ตอนที่ 93 – ความเคลื่อนไหว
เจ่าไห่ยิ้ม “ยายเมอร์ริน ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะเลี้ยงปลาจำนวนมากมายขนาดนั้น เพราะถ้าเราขายมาเกินไป มันจะไม่ทำให้มันราคาตกอย่างงั้นเหรอ?”
คำพูดของเจ่าไห่นั้นเหมือนกับน้ำเย็นที่ดับความกระตือรือร้นของเมอร์รินทันทีและตั้งสติขึ้นมาได้ ซึ่งพวกเขาทั้งสองก็มีมีมุมมองเหตุผลที่ต่างกัน ซึ่งเจ่าไห่นั้นมองว่าการถล่มตลาดด้วยปลาเพลิงจำนวนมากนั้นจะทำให้ราคาตก แต่เมอร์รินกลับมีมุมมองที่ว่ามันจะส่งผลต่อตระกูลบูดาอย่างไร เพราะถ้าหากมีคนรู้ว่ามีพวกเขานั้นสามารถที่จะเลี้ยงปลาเพลิงได้จำนวนมากแล้ว พวกเธอจะถูกตามล่าก็เป็นได้
เมอร์รินทำหน้าบึง “นายน้อย สิ่งที่คุณพูดมานั้นก็ถูก แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกเราต้องไม่ให้มีใครรู้ว่าพวกปลาเพลิงนี้มีความสัมพันธ์กับตระกูลบูดา ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราจะลำบากแน่นอน พวกขุนนางคงจะใช้ปลาเพลิงพวกนี้เป็นเครื่องมือทำเงินอย่างแน่นอน ฉะนั้นพวกเราต้องระวังตัวด้วยนะค่ะ”
เจ่าไห่พยักหน้า “ไม่ต้องเป็นห่วงยายเมอร์ริน ผมจะระวังตัว ทุกคนรู้ดีว่าผมนั้นมีสถานะคือนักเวทย์มนตร์ดำ ดังนั้นแล้ว คงจะไม่ใครสงสัยผมหรอกครับ และผมยังมีดรังค์ที่ค่อยจับสัตว์อสูรอยู่ในบึงซากศพ ดังนั้นแดนทมิฬก็น่าจะปลอดภัย”
เมอร์รินพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “ในทวีปนั้น พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อไม่มีเงินแม้แต่ขุนนางที่เก่าแก่ก็ยังหาวิธีในการหาเงิน บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วที่ตระกูลบูดาถูกเนรเทศไปยังแดนทมิฬ อย่างน้อยพวกเราก็ยังซ่อนตัวได้ ตราบใดที่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเราสามารถที่จะเลี้ยงปลาเพลิงได้ พวกเราก็จะปลอดภัย”
“ใช้แล้ว ตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือทำให้ทุกคนนั้นลืมพวกเราไปตามกาลเวลา” เจ่าไห่กล่าวขึ้นมา
พวกเขานั้นพูดคุยกันต่ออีกสักพักก่อนจะกลับไปยังวิลล่า หลังจากนั้นก็ตรวจสอบสถานการณ์ทั้งภูเขาทั้งสองแห่งจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาใดๆ เจ่าไห่ก็พักอย่างสงบในมิติ
เจ่าไห่นั้นชอบที่จะอยู่ในมิติ เพราะอย่างแรกเลยก็คือการออกแบบของวิลล่าที่เหมือนกับอยู่บนโลกของเขา ซึ่งทำให้รู้สึกสบาย และอย่างที่สองคือเขาสามารถควบคุมทุกสิ่งในมิติ จึงทำให้เขานั้นไม่ต้องเหนื่อยทำอะไร
มิตินั้นไม่เคยที่จะมืดลง และท้องฟ้าก็ยังเป็นสีเหมือนเดิมตลอด ซึ่งถ้าหากเจ่าไห่นั้นต้องการที่จะรู้ว่าข้างนอกมืดหรือไม่ ก็ใช้เพียงแค่หน้าจอตรวจสอบเพียงแค่นั้น
