ตอนที่ 88 – กลับไปยังปราสาท
กรีนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อได้รูว่าเหรียญทองในมิติตอนนี้สามารถนำออกมาใช้ข้างนอกได้แล้ว เพราะว่านี้คือสิ่งที่กรีนกังวลมากที่สุดในตอนนี้
เขานั้นรู้ว่ามิตินั้นมีหน้าที่หลักในการทำฟาร์ม แต่ไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ แต่ก็มีปัญหาอย่างหนึ่งก็คือมันมีผลผลิตมากจนเกินไป ตัวอย่างเช่นถ้าเจ่าไห่นั้นปลูกแต่หัวไชเท้าอย่างเดียวเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว เขาก็เกรงว่ามันสามารถที่จะเลี้ยงประชากรทั้งทวีปได้กว่าทศวรรษแม้ว่าทุกคนกินแต่หัวไชเท้าก็ตาม
ด้วยการที่มันมีผลผลิตมากจนเกินไป มันอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดในทวีป ถ้าพวกเขานั้นพยายามที่จะขายมันทั้งหมด
แต่การขายให้กับมิตินั้นไม่เหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาจะได้เงินน้อยกว่าก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับกลไกตลาดเมื่อขายหัวไชเท้าออกไป ซึ่งมันถูกแก้ปัญหาด้วยความสามารถของมิติที่สามารถนำมันออกมาจากมิติได้ ซึ่งสำหรับเหรียญทองแล้วนั้นพวกเขาสามารถนำไปใช้ซื้อสิ่งของต่างๆได้
หลังจากพักผ่อนแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น กรีนก็เดินทางไปยังเมืองคาซ่า โดยครั้งนี้พวกเขานั้นไม่ปิดบังเลยว่ากรีนนั้นต้องการจะซื้ออะไร
เมื่อกรีนออกไปแล้ว เจ่าไห่ก็กลับเข้าไปยังคฤหาสน์ พวกเขานั้นพร้อมที่จะส่งพวกทาสนั้นกลับไปยังปราสาทภูเขาเหล็กแล้ว
เมื่อวานนี้เจ่าไห่และกรีนได้ทำการพูดคุยกันไว้แล้ว ซึ่งกรีนก็เห็นด้วย เนื่องจากว่าหมู่บ้านนี้นั้นเล็กและใกล้กับเมื่องคาซ่าจนเกินไป มันถึงเวลาแล้วที่จะส่งพวกเขากลับไป
อย่างไรก็ตามปราสาทนั้นคือฐานที่มั่นของพวกเขา ยังไงก็ตามพวกเขาก็ต้องกลับไปอยู่ดีและด้วยหินจากภูเขาหินนี้แล้วนอกจากที่มันจะใช้ทำสิ่งของต่างๆแล้วมันยังสามารถใช้ซ่อมแซมปราสาทได้อีกด้วยแม้ว่าปราสาทนั้นจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่มันก็ถูกสร้างมาเป็นเวลาหลายปีแล้วการซ่อมบำรุงจึงเป็นสิ่งจำเป็น และการขุดเหมืองที่ภูเขาเหล็กก็ไม่มีความสะดวกมากเท่ากับภูเขาหินนี้
