ตอนที่ 97 – การกลับมาของกรีน
เมอร์รินจ้องมองชายคนนี้ “เสื้อคลุมสีขาวทำให้รู้ว่าคนนี้คือนักเวทย์แสง แต่เขาน่าจะเป็นนักเวทย์ระดับกลางประมาณระดับหก”
ทุกคนพยักหน้า คนๆนี้นั้นดูไม่แข็งแกร่งเลยเมื่อเทียบกับเมอร์รินซึ่งเป็นนักเวทย์ระดับแปด
ทันใดนั้น ดรังค์ก็พูดขึ้นมาว่า “ชายคนนี้ชื่อ การ์รัน เป็นนักเวทย์แสงระดับเจ็ด เมื่อสองปีก่อน พวกเราเคยต่อสู้กับเขา แม้ว่าเขาจะไม่เก่งมาก แต่เขาก็มีกองกำลังกว่าห้าสิบคนช่วยจนทำให้เราได้รับบาดเจ็บได้ แต่ในท้ายที่สุดแล้วกองกำลังของเขาก็ตายจนหมดและเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว ไม่เพียงแค่ชายคนนี้จะเป็นนักเวทย์แสงที่มีพลังโจมตีที่น่ากลัวแล้ว เขายังมีเวทย์อัญเชิญ ซึ่งทำให้เขานั้นรับมือได้ยากมาก”
เจ่าไห่รู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าดรังค์จะรู้จักคนๆนี้ เขาจึงรีบถามต่อว่า “คนๆนี้คือใครกันแน่อย่างงั้นเหรอ? แล้วทำไมเขาถึงต้องต่อสู้กับพวกเจ้าด้วย?”
ดรังค์แสยะใส่ “พวกนักเวทย์แสงมันเป็นพวกหน้าซื่อใจคด พวกมันพูดว่าได้เสียงจากพระเจ้าและเวทย์แสงคือเวทย์ที่อยู่เหนือเวทย์ใดๆ โดยเฉพาะเวทย์มนตร์ดำ พวกมันใช้ทุกทางเพื่อที่จะทำให้เวทย์มนตร์ดำนั้นคือสิ่งชั่วร้าย ซึ่งนั้นคือสาเหตุที่ทำให้นักเวทย์มนตร์ดำนั้นไม่เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆคน เมื่อพวกเราเริ่มปล้นสิ่งของ เจ้าชายอหังการนี้มีเหรอจะพลาดโอกาสแสดงตัวเพื่อต่อสู้กับพวกเรา”
เจ่าไห่ขมวดคิ้ว “เจ้าเคยต่อสู้กับเขามาก่อน และดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านพวกเจ้าได้ เจ้าคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนหรือไม่?”
ดรังค์ส่ายหัว “ผมไม่แน่ใจครับ แต่ผมนั้นรู้ว่านักเวทย์สองคนที่อยู่ข้างการ์รันคือใคร แม้ว่าผมจะไม่เคยพบตัวจริงๆของสองคนนี้ แต่จากท่าทางแล้ว ผมคิดว่าสองคนนี้คือแฝดภูติหินผา”
เมอร์รินพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่าทางสองคนนี้เหมือนกับที่ดรังค์พูดเลยค่ะ แม้ว่าฉันจะไม่เคยเห็นน่าพวกเขามาก่อน แต่ดูจากอายุและการแต่งตัวแล้ว พวกเขาน่าจะเป็นแฝดภูติหินผาจริงๆ”
เจ่าไห่นั้นมองเมอร์รินด้วยความสงสัย “ยายเมอร์ริน แฝดภูติหินผานั้นแข็งแกร่งมากไหมครับ?”
“แข็งแรงมาก พวกเขาทั้งสองนั้นเป็นนักเวทย์ดิน ไม่เพียงแค่เชี่ยวชาญเวทย์ดินอย่างมาก แต่พวกเขานั้นยังรู้วิธีการอัญเชิญโกเลมอีกด้วย โกเลมนั้นถูกสร้างมาจากเวทย์ดินซึ่งมีความสูงกว่าแปดเมตร ซึ่งร่างกายนั้นประกอบขึ้นจากหิน และยังสามารถโยนลูกหินโจมตีระยะไกลได้ด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดของโกเลมคือถ้าหากพวกมันยังติดอยู่กับพื้นดินแล้วล่ะก็ พวกมันจะไม่มีทางอ่อนแอลงเลย ซึ่งพวกมันจัดการได้ยากมาก เพราะสองพี่น้องนี้นั้นเชี่ยวชาญการอัญเชิญจึงทำให้แฝดภูติหินผานั้นเป็นที่รู้จัก”
เจ่าไห่พยักหน้าแล้วมองไปยังนักเวทย์เสื้อคลุมสีเหลืองทั้งสอง ในใจเจ่าไห่นั้นก็มองว่าทั้งสองนั้นเหมือนกับนักเวทย์มาก พวกเขานั้นดูเป็นคนมีอายุประมาณห้าสิบปีพร้อมกับผมสีเทาและเคราที่ยาวมากร่างกายที่ผอมซึ่งให้ความรู้สึกของนักปราชญ์ ซึ่งทั้งสองนั้นเหมือนกับคนแก่ที่ใช้ทั้งชีวิตไปกับการเรียนรู้
ซึ่งต่างจากนักเวทย์แสงอย่างสิ้นเชิง ในสายตาของเจ่าไห่แล้ว การ์รันนั้นให้ความรู้ที่ไม่ดีกับเขา รอยยิ้มที่ดูเสแสร้ง และการแต่งตัวที่ดูหยิ่ง ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่โกหกแค่ไหน แม้ว่าแฝดภูติหินผานี้จะเป็นศัตรูของเจ่าไห่ แต่เขาก็ยังรู้สึกดีกว่าคนอื่นๆ
จากนั้นเจ่าไห่ก็มองไปยังอีกสามคนที่อยู่บนหลังม้า แน่นอนว่าทั้งสามนั้นเป็นนักรบระดับสูง เมื่อเห็นชายทั้งสามคนแล้ว ดวงตาของเจ่าไห่ก็หลี่ลง
ทั้งสามให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด เมื่อมองไปยังพวกเขาแล้ว ก็สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น และนั้นก็ไม่ใช่เพราะเขาใส่ชุดนักรบสีดำ แต่มันมาจากพลังฉีของพวกเขา
เจ่าไห่รู้ว่านี้คือจิตสังหาร ซึ่งต่างจากจิตสังหารที่ปล่อยออกมาจากทหาร มันเยือกเย็นและแปลกประหลาด ในสนามรบ จิตสังหารของทหารนั้นดูภาคภูมิและแสดงถึงความถูกต้อง ซึ่งสูงดั่งภูเขาและกว้างใหญ่ดั่งพื้นทะเล แต่จิตสังหารทั้งสามนั้นเหมือนกับงูที่หลบซ่อนตัวที่พร้อมจะจู่โจม กลิ่นอายของพวกเขาทำให้รู้สึกน่าขยะแขยง
เมื่อเมอร์รินนั้นเห็นทั้งสาม สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป แม้ว่าเธอจะไม่รู้จัก แต่เธอรู้สึกว่าทั้งสามคนนั้นมีบางอย่างที่ผิดปกติ
เมื่อพวกเขานั้นฟังชิฟพูดก็ได้ความว่า “ทำไมทั้งสามคนนั้นถึงดูแปลกๆ ข้ารู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับพวกเขาราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน”
เจ่าไห่หยุดหายใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ชิฟพูด ชิฟนั้นไม่ใช่คนที่โกหกใคร ซึ่งถ้าหากทั้งสามให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยกับเขา ความรู้สึกของเขาไม่ผิดอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าเขาจะเคยต่อสู้กับคนเหล่านี้มาก่อน ชิฟนั้นช่วยคลายความสงสัยถึงที่มาของทั้งสามได้อย่างดี นี้คือโอกาสในการคลายข้อสงสัยว่าคนเหล่านี้คือใครกันแน่
เจ่าไห่หันไปถามชิฟว่า “ชิฟ เจ้าจำอะไรได้บ้างไหม?”
แต่ชิฟก็ส่ายหัวของเขา “ไม่ครับ แต่ผมรู้สึกว่าผมรู้จักสามคนนี้ มันรู้สึกแปลกจริงๆ”
เจ่าไห่นั้นรู้สึกผิดหวังก่อนจะหันไปหาดรังค์และพูดว่า “ดรังค์ จำตาดูค่ายทหารนี้ไว้ เราจะโจมตีพวกเขาในคืนนี้ จำตำแหน่งต่างๆไว้ให้ดี โดยเฉพาะพวกนักฆ่าที่ประจำการอยู่”
เมื่อมองกลุ่มคนเหล่นี้แล้ว ก็เขาใจได้ทันทีว่าคนที่มีอำนาจสูงสุดก็คือหกคนที่ขี่ม้าอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นไม่ใช่ผู้บัญชาการกองทัพนี้ ซึ่งคนที่คอยออกคำสั่งนั้นดูเหมือนจะเป็นนักรบธรรมดา ซึ่งอายุราวๆสี่สิบปี และมีความสามารถในการจัดการกองทัพนี้เป็นอย่างดี
เจ่าไห่นั้นรู้สึกเหมือนกับดูหนังบนทีวี ที่มีคนค่อยสั่งการต่างๆภายในค่าย ซึ่งตรงกลางของค่ายนี้ก็มีเต็นท์ขนาดใหญ่สองเต็นท์ ซึ่งให้สำหรับนักเวทย์ทั้งสาม และนักรบขั้นสูงทั้งสามส่วนคนอื่นๆนั้นอยู่ในเต็นท์ขนาดเล็ก
เมื่อจัดตั้งค่ายเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นก็มีแสงประกายออกมาจากกลางค่าย นักเวทย์แสงกำลังค่ายคาถาพร้อมกับโบกไม้เท้าเวทย์ไปมา ก่อนที่แสงนั้นจะพุ่งกระจายออกไป
เมอร์รินตกใจกับเมื่อเห็นชายคนนี้ร่ายเวทย์ขึ้นมา “ภูติแสงตรวจวิญญาณ? ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักเวทย์ระดับแปดแล้ว” [ผู้แปล : 灵光探鬼 ผมแปลว่า ภูติแสงตรวจวิญญาณ เลยอยากถามว่าใครมีไอเดียอะไรดีๆอีกไหม]
เจ่าไห่มองด้วยความสงสัย “ยายเมอร์ริน อะไรคือภูติแสงตรวจวิญญาณเหรอครับ?”
“ภูติแสงตรวจวิญญาณเป็นเวทย์พิเศษของเวทย์แสง ซึ่งใช้ในการหาสิ่งมีชีวิตแห่งความมืด มันมีสัมผัสที่ไวมาก ตราบใดที่มีใครใช้เวทย์มนตร์ดำ ก็ไม่อาจหลบการตรวจของมันได้และมีเพียงนักเวทย์แสงระดับแปดเท่านั้นที่จะร่ายเวทย์นี้ได้”
เจ่าไห่มองไปที่หน้าจอก่อนจะพึมพำว “ดูเหมือนว่ามันเป็นความคิดที่ดี ที่ให้บริกซ์นั้นกลับมา ไม่งั้นก็คงตรวจพบไปแล้ว”
เมอร์รินพยักหน้า “อ่าใช่ ถ้าหากบริกซ์ของข้างนอกนั้น แม้ว่าจะหลบการตรวจจับของนักฆ่าเหล่านี้ได้ เนื่องจากว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถที่จะหลบการตรวจสอบของภูติแสงตรวจวิญญาณได้ เจ้านี้เป็นคนที่ระวังตัวจริงๆ”
สีหน้าของเจ่าไห่แสดงถึงความหนักใจ “ใช่แล้วพวกนี้ระวังตัวกันมาก การโจมตีคืนนี้ต้องสำเร็จ พวกเราไม่สามารถที่ปล่อยให้พวกเขานั้นได้เตรียมตัว” และในขณะที่กำลังจะพูดนั้น ก็ได้รับข้อความว่ากรีนกลับมาแล้ว ด้วยความตกใจ เขาจึงเปลี่ยนหน้าจอไปยังคฤหาส์บนภูเขาหิน ซึ่งเมื่อเจ่าไห่นั้นเห็นกรีนอยู่ที่สวน เขาก็เปิดประตูมิติให้เขาเข้ามา
เมื่อกรีนเข้ามาในมิติก็พบเจ่าไห่ แต่เมอร์รินนั้นมองกรีนด้วยความสงสัยก่อนจะถามว่า “ตาแก่ เจ้าได้ซื้อกระต่ายมาหรือป่าว? ทำไมเจ้าถึงกลับมามือเปล่าล่ะ?”
กรีนยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ข้าซื้อกระต่ายมาแล้ว แต่ข้าขอให้พวกตระกูลมาร์กี้เป็นคนส่งสินค้ามาให้ แต่ระหว่างทางกลับนั้น ข้าพบว่ามีบางคนติดตามข้าอยู่ และกลัวว่าจะเกินอะไรขึ้นข้าเลยกลับมาให้เร็วที่สุด แล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้างอย่างงั้นเหรอ?”
พวกเขาทั้งหมดยิ้มกับกรีน เมื่อเห็นทุกคนทำเช่นนั้น สีหน้าของกรีนก็เปลี่ยนไป “เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นเหรอ?”
เจ่าไห่เล่าสถานการณ์กับกรีนก่อนจะเปลี่ยนหน้าจอกลับไปยังหุบเขาเพื่อให้กรีนดู เมื่อกรีนจ้องไปที่ค่ายทหาร ประกายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่กลัวตายเลยสินะ นายน้อยครับ โจมตีพวกเขาคืนนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด”
เจ่าไห่พยักหน้า “ผมก็คิดเช่นนั้น คราวนี้ศัตรูของเรานั้นแข็งแกร่งมาก หนึ่งในนั้นเป็นนักเวทย์แสงระดับแปด และอีกสองคนเป็นนักเวทย์ดินระดับเจ็ด และยังมีนักรบระดับสูงสามคน และนักรบระดับกลางและนักฆ่า ถ้าหากพวกเราจับตัวคนเหล่านี้ได้ ไม่แน่ว่าพวกเราก็จะได้เบาะแสบางอย่างที่ช่วยให้เรารู้ว่าคนเหล่านี้คือใครก็ได้”
จากนั้นเจ่าไห่ก็ย้ายภาพของหน้าจอไปยังเต็นท์ของการ์รัน