ในช่วงเย็น เจ่าไห่ก็เรียกบล๊อคและร๊อคเข้าไปพักในวิลล่า ส่วนพวกทาสก็ปล่อยไว้ที่ปราสาท ซึ่งมีอาหาร น้ำดื่มและฟืนที่เพียงพอ ซึ่งพวกทาสเองก็ต้องการนอนที่ปราสาทแม้ว่าในมิตินั้นจะสบายกว่ามาก แต่พวกเขาก็ไม่มีความคิดที่จะนอนกับเจ่าไห่ซึ่งเป็นนายของพวกเขา พวกเขานั้นไไม่เคยรู้เลยว่าในขณะที่พวกเขาหลับนั้น เจ่าไห่จะตื่นหรือไม่ ซึ่งทำให้พวกเขานั้นรู้สึกอึดอัด ซึ่งนอนที่ปราสาทนั้นทำให้พวกเขานั้นสบายมากกว่า
ในบางช่วงเวลาที่เจ่าไห่นั้นอยู่ในมิตินั้น เขาก็มอดูต้นพีชเวทย์มนตร์ โชคดีที่การเติบโตของมันนั้นเป็นที่น่าพอใขอย่างมาก ต้นพีชนี้นั้นแตกต่างจากต้นพีชในชีวิตอดีตของเขาเนื่องจากมันไม่ได้สูงมาก และตัวต้นเองก็เหมือนกับหินคริสตัลที่ถูกแกะสลักอย่างสวยงาม
ซึ่งเมอร์รินและเม็กก็ให้ความสนใจมันด้วยเช่นกัน เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว นี้คือสิ่งที่สำคัญอย่างมาก
ในช่วงเย็นนั้น เจ่าไห่ก็เก็บหัวไชเท้า ซึ่งทำให้มีหัวไชเท้าจำนวนมาก และเมื่อลอร่ากลับมา พวกเขาก็มีมากพอที่จะขายให้กับเธอ
สำหรับตอนนี้ ช่องทางแหล่งรายได้ของพวกเขานั้นก็คือหัวไชเท้า ปลาเพลิง และผลน้ำมัน และยังมีลูกพีชเวทย์มนตร์ที่ยังตัดสินใจอยู่ว่าจะขายหรือไม่
เจ่าไห่นั้นคำนวณถึงสิ่งต่างๆ เนื่องจากน้ำมันจากผลน้ำมันนั้นมีราคาถูกแต่มันมีความต้องการสูง จึงทำให้สามารถขายได้เรื่อยๆ
ส่วนปลาเพลิงนั้นมีมูลค่า แต่เจ่าไห่นั้นต้องการจะขายมันในจำนวนที่น้อย ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นจุดสนใจมากเกินไป
สำหรับหัวไชเท้านั้น มันเป็นสิ่งที่ขายได้ทั่วไไป แม้ว่าพวกมันจะเป็นผักเวทย์มนตร์ แต่ก็ยังมีสามัญชนซึ่งมันอยู่ แต่หัวไชเท้าเวทย์มนตร์ส่วนมากแล้วจะขายให้กับขุนนางหรือพ่อค้าเพราะว่าสามัญชนนั้นไม่มีเงินมาพอที่จะซื้อหัวไชเท้าเวทย์มนตร์ได้ทุกๆวัน
ซึ่งทำให้เขานั้นสามารถที่จะขายหัวไชเท้าเวทย์มนตร์ได้มากกว่าปลาเพลิง แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะขายเยอะจนเกินไป ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อทั้งตลาด และทำให้เขาเองนั้นแหละที่จะเสียกำไรไป
เจ่าไห่ที่นั่งอยู่ข้างต้นพีชเวทย์มนตร์ จู่ๆก็มีเสียงของบริกซ์ก้องออกมา “นายท่าน ตอนนี้เรามีปัญหาที่ภูเขาหินแล้วครับ”
เจ่าไห่นั้นนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเปิดหน้าจอขึ้นมาดู นักเวทย์มนตร์ดำที่ประจำอยู่นั้นจะไม่รายงานกลับมา ถ้าหากว่าคนที่คอยสอดแนมอยู่นั้นลงมือ ซึ่งดูเหมือนว่าศัตรูนั้นจะหมดความอดทนกับเขาแล้ว
“เจ้าแน่ใจนะว่ารายงานถูกต้อง?” เจ่าไห่ถามอีกครั้งหนึ่ง
“ถูกต้อง แล้วครับ” บริกซ์ย้ำคำตอบเดิม “ตอนนี้พวกเขานั้นมุ่งหน้ามายังภูเขาหินแล้ว ซึ่งคาดว่าจะถึงพรุ่งนี้ตอนมืด”
เจ่าไห่พยักหน้า “พวกเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน?”