นอกจากนี้แล้วเจ่าไห่เองก็ต้องการกันคนให้อยู่ห่างจากภูเขาหินนี้ พวกเขาจึงต้องยังคงร่ายเวทย์หมอกดำที่คลุมภูเขานี้ต่อไป ซึ่งดรังค์ก็บอกว่าถ้าพวกเขาไปแล้ว เวทย์นี้ก็จะสลายไปทำให้คนอื่นๆนั้นเห็นคฤหาสน์แห่งนี้ ซึ่งเจ่าไห่นั้นไม่ต้องการจึงปล่อยนักเวทย์มนตร์ดำสองคนคอยร่ายเวทย์นี้ต่อไป
ซึ่งเจ่าไห่นั้นเรียกใช้สเกลและบริกซ์ อยู่ที่นี้ และยังให้อันเดตไว้กว่าหนึ่งร้อยตน ซึ่งน่าจะเพียงพอในการจัดการปัญหาต่างๆ ตราบใดที่พวกเขานั้นสามารถต้านศัตรูไว้ได้ เจ่าไห่ก็สามารถที่จะส่งกำลังเสริมมาช่วยได้ทันที
ส่วนนักเวทย์มนตร์ดำที่เหลือก็ตามเจ่าไห่กลับไปยังปราสาทภูเขาหินเหล็ก เขานั้นให้นักเวทย์สองคนคอยคุ้มกันปราสาท ส่วนอีกสี่คนนั้นเข้าไปยังบึงซากศพเพื่อที่จะจับซอมบี้และสัตว์อสูร
ตอนนี้เขานั้นมีทุ่งหญ้าปศุสัตว์แล้ว เขาสามารถที่จะเก็บสัตว์อสูรต่างๆเข้าไปได้ซึ่งมันช่วยให้เขานั้นมีกองทัพของตัวเอง
เมื่อสร้างกองทัพสัตว์อสูรจนเสร็จสิ้นแล้ว เจ่าไห่ก็สามารถที่จะพัฒนาแดนทมิฬได้อย่างสบายใจ ไม่งั้นแล้วเขาก็ต้องค่อยระวังคนอื่นๆ
สำหรับตอนนี้ เจ่าไห่ให้บล๊อคและร๊อคเป็นคนคอยออกคำสั่งต่างแก่พวกทาสและปกป้องเขา ส่วนเจ่าไห่นั้นจะกลับไปอยูที่ภูเขาหิน เขานั้นต้องรอจนกว่าลอร่าจะกลับมา แม้ว่าเขาจะสามารถที่จะนำเหรียญทองออกไปข้างนอกมิติได้ แต่จำนวนเงินที่ได้จากผลผลิตต่างๆนั้นได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่สามารถเทียบกับตลาดของทวีปได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเขานั้นต้องการความร่วมมือกับลอร่า
เจ่าไห่ก็เริ่มงานต่างๆ โดยอย่างแรกเขาจัดระเบียบพวกทาสก่อนจะส่งกลับไปยังปราสาทซึ่งมันไม่ยากมากเพราะพวกทาสนั้นคุ้นเคยกับมิติแล้ว เมื่อพวกเขาเข้าไปในมิติแล้วเจ่าไห่ก็พูดขึ้นว่า “ผมมีเรื่องอย่างจะบอกหนึ่งอย่างตอนนี้ จากนี้ต่อไปมิติของพวกเราสามารถที่จะเดินทางไปยังปราสาทภูเขาหินเหล็กได้แล้ว ผมนั้นต้องการใช้หินที่ได้จากที่นี้กลับไปซ่อมแซมปราสาทและใช้ทำสิ่งต่างๆ”
ทาสนั้นจ้องไปยังเจ่าไห่ด้วยความงุนงงเพราะไม่เข้าใจความหมายที่เจ่าไห่สื่อออกมา เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงอธิบายเพิ่ม “ถ้าจะอธิบายง่ายๆก็คือ มิตินี้ก็เหมือนห้องที่มีประตูอยู่สองบาน บานหนึ่งนั้นจะส่งพวกเจ้าไปยังภูเขาหิน ส่วนอีกบานนั้นจะส่งเจ้าไปภูเขาหินเหล็ก มีคำถามอะไรไหม?”
พวกทาสนั้นไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา พวกเขานั้นรู้สึกว่ามิตินั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แปลกใจความสามารถแบบนี้
เจ่าไห่นั้นไม่คิดเลยว่าปฏิกิริยาของพวกเขาจะนิ่งสงบเช่นนี้
เขาส่ายหัวก่อนจะพาเมอร์ริน ,เม็ก ,นักเวทย์มนตร์ดำทั้งหกรวมทั้งบล๊อค,ร๊อคและพวกทาสกลัยไปยังปราสาทภูเขาเหล็ก
เมื่อทุกคนออกมาจากมิติแล้วก็อยู่ที่ลานปราสาทซึ่งเจ่าไห่ตั้งค่าไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็เอาหินที่ได้มาจากภูเขาหินนั้นให้แก่พวกทาสไปทำงานกันต่อ นอกจากนี้แล้วเขาก็นำอาหารออกมาให้เมอร์รินและเม็กรวมถึงสิ่งของจำเป็นต่างในการดำรงชีวิตอย่างผ้าห่มเป็นต้น
ตอนนี้สเกล ,บริกซ์และอันเดตทั้งร้อยตัวนั้นยังคงรอกรีนที่ไปเมืองคาซ่าอยู่ที่ภูเขาหินเช่นเดิม เจ่าไห่คิดว่าจะใช้เวลาสองวันในการจัดข้าวของต่างภายในปราสาท
เนื่องจากว่าพวกเขานั้นเดินทางออกไปจากปราสาทกว่ายี่สิบวัน ตัวปราสาทนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนอกจาปริมาณฝุ่นที่เกาะขึ้นมา
หลังจากที่ทำความสะอาดแล้ว พวกทาสก็รับคำสั่งจากแอนทำงานชิ้นต่อไป พวกเขานั้นเริ่มติดตั้งหินโม่กับไม้ที่ได้จากต้นผลน้ำมัน ตัวเนื้อไม้นั้นแข็งแกร่งมากและเมื่อมิตินั้น Lv เพิ่มขึ้นก็ยิ่งทำให้มันแข็งแกร่งกว่าเดิมอีก แต่เนื่องจากว่ามันมีน้ำมันอยู่ในไม้ด้วยจึงทำให้มันติดไฟได้ง่าย แต่เจ่าไห่ก็ไม่ได้กังวลเรื่องนี้เพราะว่าเขานั้นมีคูน้ำอยู่รอบปราสาท จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไฟไหม้
แม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่มีใครที่เป็นช่างไม้หรือช่างตีเหล็กเลย แต่การแกะหินนั้นก็ไม่ได้ยากมากมาย เพราะมันไม่ใช่งานที่ละเอียดอ่อนมากนัก พวกเขาแค่ต้องการแค่แกะสลักหินให้สามารถติดกับไม้ได้ ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ถ้าแข็งแรงมากพอ
เมื่อพวกทาสเริ่มทำงาน เจ่าไห่ก็ไปหาเมอร์ริน
“ยายเมอร์ริน ไปที่หุบเขากันเถอะ ผมอยากรู้ว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง”
เมอร์รินก็สงสัยว่าจะมีอะไรเกินขึ้นกับข้าวโพดบาง เธอจึงพยักหน้า
ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในภูเขาก่อนจะเดินทางข้ามทะเสสาบใต้ดินเพื่อไปยังหุบเขา ซึ่งเมื่อเจ่าไห่และเมอร์รินไปถึงก็ต้องตกใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าข้าวโพดที่ปลูกไว้นั้นยังโตขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าต้นข้าวโพดจะไม่สูงมากและดูอ่อนแอ แต่มันก็ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อมองไปยังต้นกล้าในพื้นดินที่ปรับปรุงแล้วนั้น เมอร์รินและเจ่าไห่ก็หัวเราะออกมา หลังจากการโจมตีของกองทัพสัตว์อสูรนั้น พวกเขานั้นยอมแพ้ไปแล้ว ด้วยหน้าดินที่เป็นพิษ เจ่าไห่นั้นไม่หวังว่าต้นกล้านั้นจะยังโตได้ แต่ตอนนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่าพื้นดินด้านล่างนั้นยังคงอุดมสมบูรร์จากการปรับปรุง ทำให้ต้นกล้าเหล่านี้ยังอยู่รอด
นับตั้งแต่เจ่าไห่การเดินทางไปยังเมืองคาซ่า ต้นกล้าเหล่านี้ก็ยังยืดหยัดอยู่ได้ ดูเหมือนว่าพวกมันยังดื้อรั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป