม่มีที่ระบาย เมื่อได้รับพลังนานๆเข้า มันจะทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดไฟไหม้ได้ !”
อาจารย์ใหญ่ซู ตกใจเป็นอย่างมาก “นักบุญเต๋าเหยี่ย การวิเคราะห์ของคุณเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก หลังจากสร้างตึกนี้ขึ้น มันเป็นไปตามที่คุณบอก มีสำนักงาน 2 สำนักงานภายในเกิดเหตุไฟไหม้ปริศนา โชคดีที่พวกเราช่วยกันดับไฟทัน อาคารจึงไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่มันเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากตึกนี้สร้างเสร็จ มันจะเป็นเรื่องตลกขบขันมากถ้าผมรื้อถอนตึกนี้ ท่านนักบุญเหยี่ย มีทางอื่นที่จะช่วยอาคารหลังนี้รึเปล่า?”
เหยี่ยซ่าวหยาง ยิ้มออกมา “เป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแค่คุณสร้างสระน้ำสี่เหลี่ยม 2 สระข้างหน้าอาคารนี้ ถ้าสระนี้ยื่นออกมาจากอาคาร คุณสามารถเลี้ยงปลาคาร์ฟได้ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับน้ำ ไอน้ำจากสระน้ำจะสามารถช่วยลดพลังงานจากพระอาทิตย์ได้ ส่งผลให้ทำให้ฮวงจุ้ยของตึกนี้ทั้งหมดมีชีวิตชีวามากขึ้น”
อาจารย์ใหญ่ซูรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากและเขาได้แต่พูดขอบคุณเหยี่ยซ่าวหยางซ้ำไปซ้ำมา
เขารีบเรียกที่ปรึกษานักเรียนมาคุย เขาจัดหอที่ดีที่สุดและห้องเรียนที่ดีที่สุดให้กับ เหยี่ยซ่าวหยางนอกจากนี้อาจารย์ใหญ่และที่ปรึกษาพาเหยี่ยซ่าวหยางสำรวจหอพักด้วยกัน
“ท่านนักบุญเหยี่ย คุณจะให้เราจัดห้องเดี่ยวให้คุณรึเปล่า?” อาจารย์ใหญ่ซู ถามขึ้น เมื่อพวกเขามาถึงหอพัก
“ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอกครับ ปกติผมอยู่คนเดียวมาตลอดผมอยากลองอยู่กับเพื่อนๆคนอื่นภายในห้องบ้าง” เหยี่ยซ่าวหยางยิ้มและถามอาจารย์ใหญ่ซูเกี่ยวกับกุญแจห้อง หลังจากขอบคุณอาจารย์ใหญ่แล้ว ซ่าวยางก็ยืนกรานที่จะไปห้องพักของเขาคนเดียว
“มีสิ่งหนึ่งที่สะกิดใจผมอยู่ครับ อาจารย์ใหญ่ซู ครเป็นคนเขียนป้ายหน้าทางเข้าโรงเรียนครับ?”
อาจารย์ใหญ่ ซู รู้สึกประหลาดใจ “ใช่ชื่อของสถาบันรึเปล่าครับที่คุณถาม? ผมได้ไปขอร้องนักประดิษฐ์อักษรที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ให้เขียนให้เป็นการส่วนตัว มีอะไรเกี่ยวกับมันรึเปล่าคุณเหยี่ยหรือคุณจะชอบการเขียนตัวอักษรแบบนี้? คุณไม่คิดว่ามันเขียนไม่ดีงั้นหรอ ?”
เหยี่ยซ่าวยางยิ้มให้เขาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอาจารย์ใหญ่ยกย่องคนที่เขียนนี้ขนาดไหน เขารู้มันได้ทันที.......
ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ถามอย่างวิตกกังวลว่า “คุณเหยี่ย คุณรู้สึกคุ้นๆกับตัวอักษรพวกนี้เหรอ?”
