ตอนที่ 73 – นอกเมืองคาซ่า
เหตุผลที่กรีนนั้นเลือกเนินเขาล็กๆแห่งนี้ก็เพราะว่ามันมีราคาที่ต่ำ เนื่องจากใช้เงินเพียงแค่ 100 เหรียญทองก็สามารถซื้อคฤหาสน์และเนินเขาทั้งหมด และอย่างที่สองคือมันใกล้กับเมืองคาซ่า ถึงแม้ว่ามันจำเป็นต้องใช้เวลาในการเดินทางไปยังเมืองถึงสองวันเมื่อใช้รถม้าธรรมดา ซึ่งทำให้การขนส่งหัวไชเท้ารอบหนึ่งนั้นใช้เวลาสี่วัน นอกจากนี้แล้วยังมีอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ มันเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมา ดังนั้นแล้วปกติก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขา
บนเนินเขาใกล้เมืองคาซ่านั้น ส่วนใหญ่แล้วที่ดินเหล่านี้มักจะเป็นคฤหาสน์ของชนชั้นสูงซึ่งทำเป็นสถานที่พักผ่อน มันจึงกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของที่ดินแถวนี้ ดังนั้นการซื้อขายที่ดินแถวนี้ถึงเป็นเรื่องปกติ
หลังจากที่กรีนซื้อคฤหาสน์แล้ว เขาก็รีบเข้าไปในเมืองคาซ่าเพื่อเข้าไปหาข้อมูล เขานั้นต้องการรู้ความคิดของตระกูลเพอร์เซลล์ต่อการปรากฎตัวของนักเวทย์มนตร์ดำ และที่สำคัญคือเขาต้องเข้าไปหาข้อมูลข้างในเมือง แต่ตอนนี้พวกเขานั้นเงินใกล้จะหมดแล้วซึ่งมันเหลือเพียงแค่ห้าสิบเหรียญทอง และเขาต้องรอจนกว่าลอร่าจะกลับมาได้ถึงจะทำการขายหัวไชเท้าที่เก็บไว้ได้
แม้ว่าห้าสิบเหรียญทองนั้นดูเหมือนจะมากสำหรับสามัญชน แต่สำหรับในเมืองค่าซ่าแล้วนั้นถึงว่ามันเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อย เพราะมันมีค่าใช้จ่ายที่สูงในเมือง กรีนจึงกลัวว่าเงินเพียงแค่ห้าสิบเหรียญทองนั้นอาจจะช่วยพวกเขาได้เพียงแค่ไม่นาน
เจ่าไห่นั้นเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ ซึ่งทำให้จากเวลาที่ควรจะใช้เพียงแค่เจ็ดวันเพื่อมาถึงเมืองคาซ่ากลายเป็นสิบวัน ซึ่งเมื่อมาถึงแล้วเขาก็ไม่เข้าไปในเมืองคาซ่าแต่ค้างคืนอยู่ข้างนอกแทน นั้นก็เพราะว่ามันมืดแล้วเมื่อเขามาถึง
ซึ่งทำให้คนอื่นๆก็เชื่อเช่นนั้นแต่ในความจริงแล้วเจ่าไห่นั้นรอกรีนกลับมาหาเขาเพื่ออธิบายสถานการณ์และสิ่งที่เขาเตรียมไว้ในเมืองคาซ่า
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน กรีนก็เข้ามาในตัวเอเลี่ยนและเจ่าไห่ก็เปิดประตูมิติให้กรีนเข้าไป ซึ่งทำให้คนอื่นข้างนอกนั้นไม่รู้เรื่องนี้ เพราะมิติของเขานั้นไม่ได้เป็นเวทย์มนตร์ มันจึงไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังเวทย์ใดๆ จนคนอื่นๆนั้นไม่สามารถตรวจจับได้
เมื่อกรีนเข้าไปพบกับพวกเจ่าไห่แล้ว เจ่าไห่ก็ทักทายและถามว่า “ปู่กรีน เป็นอย่างไรบ้างครับ?”