“มีนักเวทย์สามคน และนักรบระดับสูงสามคน พร้อมกับนักรบระดับกลางกว่าสามร้อยคน และนักฆ่ากว่าหนึ่งร้อยคน และในกลุ่มนักเวทย์ก็มีนักเวทย์แสงอยู่ด้วย”
“นักเวทย์แสง?” เจ่าไห่บ่นพึมพำ “ไม่คิดเลยว่าพวกนั้นถึงกับใช้นักเวทย์แสง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลงทุนไม่น้อยสำหรับการโจมตีครั้งนี้”
เป็นที่รู้กันในทวีปว่า นักเวทย์แสงและนักเวทย์มนตร์ดำนั้นเป็นเหมือนขั้วตรงกันข้าม ถ้าหากในกลุ่มผู้คนแล้ว นักเวทย์คนดำนั้นเหมือนกับปีศาจ แต่นักเวทย์แสงนั้นเหมือนกับนักบุญ ซึ่งปกติแล้วนักเวทย์แสงนั้นจะสวมเสื้อคลุมสีขาวที่เรียบร้อยและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับมือที่ร่ายเวทย์คอยรักษาผู้คนและกำจัดศัตรู ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อนักเวทย์ที่สมบูรณ์แบบ
เจ่าไห่นั้นไม่แน่ใจว่าเวทย์แสงนั้นจะยับยั้งเวทย์มนตร์ดำได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าหากนักเวทย์แสงนั้นอยู่ระดับเดียวกับนักเวทย์มนตร์ดำแล้วจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน แต่นั้นก็เกิดขั้นถ้าหากพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน เหมือนกับสองในห้าธาตุ นั้นคือไฟและน้ำ ซึ่งในธรรมชาติแล้วน้ำนั้นชนะไฟ แต่ถ้าใช้น้ำแก้วเดียวก็ไม่อาจดับไฟที่โหมกระหน่ำได้
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับทวีปนี้แล้ว วิธีการที่ดีที่สุดในการต่อกรกับนักเวทย์มนตร์ดำก็คือเวทย์แสง แม้ว่านักเวทย์แสงนั้นจะไม่ได้อยู่ในระดับที่สูง แต่ก็สร้างความปวดหัวให้กับนักเวทย์มนตร์ดำไม่น้อย ในเมื่อตัวตนของเจ่าไห่นั้นคือนักเวทย์มนตร์ดำ ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีถ้าจะใช้นักเวทย์แสงมาต่อกรกับเขา
ซึ่งในจุดนี้ ดูเหมือนว่าศัตรูนั้นต้องการที่จะกำจัดเจ่าไห่จริงๆ พวกเขาถึงส่งนักเวทย์ออกมาถึงสามคน พร้อมด้วยกองกำลังที่ส่งมานั้น ก็จัดได้ว่าคนเหล่านี้นั้นไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะใช้อันเดตทหารรับจ้างเข้าต่อสู้ พวกเขาก็คงอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงเป็นแน่
แต่เจ่าไห่ก็ไม่กลัว สำหรับเขาแล้วนั้น นักเวทย์แสงเพียงคนเดียวที่เป็นปัญหา แต่ตอนนี้เขาพร้อมแล้ว ซึ่งเขาเองก็ไม่โง่พอที่จะนั่งรออยู่เฉยๆ เพราะการป้องกันที่ดีสุด คือการโจมตี!!!
และนี้คือโอกาสที่ดี เจ่าไห่นั้นต้องการแสดงว่าพวกเขานั้นต่อสู้กับใครอยู่ ถ้าหากศัตรูไม่เคารพพวกเขาแล้ว พวกเขาก็คงต้องต่อสู้ไม่จบไม่สิ้น