เหยี่ยซ่าวยางตอบกลับ “นิดหน่อยครับ ผมเขียนเครื่องรางมานานกว่า 10 ปี ผมมีทักษะเรื่องตัวอักษรเล็กน้อยครับ”
“ผมคงต้องจับตาดูความสามารถของคุณแล้วเมื่อมีโอกาส” ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่พูดขึ้นด้วยท่าทางสุภาพและอ่อนโยน ทั้งๆที่ เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นกับ เหยี่ยซ่าวหยาง จากท่าทางของนักเรียนคนนี้แสดงออก เขาตั้งใจดูถูกความสามารถของเหยี่ยซ่าวยางอย่างชัดเจน จากนั้นไม่นานพวกเขาแยกทางกันหลังจากบอกลากันเสร็จ...
“อาจารย์ใหญ่ ซู ครับ จากท่าทางที่เด็กคนนั้นแสดงออกมา เขาทำราวกับว่าไม่ได้เคารพนักประดิษฐ์อักษรท่านอวุโสหลิวเลย” นักเรียนคนนั้นตั้งข้อสังเกต ในขณะที่พวกเขากลับตึกผู้บริหาร เพราะว่าเขาเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการเชิญท่านอวุโสหลิวมาถึงแม้ว่าเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวอักษรเพียงเล็กน้อย แต่เขาให้ความเคารพงานของ ท่านอวุโสหลิวเป็นอย่างมาก
อาจารย์ใหญ่ ซู ยิ้มและพูดว่า “เขาเป็นนักบุญเต๋า เขาอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย แต่เรื่องของประดิษฐ์อักษรนั้น... เขาเป็นแค่คนหนุ่ม เราจะไปหวังอะไรกับเขากัน?” นักเรียนคนนั้นด้วยกับความเห็นนี้ และได้นำเอกสารการเข้าเรียนของ เหยี่ยซ่าวหยาง ไปดำเนินการต่อ เขาพึมพำกับตัวเอง “เอกสารนี้เขาควรเป็นคนกรอกข้อมูลเองใช่รึเปล่าน้า? ไหนขอดูข้อมูลของนายหน่อย เป็นไปได้อย่างไรกันที่เขาจะกลายเป็นนักบุญชั้นในทั้งๆที่เขาอายุเพียงเท่านี้?”
ในขณะที่ทั้งสองเดินกลับตึกผู้บริหาร เขาทั้งสองแอบมองไปที่เอกสารการสมัครของ เหยี่ยซ่าวหยาง ที่ปรึกษายืนแข็งค้างทันทีในขณะที่เขาเดินอยู่ พร้อมทั้งดวงตาและปากอ้ากว้างด้วยความตกตะลึง
“นี้มันอะไรกัน?” เขาร้องถามอาจารย์ใหญ่ ทั้งที่ยังอยู่ในอาการตกตะลึงอยู่
“พวกเราคิดผิดแล้วครับอาจารย์ใหญ่ซู” นักเรียนผู้ช่วยพูดขึ้น และสูดหายใจเข้าลึกๆขณะที่กำลังชี้ไปที่เอกสารด้วยมืออันสั่นเทา
“ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี้ เกิดอะไรขึ้น?” อาจารย์ใหญ่ขมวดคิ้ว เมื่อเขาตรวจเอกสารนี้
“คุณดูสิ ลายมือเขา ลายมือของเขามันไม่ธรรมดา วิธีการเขียนของเขามันทั้งสวยงามและมีความเป็นเอกลักษณ์ บางที ... เขาอาจจะอยู่ในระดับเดียวกันกับ ท่านอวุโสหลิวเลยก็ได้!”
อาจารย์ใหญ่นิ่งค้างไปเลยในทันทีเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาคว้ากระดาษจากมือของที่ปรึกษาแล้วมองไปยังเอกสารอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันเป็นตัวอักษรที่สวยงามมาก ทุกการตวัดตัวอักษรทั้งชัดเจนและล้ำค่ายิ่งนัก ความสามารถด้านศิลปะของเขาไม่มีขอบเขตจริงๆ นี้แค่เขียนธรรมดาๆยังขนาดนี้ แล้วอักษรประดิษฐ์ของเขาจะขนาดไหน มันต้องเหนือกว่าที่เราไว้จินตนาการแน่เลย!
“นักบุญเต๋าน้อย เหยี่ยซ่าวหยางจะต้องเป็นนักเรียนหัวกะทิได้อย่างแน่นอน” อาจารย์ใหญ่ ซู พูดในขณะที่เขาเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของเขาอย่างมีความสุข
ติดตามตอนต่อไป.......