ตอนที่ 96 – เปลี่ยนชื่อ
เมอร์รินนั้นเข้าใจถึงความจริงของน้ำแห่งความว่างเปล่าซึ่งทำให้ร่างกายของเจ่าไห่นั้นอ่อนแอกว่าคนทั่วไปเป็นอย่างดี ถ้าหากเจ่าไห่นั้นตายไไป เมื่อนั้นแล้วพวกเขาก็จะเสียมิติซึ่งเป็นที่พึ่งหลักของตระกูลบูดา
และที่สำคัญที่สุดคืออันเดตที่มาจากบึงซากศพและพวกกองทัพอมตะ ถ้าหากวันหนึ่งมิติหายไปแล้ว พวกนั้จะหายไปด้วยหรือป่าว? อย่างเลวร้ายที่สุดคือ พวกนี้ไม่หายไปแต่จิตวิญญาณเดิมกลับคืนมาต่างหากล่ะ ซึ่งมันจะเป็นปัญหาอย่างมาก
พวกเขานั้นต้องดูแลความปลอดภัยของเจ่าไห่ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะมิติ แต่เพราะว่าเขาคือทายาทคนสุดท้าย ถ้าหากเขาไม่ใช่ทายาทคนสุดท้าย และมีผู้สืบทอดอีกหลายๆคน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเจ่าไห่มาก
มันเป็นประเพณีที่มีเพียงแค่ทายาทสายตรงเท่านั้นที่จะใช้ชื่อครอบครัวได้ และเป็นสิ่งที่ขุนนางยึดถือกันมา ตราบใดที่ชื่อของตระกูลยังอยู่รอดและส่งผ่านต่อรุ่นสู่ร่อน สักวันหนึ่งพวกเขาก็สามารถที่จะกลับไปเช่นเดิมได้
เพราะคำพูดของเจ่าไห่ ทำให้ทุกคนในห้องนั้นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป
เจ่าไห่นั้นมองคนอื่นๆก่อนจะยิ้มเล็กๆออกมา เมื่อเขามาที่โลกแห่งนี้ เขาคืออดัม บูดา ทายาทคนสุดท้ายของตระกูล ถ้าหากให้ตระกูลบูดานั้นจะรุ่งเรืองอีกครั้ง พวกเขาต้องพึ่งพาเขาและลูกหลานในอนาคต ถ้าหากเขาตาย พวกเขาก็ต้องค่อยดูแลทายาทต่อไป แต่เจ่าไห่ไม่คิดว่าลูกหลานของเขาจะได้รับการสืบทอดมิติต่อไป และถ้าหากพวกเขาไม่สามารถที่จะเรียกเวทย์มนตร์หรือวรยุทธได้อีกล่ะก็ ตระกูลบูดาก็จะถูกกลั่นแกล้งจนไม่เหลือซาก
ถ้าหากเขาจะเป็นเพียงแค่เด็ก ด้วยความคิดของเขาก็คงไม่สามารถที่จะมองปัญหาของตระกูลบูดาออกได้ แต่ความคิดของเจ่าไห่นั้นคือชายอายุ 30 ปีที่มาจากโลก ทำให้เขานั้นไม่ได้มีความคิดแบบเด็ๆ เขามีความคิดที่จะตกหลุดรักใครสักคน เจ่าไห่นั้นคิดว่าสักวันเขาจะมีภรรยาและลูกๆ ในบ้านที่มีรั้วไม้สีขาว
แต่เมื่อเขามาอยู่ในทวีปอาร์คแห่งนี้ เขายุ่งเกินกว่าจะคิดสิ่งเหล่านั้น เขาไม่ใช่เจ่าไห่บนโลกอีกแล้ว แต่คืออดัมบูดา ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลบูดา เขาไม่ได้เพียงแค่รับร่างของอดัมมา แต่ยังแบกภาระหน้าที่มาด้วย
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ด้วยการที่ศัตรูนั้นล้อมรอบตัวเขา พวกเขานั้นถูกล้อมด้วยหนึ่งในห้าของแดนต้องห้ามของทวีป และยังต้องค่อยจัดการรับการโจมตีของสัตว์อสูณ แม้ว่าเขาจะมีมิติ แต่ก็ต้องระวังตัวเช่นกัน การผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจทำให้ทุกอย่างพังสลาย
