บทที่ 90 ผูเยาโต้กลับ
ไม่ว่ามองจากมุมใด จั่วม่อไม่ใช่คนความรู้สึกช้า แน่นอนว่าในเรื่องนี้ ผูเยาอาจจะเถียงหัวชนฝาอยู่บ้าง
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสำนักทำให้จั่วม่อได้กลิ่นแปลกๆ ซือฟู่บอกกับมันอย่างเคร่งเครียด ว่าให้ฝึกปรืออย่างหนักและอย่าได้เกียจคร้าน ทั้งยังแจ้งให้ทราบว่าม้วนหยกในสำนัก รวมถึงม้วนหยกทั้งหมดในเรือนขิงหอม ล้วนเปิดกว้างสำหรับมัน อีกทั้งไม่จำเป็นต้องจ่ายแต้มคุณูปการแม้แต่แต้มเดียว
ผลประโยชน์ที่จั่วม่อเคยได้แต่ฝันถึงในอดีต เวลานี้มาวางกองอยู่ตรงหน้า แต่มันกลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย
ท่านเจ้าสำนักกับอาจารย์ลุงทั้งหลายได้ประกาศมาตรการเหล่านี้ทันทีที่กลับมาถึง นี่หมายความว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หรือไม่...ก็กำลังจะเกิดขึ้น ด้วยประสบการณ์สองปีในฐานะศิษย์ฝ่ายนอก จั่วม่อทราบกระจ่างว่าเวทวิชาก็เท่ากับจิงสือ! ไม่ว่าค่ายสำนักหรือองค์กรใด พวกมันจะไม่มอบเวทวิชาให้แก่ผู้คนโดยปราศจากกฏเกณฑ์ ที่ผ่านมา การที่สำนักเรียกร้องแต้มคุณูปการเพื่อแลกเปลี่ยนเวทวิชา ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต้มคุณูปการยังมีประสิทธิภาพมากกว่าจิงสือเสียอีก แต่ท่านเจ้าสำนักจู่ๆ ก็ประกาศว่าเรียนรู้เวทวิชาไม่จำเป็นต้องใช้แต้มคุณูปการอีกต่อไป นี่ย่อมหมายความว่ามีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด
อะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น!
จั่วม่อโยนหินถามทาง โดยการถามว่า มันยังต้องไปฝึกเสริมสร้างสังขารกับอาจารย์ลุงซินหยานอีกหรือไม่ คำตอบของซือฟู่ช่วยยืนยันสิ่งที่มันคาดเดาอีกครั้ง นางบอกว่ามันไม่ต้องไปอีกแล้ว อาจารย์ลุงซินหยานกำลังจะปิดด่านหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ จากนั้นนางยังบอกว่า นางก็กำลังจะปิดด่านหลอมกลั่นโอสถ ไม่มีเวลามาสอนสั่งอบรมมัน ดังนั้นขอให้มันตั้งใจเรียนรู้ให้ดี
การสนทนาของจั่วม่อกับซือฟู่กินเวลาไปถึงสองชั่วยามเต็ม นางสาธยายวิธีการเรียนรู้และเรื่องยิบย่อยอื่นๆ ทั้งหมด ราวกับนางต้องการจะทำให้ทุกอย่างชัดเจน
สังหรณ์เลวร้ายในใจจั่วม่อยิ่งหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ
ในตอนสุดท้าย ซือฟู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยบอกให้มันใช้เวลากับการฝึกปรือกระบี่มากกว่า แม้ว่าวิชาหลอมกลั่นจะก้าวหน้าช้าลงก็ไม่สำคัญอะไร ถ้าเวลานี้จั่วม่อยังไม่ทราบว่าเกิดปัญหาขึ้น เช่นนั้นมันก็นับว่าปัญญาอ่อนอย่างแท้จริงแล้ว ซือฟู่โบกมือให้มันกลับไป เมื่อจั่วม่อก้าวออกพ้นประตูห้องหลอมกลั่น เสียงทอดถอนอย่างอ่อนแอของซือฟู่ก็ดังขึ้นคราหนึ่ง จั่วม่อได้ยินอย่างชัดเจนยิ่ง
กลับมาถึงลานน้อยลมตะวันตก จั่วม่ออารมณ์ไม่ดี เหมือนมีบางสิ่งติดอยู่ในใจ
วันนี้มันไม่ได้ฝึกฝีมือบำเพ็ญเพียร
เวลาค่ำคืน นอนเหยียดยาวอยู่บนหลังคา ศีรษะหนุนท่อนแขนต่างหมอน จั่วม่อเหม่อมองหมู่ดาวบนท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย อินกุยที่ข้างกายออกอากาศข่าวคราวทุกประเภทอย่างเยือกเย็น
“เจ้ากังวลอันใด?” ผูเยาไม่ทราบว่าออกมาตั้งแต่เมื่อใด
“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น” จั่วม่อตอบโดยไม่เบือนสายตาจากทะเลดาว
“มีบางอย่างเกิดขึ้น?”
“อืม เมื่อสองปีก่อนตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างที่ข้าคิดก็แค่การเอาชีวิตรอดอยู่ในสำนัก ในเวลานั้นข้าไม่มีความคิดหวัง ไม่เคยนึกถึงเรื่องราวในภายหน้า ข้าเคยชินกับการอยู่ที่นี่ คุ้นเคยกับภูเขาแห่งนี้ ต่อมาซือฟู่ก็ดีกับข้า แม้ว่านางอาจอารมณ์ร้ายอยู่บ้างก็ตาม ยังมีศิษย์พี่เหวยเสิ้ง มีเหล่าเฮย ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง เสี่ยวกั่ว...”
“แม้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ แต่เจ้าก็ไม่ปัญญาทำอะไรได้เลย” ผูเยากล่าวอย่างเฉยเมย
“ข้ารู้” จั่วม่อดวงตามืดหม่นลง “พลังอำนาจของข้าอ่อนแอยิ่ง หากมีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้นจริง ข้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ไม่อาจช่วยใครได้”
“แล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะเป็นหรอกหรือ?” คำถามของผูเยามีแววประหลาด
“แต่ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ...” มองไปยังหมู่ดาวบนฟ้าไกล จั่วม่อกระซิบแผ่วเบา
ผูเยากลับกลายเป็นเงียบงัน มันคล้ายหวนรำลึกถึงเรื่องราวบางประการ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จั่วม่อแล่นไปยังท้องทุ่งปราณที่เช่าไว้ ดูแลจัดการจนถ้วนทั่ว ขณะกำลังเตรียมที่จะออกไป กลับมีคนมาเสาะหามัน
“ท่านใช่จั่วเซียนเซิง* เกษตรกรปราณจั่วม่อ หรือไม่?” ผู้มาถามอย่างสุภาพ ใบหน้าทอประกายปัญญา
(*เซียนเซิง – ท่าน เป็นคำยกย่อง มักใช้เรียก ครู,อาจารย์ หรือปัญญาชน)
จั่วม่อแปลกใจเล็กน้อย “เป็นข้าเอง”
“ได้ยินนามอันเลื่องลือของท่านมานาน” ร่องรอยปิติยินดีฉายชัดบนใบหน้าของคนผู้นั้น แต่ยังคงควบคุมตนเองได้เป็นอย่างดี “ผู้น้อยเหอหยง มีร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง ได้ยินมาว่าจั่วเซียนเซิงปลูกบุปผาแดงคะนองไว้มากมาย ผู้น้อยขอเรียนถาม ไม่ทราบจั่วเซียนเซิงยินดีขายหรือไม่”
จั่วม่อพยักหน้า “ข้าปลูกบุปผาแดงคะนองไว้จำนวนหนึ่งจริง แต่ยังคงต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะเติบโตเต็มที่”
เหอหยงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ผู้น้อยต้องการจองสินค้าไว้ก่อน”
“อ้อ จองอย่างไร?” จั่วม่อคิดไม่ถึงว่าตลาดมีความต้องการสูงถึงเพียงนี้ บุปผาแดงคะนองของมันยังไม่ทันจะเติบโตเต็มที่ ก็ถึงกับมีผู้คนเดินทางมาจองสินค้าที่ทุ่งปราณ มันเมื่อปลูกบุปผาแดงคะนองไว้เพื่อขายอยู่แล้ว มีผู้คนมาหาถึงที่ ย่อมดีกว่าสำหรับมัน
“จั่วเซียนเซิงปลูกไว้มากมายเท่าใด?” เหอหยงถาม
“หนึ่งร้อยแปดสิบหมู่”
เหอหยงขบคิดแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “ตอนนี้ราคาของบุปผาแดงคะนองตามท้องตลาด อยู่ที่ประมาณสองชิ้นจิงสือระดับสามต่อหนึ่งเหลี่ยง* จั่วเซียนเซิงคาดว่าจะเก็บเกี่ยวได้มากมายเท่าใด?”
“ประมาณยี่สิบจิน*” จั่วม่อให้ตัวเลขประเมินขั้นต่ำ
(เหลี่ยง ประมาณ 50 กรัม , จิน ประมาณ 500 กรัม)
“สมกับเป็นเกษตรกรปราณอย่างแท้จริง ผลผลิตเป็นที่น่าอัศจรรย์นัก” เหอหยงอดทอดถอนชมเชยไม่ได้ จากนั้นกล่าวต่อไปว่า “ข้ายินดีจ่ายมัดจำล่วงหน้าหกสิบชิ้นจิงสือระดับสาม ต่อไปเมื่อสินค้าพร้อมแล้ว หากราคาท้องตลาดต่ำกว่าสองชิ้นจิงสือระดับสามต่อหนึ่งเหลี่ยง ข้าจะยังคงรับซื้อในราคานี้และจะจ่ายเพิ่มส่วนที่เหลือ แต่หากราคาสูงกว่านี้ เช่นนั้นข้าจะจ่ายให้ในราคาตามท้องตลาดในขณะนั้น จั่วเซียนเซิงเห็นเป็นอย่างไร?”
ราคานี้นับว่าดีมากแล้ว จั่วม่อขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผงกศีรษะ “ดี”
จากนั้นถามอย่างฉับพลัน “แล้วราคาของบุปผาแดงคะนองระดับสองเป็นเท่าใด?” ในทุ่งปราณของมันยังสามารถผลิตบุปผาแดงคะนองระดับสองออกมาจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ได้มากมายกระไรนัก
“ห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสามต่อหนึ่งเหลี่ยง” เหอหยงตกตะลึงอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นเกษตรกรปราณ มันก็กล่าวเพิ่มเติมว่า “หากมีบุปผาแดงคะนองระดับสอง ผู้น้อยก็ยินดีรับซื้อทั้งหมดเท่าที่มี”
“อืม”
จากนั้นจั่วม่อไต่ถามเกี่ยวกับตลาดของสมุนไพรปราณและโอสถปราณทุกชนิด เหอหยงเห็นได้ชัดว่ารอบรู้กว้างขวาง ประสบการณ์โชกโชน มันแทบจะรายงานราคาของสมุนไพรปราณได้ทุกชนิด โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิด หลั่งจากนั้นพวกมันได้ร่างสัญญาข้อตกลง และแลกเปลี่ยนรอยประทับวิญญาณกัน รอยประทับวิญญาณคือการประทับรอยวิญญาณของตนทิ้งไว้ในม้วนหยกเปล่า วิธีนี้ทำให้พวกมันติดต่อสื่อสารกันสะดวกขึ้น ด้วยรอยประทับวิญญาณนี้ นกกระเรียนกระดาษสามารถตามหาอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างสะดวกดาย
จั่วม่อยังไม่สามารถใช้ข้อความกระบี่บิน จึงได้แต่ใช้นกกระเรียนกระดาษ
ก่อนหน้านี้ นอกจากแม่นางกระเรียนกระดาษแล้ว จั่วม่อโดยปกติไม่เคยใช้นกกระเรียนกระดาษสื่อสารกับผู้ใด นกกระเรียนกระดาษมีต้นทุนเงินทองไม่น้อย ที่ผ่านมาด้วยสถานการณ์ของมัน ย่อมไม่อาจทนแบกรับไว้ได้
หกสิบชิ้นจิงสือระดับสาม สำหรับจั่วม่อถือเป็นเงินก้อนโตทีเดียว
บางทีมันน่าจะซื้อชุดเกราะปราณที่เหมาะสมสักชุด เกราะปราณที่มันสวมใส่อยู่ตอนนี้เป็นชุดเกราะปราณระดับสองที่อาจารย์ลุงหยานเล่อเคยให้ไว้ ช่างไม่เข้ากับยุทธภัณฑ์เวทระดับสามชั้นยอดเช่นกระบี่หยดน้ำเอาเสียเลย อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงแค่คิดเท่านั้น ด้วยหกสิบชิ้นจิงสือระดับสาม ย่อมเป็นไปได้ที่จะซื้อหาเกราะปราณระดับสามสักชุด แต่สิ่งที่เงินจำนวนนี้ซื้อหาได้ เป็นเพียงเกราะปราณระดับสามสามัญทั่วไป ไม่ใช่เกราะปราณระดับสามชั้นยอดอย่างที่มันปรารถนา
หลังจากขบคิดอย่างถี่ถ้วน จั่วม่อตัดสินใจยังไม่ใช้จิงสือจำนวนนี้ชั่วคราว มันจำได้ว่าในร่างมันยังมีจอมเขมือบจิงสือผู้ยิ่งใหญ่ ผูเยา
จริงดังคาด พอกลับถึงลานน้อยลมตะวันตก ผูเยาก็ออกมาทันที
“ข้าต้องการจิงสือ ว่ามา เจ้าต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน?” ผูเยากล่าวอย่างถือดี แต่ยังไม่วายเตือนจั่วม่อ “อย่างไรก็ตาม จิงสือจำนวนเล็กน้อยเท่านี้ สิ่งที่เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนกลับไป ก็ไม่ได้ดีมากนัก”
“ข้าสามารถแลกกับสิ่งใดได้บ้าง?” จั่วม่อไม่ได้โง่ มันโยนหินถามทางประโยคหนึ่ง
แม้ว่าตอนนี้ผูเยาจะสติปัญญาต่ำลง แต่เจ้าผู้นี้มีประวัติกับมันอย่างโชกโชน มันเคยถูกบังคับค้าขายมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“อืมม์ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความก้าวหน้า” ผูเยากวาดตามองจั่วม่อขึ้นๆ ลงๆ สองสามรอบ จากนั้นยิ้มอย่างกลอกกลิ้ง “แต่นี่ก็ดีแล้ว การซื้อขายจะได้เป็นธรรม ด้วยหกสิบชิ้นจิงสือระดับสาม สิ่งที่เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนคือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้งานพลังจิตสำนึก เป็นอย่างไร? หรือไม่เจ้าก็สามารถจ่ายก่อนส่วนหนึ่ง เรียนรู้สิ่งที่ดีกว่านั้นไปส่วนหนึ่ง จากนั้นค่อยหามาจ่ายเพิ่มเติม เพื่อเรียนรู้ส่วนอื่นๆ ที่เหลือ ดีหรือไม่?”
“ข้าว่าชำระค่าสินค้าครั้งเดียวจะดีกว่า” จั่วม่อเข้าใจนิสัยใจคอของผูเยาดี หากแบ่งจ่ายเงินเพื่อเรียนรู้ทีละส่วน ในส่วนต่อๆ ไป เจ้าผู้นี้จะฉวยโอกาสเรียกราคาสูงเทียมฟ้า หากเผลอไปติดอยู่ตรงกลาง มันจะต้องอาเจียนเป็นเลือดอย่างแน่นอน
“เฮะเฮะ นั่นก็แล้วแต่เจ้า แล้วอย่างไร? เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ นั่น เรียนหรือไม่เรียน?” ผูเยาหัวร่ออย่างลี้ลับ ดวงตาสีแดงเลือดราวกับจ้องมองเหยื่อ จั่วม่อรู้สึกขนลุกชี้ชัน
จะอย่างไรมันก็ได้แต่กัดฟันตอบ “เรียน!”
จั่วม่อยังคงฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดไม่เคยขาด พลังแห่งจิตสำนึกก้าวล้ำผู้คนทั่วไปมากโข อย่างไรก็ตาม มันไม่เคยทราบวิธีใช้งานพลังจิตสำนึกเลย วิธีใช้พลังจิตสำนึกเพียงอย่างเดียวที่มันทำได้ คือใช้เฝ้าติดตามโอสถปราณในกระบวนการหลอมกลั่นโอสถ
“ฮ่าฮ่า!” ผูเยาหัวร่ออย่างพึงพอใจ กริ๊งกริ๊ง เสียงจิงสือกระทบกันดังระรัวเป็นจังหวะ บันดาลให้จั่วม่อปวดร้าวจับใจ
หกสิบชิ้นจิงสือระดับสาม!
“อืม นี่ของเจ้า” ผูเยาโยนลูกกลมแสงให้จั่วม่อ ทิ้งประโยคไว้ว่า “การซื้อขายอันโปร่งใสเสร็จสมบูรณ์!” จากนั้นหายลับไป
จั่วม่อเคยมีประสบการณ์ในการรับลูกกลมแสงมาก่อน ทันทีที่กลุ่มแสงแตะมือของมัน ก็เปลี่ยนเป็นตัวอักษรเหลือคณานับลอยขึ้นในจิตใจ
[หอมจรุงไม่ลืมเลือน] ใช้พลังแห่งจิตสำนึก จดจำคุณลักษณะของสตรีใดๆ และไม่เคยลืมเลือน ยิ่งไปกว่านั้น ตราบเท่าที่อีกฝ่ายอยู่ห่างจากผู้ใช้ในรัศมีไม่เกินห้าร้อยลี้ ผู้ใช้สามารถตรวจพบตำแหน่งของอีกฝ่ายและเสาะหาจนพบ เมื่อผู้ใช้วิชาเชี่ยวชาญมากขึ้น เมื่อใช้เคล็ดวิชานี้ออกมา แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ ผู้ใช้ยังสามารถค้นหาพวกนางได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งเคล็ดวิชานี้ยังสามารถระบุจุดอ่อนและจุดแข็งทุกประการในร่างกายของสตรีนั้นได้ ในตอนท้าย จั่วม่อยังเห็นประโยคสุดท้ายที่เป็นบทสรุป เคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาที่สำคัญยิ่ง สำหรับคนมักมากทุกคนที่ต้องการหาคู่สำหรับการบำเพ็ญคู่!