กรีนยิ้ม “วางใจได้เลยครับ นายน้อย ผมได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ผมได้ซื้อที่ดินเล็กๆไว้ข้างนอกเมืองแล้ว ซึ่งพวกเราสามารถที่จะอยู่ที่นั้นได้จนกว่าลอร่าจะกลับมา ก่อนที่จะไปทำข้อตกลงกับเธอ
เจ่าไห่รู้สึกโล่งใจ “ยอดมากเลยครับปู่กรีน เมื่อเราจัดการที่ดินแห่งนี้เสร็จแล้ว ผมอยากจะเข้าไปในเมืองคาซ่าซักหน่อย”
“ใช่ครับ พวกเราควรเข้าไปในเมืองคาซ่า” กรีนพยักหน้า “เพราะหลายวันที่ผ่านมา ผมพบว่าตระกูลเพอร์เซลล์นั้นค่อนข้างสนใจตระกูลของพวกเรา แต่เพราะการปรากฎตัวของนักเวทย์มนตร์ดำ ทำให้พวกเขานั้นเบี่ยงความสนใจไปที่นั้น ดังนั้นเราต้องตอกย้ำพวกเขา”
แม้ว่าเสียงของกรีนนั้นดูเหมือนจะขัดแย้งกัน แต่เมอร์รินและทุกคนก็เข้าใจความหมายของเขา พวกเขานั้นไม่เกรงกลัวผู้คนจะตรวจสอบเรื่องนักเวทย์มนตร์ดำที่ปรากฎตัวขึ้นมา แต่พวกเขานั้นกลัวเรื่องตัวตนของตระกูลบูดา ดังนั้นกรีนจึงต้องการให้เจ่าไห่ที่เป็นนักเวทย์มนตร์ดำคอยปรากฎตัวเพื่อดึงความสนใจของคนเหล่านี้ไว้
เจ่าไห่พยักหน้า “เอาล่ะ ผมต้องการรู้ว่าพวกเขานั้นจะจัดการกับผมอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมกังวลก็คือชายที่อยู่เบื้องหลังดรังค์และกองทัพอมตะ มันสิบกว่าวันแล้วที่ผมส่งดรังค์และกองทัพอมตะนั้นเข้าไปในมิติและก็เป็นเวลานานแล้วที่พวกเขาไม่ได้ติดต่อกับองค์กรที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา คุณคิดว่าองค์กรนั้นจะสงสัยพวกเราหรือไม่?”
กรีนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ผมเกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่พวกเราก็ไม่ต้องกลัวพวกเขา และมันจะเป็นการดีกว่าที่พวกเขานั้นมาหาพวกเรา เพราะถ้าพวกเขามา พวกเราก็พอจะได้รู้บางว่าคนเหล่านี้คือใคร”
เจ่าไห่พยักหน้า “เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้นแล้วพรุ่งนี้พวกเราไปที่คฤหาสน์ของพวกเรากันก่อน ค่อยเดินทางไปยังเมืองคาซ่า”
กรีนพยักหน้าแม้ว่าเขาจะดูไม่เต็มใจก็ตาม “นายน้อย เมื่อพวกเราไปยังเมืองคาซ่าแล้ว พวกเราก็ยังไม่สามารถที่จะซื้ออะไรได้ ตอนนี้พวกเรามีเงินเพียงแค่ห้าสิบเหรียญทอง ซึ่งด้วยจำนวนเงินเพียงแค่นี้ มันไม่พอสำหรับการใช้จ่ายของพวกเรา” พวกเขานั้นไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยด้วยเงินเพียงแค่ห้าสิบเหรียญทอง แม้กระทั่งซื้อเครื่องคั่นน้ำธรรมดาก็ไม่ได้
แต่โชคยังดีที่กรีนนั้นจัดการซื้ออาหารและของใช้ต่างๆมาก่อนแล้ว ทำให้ช่วงนี้พวกเขานั้นคงจะไม่อดอยากไปซักพัก
เจ่าไห่ส่ายหัว “พวกเราไม่จำเป็นต้องซื้ออะไร พวกเราแค่ไปเดินดูรอบๆเมือง เพื่อที่จะให้คนอื่นๆรู้ว่าพวกเรามาถึงแล้วเท่านั้น”
กรีนหัวเราะ “ดีเลยครับ เมื่อพวกเราไปถึงเมืองแล้ว ผมอยากจะรู้ว่าคนพวกนั้นจะมีสีหน้าอย่างไรเมื่อเห็นพวกเรา”
เจ่าไห่ยิ้นและก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ดีว่ากรีนนั้นโศกเศร้าแค่ไหนที่ตระกูลเกือบจะล่มสลายเพื่อที่จะรักษาชีวิตของอดัม เขาต้องยอมก้มหัวให้กับขุนนางต่างๆ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของกรีนเลยแม้แค่น้อย จากนั้นพวกเขาก็ถูกกดดันอย่างหนักในการใช้ชีวิตในแดนทมิฬ