ในขณะที่เขานั้นมองที่เมอร์ริน เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จึงพูดว่า “การแก้ปัญหาเรื่องบึงซากศพนั้นไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เหตุผลที่ไม่มีใครสามารถที่จะพิชิตมันได้เพราะ พวกเขานั้นไม่มีมิติแบบผม แม้ว่าสัตว์อสูรที่นั้นจะแข็งแกร่งอย่างไร แต่เมื่อเขามาในมิติแล้ว สัตว์อสูรเหล่านั้นก็จะภักดีต่อเรา สำหรับอากาศที่เป็นพิษนั้น พวกเราก็ไม่ต้องห่วง ถ้าหากพวกเรานั้นรวบรวมพืชที่มีพิษและค่อยๆเพิ่มความสามารถในการกำจัดพิษของน้ำสเปเทียลแล้ว เมื่อนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องห่วงบึงซากศพอีกต่อไป”
ดูเหมือนว่าตอนนี้เมอร์รินนั้นมีอารมณ์ที่แปรปรวน ตอนแรกเธอนั้นไม่กังวลอะไรเพราะเธอรู้ว่าถ้ามิติของเจ่าไห่นั้นมี Lv ที่สูงขึ้นนั้น เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น แต่เธอนั้นไม่เคยตระหนักถึงภัยอันตรายของบึงซากศพ ว่าถ้าหากเจ่าไห่นั้นตายและมิติหายไป จากสิ่งที่เจ่าไห่พูดนั้น ทำให้ใจของเธอนั้นไม่รู้สึกสงบ “ดูเหมือนว่าคุณวางแผนการไว้แล้ว เมื่อดรังค์และนักเวทย์มนตร์ดำนั้นจับสัตว์อสูรกลับมา ก็ทำให้กองกำลังของบึงซากศพนั้นอ่อนลง ในขณะที่กองกำลังของเรานั้นแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทำให้ในอนาคตนั้นไม่แน่ว่าจะสามารถพิชิตบึงซากศพนี้ได้”
“ใช่แล้ว พวกเราพูดได้ว่าตระกูลบูดานั้นถูกต้อนจนถึงปลายหน้าผาแล้ว ถ้าหากเราไม่ปักหลังที่แดนทมิฬแห่งนี้แล้ว ตระกูลก็คงจะสูญสิ้นเป็นแน่ ดังนั้นเราต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่รอด” เจ่าไห่กล่าวก่อนจะหันไปมองเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน ผมคิดมาตลอดเลยว่า วันนี้ผมจะเปลี่ยนชื่อเป็นเจ่าไห่ บูดา ชื่ออดัมนั้นตายไปแล้ว ตอนนี้ได้โปรดเรียกผมว่าเจ่าไห่”
ชีวิตก่อนนั้น เขาถูกเรียกด้วยชื่อเจ่าไห่มากว่าสามทศวรรษ แต่เมื่อมาที่นี้แล้ว เขาก็ได้ชื่อใหม่ว่า อดัม บูดาแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้คนเรียกชื่อนี้ และอย่าลืมว่านั้นคือชื่อของเขาในอดีต และมิติคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขานั้นรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างกัน
เมอร์รินนั้นไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับการเปลี่ยนชื่อของเจ่าไห่ ตราบใดที่เขานั้นยังใช้นามสกุลเดิม เมอร์รินนั้นเคารพเจ่าไห่มากกว่าพ่อของเขาเสียด้วยซ้ำ นั้นก็เพราะมิติ เธอนั้นไม่เคยเห็นความสามารถใดที่ทรงอานุภาพเช่นนี้มาก่อน
แม้ว่ามิตินั้นจะไม่สามารถที่โจมตีสิ่งใดๆได้ แต่ด้วยมิติก็ไม่สามารถที่จะมีใครทำอันตรายเจ่าไห่ได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เมอร์รินนั้นไม่รู้ นั้นคือโปรแกรมควบคุมจิตใจของมิติ ซึ่งทำให้ทุกคนนั้นไม่รู้สึกต่อต้านเจ่าไห่ เหมือนกับร๊อคและบล๊อค ซึ่งเดิมเชื่อฟังแต่กรีน แต่มิติก็ทำให้ทั้งสองนั้นเคารพเจ่าไห่ พวกเขานั้นคอยดูเจ่าไห่ที่เติบโตมาเป็นตัวปัญหาของตระกูลและปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนสิ่งของ แต่เมื่อเข้ามาในมิติแล้ว มุมมองของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามิติจะทำให้พวกเขานั้นเคารพเจ่าไห่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขานั้นสูญเสียความคิดของตนเองทั้งหมด ถ้าหากเจ่าไห่นั้นทำอะไรไม่ดีต่อพวกเขา พวกเขาก็สามารถที่จะต่อต้านได้ พวกเขาไม่ได้เชิดชูเขาอย่างหมดใจ ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้เจ่าไห่และทุกคนนั้นไม่รู้สึกถึงความผิดปกตินี้ที่เกิดจากมิติ
เมอร์รินนั้นพยักหน้าตกลงเรื่องการเปลี่ยนชื่อ “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ค่ะนายน้อย อย่างไรก็ตาม นายน้อยก็ไม่สามารถที่จะใช้ชื่อของอดัมได้อยู่แล้ว การที่จะให้พวกเราเรียกว่าเจ่าไห่ ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดีค่ะ”
ทันใดนั้นก็มีประกายแสง ซึ่งทำให้เจ่าไห่นั้นสนใจ เมื่อทุกคนมองที่หน้าจอก็พบว่ามีนักฆ่านั้นมาล้อมรอบหุบเขาเสียแล้ว ดูเหมือนว่าในที่สุด กองทัพของศัตรูก็มาถึงแล้ว
เจ่าไห่นั้นคอยสังเกตุการเคลื่อนไหวของพวกนักฆ่า แม้ว่าหน้าจอนั้นจะมีระยะการแสดงผลเพียงแค่ห้าร้อยเมตร แต่มันก็ยังให้เห็นภาพสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี พวกเขานั้นตั้งค่ายป้องกันชนิดที่เรียกได้ว่า จะไม่มีใครนั้นผ่านพวกเขาไปได้
เจ่าไห่นั้นก็อดพยักหน้าก่อนจะหันไปหาเมอร์ริน “ครั้งนี้ พวกเราจะต้องจัดการพวกเขาอย่างระวัง ผมคิดว่าจะให้บริกซ์นั้นเขามาในมิติ เพราะเกรงว่าบริกซ์อาจจะถูกพบได้”
“เห็นด้วยค่ะ และดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะมีแบบแผนเป็นอย่างดี” เมอร์รินกล่าวว่า “นายน้อยค่ะ ส่งข้อความถึงดรังค์และนักเวทย์คนอื่นๆมาด้วยนะค่ะ จากนั้นให้พวกเขานั้นไปยังค่ายที่ตั้งในหุบเขา”
เจ่าไห่ก็พยักหน้าก่อนจะเรียกนักเวทย์มนตร์ดำมาหาเขา พวกเขาเมื่อมาถึงก็ทำความเคารพเจ่าไห่ ก่อนที่จะมองที่หน้าจอก่อนจะอธิบายแผนการ
ภาพบนหน้าก็เปลี่ยนไป พวกนักฆ่าทั้งหลายนั้นหยุดลง ก่อนจะกระจายตัวไปรอบๆกองทัพนี้ส่วนใหญ่นั้นเป็นนักรบซึ่งเดินเท้า จะมีเพียงแค่นักเวทย์สามคนและนักรบสามคนที่ขี่ม้า
หนึ่งในนักเวทย์นั้นใส่เสื้อคลุมสีขาว ซึ่งเสื้อคลุมนี้นั้นต่างจากของเจ่าไห่ที่มีสีดำ เพราะมันไม่มีหมวกและมันเป็นผ้าไหม สีขาวนี้ส่องประกายแสงของดวงอาทิตย์ยามบ่ายนี้ ด้วยเสื้อคลุมที่ดูหรูหรานี้ นักเวทย์แสงก็ถือไม้เท้าที่มีคริสตัลใสขนาดใหญ่ที่ประกายแสงเจ็ดสีที่ประกายขึ้นมาใต้แสงอาทิตย์
นักเวทย์แสงนี้นั้นยังดูหนุ่มอยู่ ซึ่งน่าจะอายุราวๆสามสิบปี เขานั้นมีท่าทางที่ใจดีและมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้า ซึ่งทำให้ทุกคนนั้นรู้สึกว่าสามารถที่จะคุยกับเขาได้
แต่เจ่าไห่นั้นคิดต่างออกไป