จั่วม่อเกือบกระอักเลือด!
“ผูเยา! เสี่ยวเหยียจะฆ่าเจ้า! เอาจิงสือของเสี่ยวเหยียคืนมา...”
(เสี่ยวเหยีย – นายน้อย)
ในลานน้อยลมตะวันตก เสียงโหยหวนบาดใจสะท้อนก้อง!
ในทะเลแห่งจิตสำนึก ผูเยานั่งอยู่บนป้ายหินสุสาน เต็มไปด้วยความพึงพอใจและเจ้าเล่ห์ กล่าวว่า “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ค่ายกลเขาวงกต... ฮึ่มฮึ่ม ในภายหลังหากเจ้ากล่าวถึงเขาวงกตกับข้า ข้าจะกล่าวถึงสตรีกับเจ้า! อะฮ่าฮ่า...”
ผูเยายังคงขุ่นข้องกับคำตอบของจั่วม่อเมื่อคราวที่แล้ว ดังนั้นย่อมสุขสราญบานใจอย่างสุดแสนกับการโต้กลับในครั้งนี้!
สองสามวันให้หลัง จั่วม่อยังคงไม่ฟื้นตัวจากความเจ็บปวดรวดร้าวนี้ หกสิบชิ้นจิงสือระดับสามแลกเปลี่ยนกับเคล็ดวิชาไร้ประโยชน์เช่นนี้ จั่วม่อปรารถนาจะแล่ผูเยาเป็นชิ้นๆ โยนให้เป็นอาหารสุนัข!
ผลกระทบคราวนี้รุนแรงลึกล้ำ จั่วม่อตกลงใจหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำเพื่อชดเชยการสูญเสีย
หกสิบชิ้นจิงสือระดับสาม นั่นเท่ากับเม็ดยาอีกาทองคำถึงสามร้อยเม็ด! คราวที่แล้วมันหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำไม่กี่ร้อยเม็ด จนเกือบจะตายเลยทีเดียว
แบกความเศร้าโศกและแรงจูงใจ จั่วม่อห้อไปยังเรือนขิงหอม ตั้งใจจะหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้วก็ได้ยินข่าวร้ายในทันที สวี่ฉิงบอกมันว่าวัตถุดิบสำหรับเม็ดยาราชันธัญพืชที่มีอยู่ในสำนักถูกใช้หมดไปแล้ว
จั่วม่อรีบไปถามศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง และข่าวที่มันได้ฟัง ไม่ผิดอันใดกับฟ้าผ่าลงกลางวันอันสดใส
วัตถุดิบบางอย่างในท้องตลาดไม่มีขายแล้ว!
ตามการคาดเดาของศิษย์พี่หญิง มีบางคนกักตุนสินค้าไว้ด้วยเจตนาร้าย วัตถุดิบชนิดนี้ใช้งานได้กว้างขวางหลากหลายมาก เป็นส่วนผสมจำเป็นของโอสถปราณหลายชนิด
หนึ่งในทรัพยากรทางการเงินที่สำคัญที่สุดของมันถูกตัดขาด นี่ไม่ผิดอันใดกับการตัดศีรษะจั่วม่อลงมา!
ดังนั้นเอง ความขุ่นแค้นต่อผูเยาก็พลุ่งพรวดขึ้นมาอีกรอบอย่างรวดเร็ว! หกสิบชิ้นจิงสือระดับสาม เพียงซื้อเคล็ดวิชาที่ไม่มีประโยชน์ใช้สอยใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันไม่ได้มีเงินมากมายตั้งแต่แรก ทั้งยังสูญเสียหนทางทำกำไร!
มันไม่สามารถอดทนอีกต่อไป!
จั่วม่อรุดไปหาผูเยาด้วยเจตนาฆาตกรรมเต็มเปี่ยม