แต่ตอนนี้มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว แม้ว่าพวกเขานั้นจะมีตัวตนอยู่อย่าง ทำให้เขาสามารถออกไปยังโลกภายนอกและทำสิ่งต่างๆได้ มันทำให้กรีนนั้นรู้สึกเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง
ด้วยสถานะปัจจุบัน พวกเขาก็ไม่ต้องสนใจเรื่องของผู้คนที่จะต้อนรับพวกเขาหรือมไม่เพราะด้วยฐานะตอนนี้ พวกเขาสามารถที่จะเดินไปข้างนอกโดยที่ไม่ต้องเกรงกลัวขุนนางใดๆที่จะต่อต้านพวกเขา
เหมือนกับคนที่ไม่เคยเห็นแสงสว่างแล้ววันหนึ่งก็สามารถเห็นมันได้อีกครั้ง มันจึงเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถที่จะอธิบายมาเป็นคำพูดได้
แน่นอนว่ากรีนจะรู้ดีว่าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาคือตระกูลบูดา แต่พวกเขาก็ต้องทำเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะเกิดของสงสัยได้ ดังนั้นบางครั้งพวกเขาก็ต้องทำตัวให้หน้าเกรงขามเพื่อปกปิดตัวตนของพวกเขา
ซึ่งการทำเช่นนี้นั้นเป็นนิสัยธรรมชาติของกรีน
แต่เมอร์รินก็หน้ามุ่ยขึ้นมา “นายน้อยค่ะ ถ้าเราทำตัวเป็นจุดด่นเช่นนั้น มันจะไม่มีปัญหาในอนาคตอย่างนั้นเหรอค่ะ? เมื่อพวกเราขายหัวไชเท้าได้แล้วซื้อเครื่องมือต่างๆ พวกเราก็ต้องกลับไปแดนทมิฬ เมื่อพวกเรากลับไป มันจะไม่ทำให้พวกเขานั้นจับตามองพวกเรางั้นเหรอค่ะ?”
กรีนยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เมื่อพวกเราไปถึงป้อมปราการมอนเตเนโก พวกเราสามารถเข้าไปในป่าและหลบซอนในมิติได้ ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะพลิกแผ่นดินหาพวกเราก็ไม่เจอ จากนั้นนายน้อยก็ให้ดรังค์และอันเดตอื่นๆนั้นค่อยเดินไปรอบแดนทมิฬผมนั้นไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่กลัวอันเดตเหล่านั้นแล้วเข้ามาหาพวกเราถึงปราสาท วิธีนี้น่าจะกำจัดปัญหาของเราได้”
เมอร์รินและเจ่าไห่รู้สึกว่านี้เป็นทางที่ดีที่สุด ตอนนี้เจ่าไห่นั้นมีอันเดตจำนวนมาก แต่มันยังไม่มีสติปัญญามากนัก เพราะว่ามันไม่เหมือนกับที่เจ่าไห่นั้นคุยกับกองทัพอมตะ พวกมันเป็นอันเดตที่รับคำสั่งของเขาและทำตามเหมือนหุ่นยนตร์ พวกมันจะทำในสิ่งที่เจ่าไห่นั้นสั่งเท่านั้น และไม่พูดกลับมาเลย
แต่พวกกองทัพอมตะนั้นต่างออกไป พวกเขาไม่เพียงแค่เป็นอันเดตมนุษย์ แต่ยังเป็นอันเดตระดับสูงอีกด้วย พวกเขานั้นมีสติปัญญาเกือบจะเท่ากับตอนที่พวกเขานั้นมีชีวิตอยู่พวกเขานั้นสามารถที่จะสื่อสารง่ายกับเจ่าไห่ได้ และยังออกคำสั่งแก่อันเดตได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อให้กองทัพอมตะช่วยแล้วมันก็เป็นเรื่องยากที่คนภายนอกนั้นจะเล็ดลอดเข้าไปในแดนทมิฬง่ายๆได้
แม้ว่าคนในทวีปนั้นจะไม่ได้กลัวแดนทมิฬแต่ พวกเขานั้นกลัวบึงซากศพอย่างแน่นอนและตอนนี้มันก็มีอันเดตจำนวนมากนั้นออกมาจากบึงซากศพคอยเดินไปมา ดังนั้นแล้วก็คงจะไม่มีใครกล้าจะเข้าไปในแดนทมิฬอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าถ้ามีใครกล้าเข้าไป เจ่าไห่ก็ไม่เกรงใจที่จะปล่อยให้ดรังค์และกองทัพอมตะคนอื่นๆซึ่งเป็นนักเวทย์มนตร์ดำระดับหก นั้นจัดการกับคนเหล่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาและกองทัพอันเดตกว่าพันตัว มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว