ตอนที่แล้วตอนที่ 69 – แผนการของพวกเขา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 71 – ความไม่แยแสและความตั้งใจ

ตอนที่ 70 – กองกำลังลึกลับ


เจ่าไห่นั้นตกใจเมื่อกรีนถามเขาเช่นนั้น พวกเขานั้นพูดไปได้สักพักแล้ว แต่กรีนเพิ่งจะมาถามเขาเหรอว่าทั้งแปดคนนี้พูดได้อย่างงั้นเหรอ? มันไม่แปลกเกินไปหน่อยเหรอ? หรือว่ากรีนไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด?

เจ่าไห่มองไปรอบก่อนจะจ้องไปทีกรีน “ปู่กรีน ผมพูดกับพวกเขาได้ซักพักหนึ่งแล้ว คุณไม่ได้ยินเลยอย่างงั้นเหรอครับ?”

กรีนและคนอื่นๆนั้นส่ายหัวซึ่งเป็นการยืนยันว่าบทสนทนาระหว่างเขาและอันเดตนั้น กรีนและคนอื่นๆนั้นไม่ได้ยินเลย

เมอร์รินที่เห็นเจ่าไห่นั้นมึนงงก็พูดขึ้นมาว่า “มีเพียงอันเดตไม่กี่ตนเท่านั้นที่จะสามารถพูดได้ค่ะนายน้อย แต่เพราะว่าพวกเขานั้นเป็นอันเดตระดับสูง พวกเขาเลยพูดผ่านทางพลังจิต ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นายน้อยจะคิดว่าได้ยินเสียงของพวกเขาผ่านทางหู แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่มีเสียงเลย”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของเมอร์ริน เจ่าไห่ก็พยักหน้าก่อนจะพูดกับนักเวทย์มนตร์ดำทั้งแปด “ตั้งแต่นี้พวกเจ้าเรียกข้าว่านายน้อย และไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อเดิมอีกแล้ว ข้าจะตั้งชื่อใหม่ให้พวกเจ้า ก่อนอื่นเลย ใครเป็นหัวหน้าของพวกเจ้า?”

จากนั้นก็มีอันเดตตนหนึ่งเดินขึ้นมา “นายน้อย ข้าเป็นหัวหน้าครับ”

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าชื่อดรังค์ ส่วนคนที่สองเรียกว่าแฮมเมอร์ คนต่อไปก็เมาเทิน เอ็จ ส่วนเจ้าที่เหลือก็ห้า ,หก ,เจ็ด ,แปด” [ผู้แปล: ชื่ออันเดตนี้ไม่ตรงตามต้นฉบับจีนนะครับ ซึ่งจะมีที่ใกล้เคียงจริงแค่ 2 ชื่อแรก กับ หก และ เจ็ดที่ตรงตามจีน ส่วนที่เหลือก็ตามฉบับ Eng ซึ่งเอาเป็นว่าผมจะรอต้นฉบับ Eng ใหม่ว่าเขาจะแปลยังไงแล้วกันนะครับ ผมจนปัญญาผมของใส่ตัวฉบันจีนไว้หน่อยเพื่อใครได้ไอเดียวก็บอกได้นะครับ 赵醉,赵捶,赵山,赵封,赵冲,赵六,赵七,赵连]

ซึ่งทั้งแปดคนก็ตอบรับพร้อมกัน แม้ว่าพวกเขานั้นจะมีสติปัญญาที่ไม่มาก แต่มิติก็ทำให้พวกเขารู้ว่าเจ่าไห่คือเจ้านายของพวกเขา และไม่มีทางปฏิเสธคำสั่งเจ่าไห่ได้

เจ่าไห่ก็พูดต่อไปว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ก็ตอบคำถามของผมมา ว่าใครเป็นคนที่บอกว่าลอร่านั้นมีเนโครออร์ปอยู่ในมือของเธอ?”

ดรังค์นั้นตอบอย่างรวดเร็วว่า “นายท่าน พวกเราได้รับข่าวสารนี้มาจากคนหนึ่งในตระกูลมาร์กี้ แต่เขาพูดจนพวกเราเชื่อ ซึ่งพวกเราเองก็ต้องการเนโครออร์ปเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง”

เจ่าไห่พยักหน้า มันเหมือนกับที่เขาคิดไว้ไม่มีผิดว่ามันเป็นการต่อสู้กันภายในตระกูล

เขาจึงหันไปหาดรังค์และกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าเรียกข้าว่านายน้อยแล้ว ช่วยบอกหน่อยว่าสิ่งของต่างๆที่พวกเจ้าปล้นมานั้น พวกเจ้านั้นเก็บไว้ที่ไหน”

ดรังค์จึงตอบทันทีว่า “นายน้อย แม้ว่าพวกเรานั้นจะปล้นสิ่งของมามากมายในช่วงหลายปีนี้ แต่พวกเราก็เก็บของเหล่านั้นเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะส่งมันให้กับนายท่านคนก่อน”

สีหน้าของเจ่าไห่ก็เปลี่ยนไป “นายท่านคนก่อนอย่างงั้นเหรอ?”

ดรังค์ได้อย่างรวดเร็วว่า“นายน้อย ได้โปรดอย่าพึ่งเข้าใจผิด พวกเรานั้นไม่ได้ทำงานให้กับใคร มันเป็นเพียงแค่ว่านายท่านคนก่อนนั้นเป็นคนรับพวกเรามาเลี้ยงดูตอนเด็ก หลังจากนั้นพวกเราก็เรียกเวทย์มนตร์จากเขา ซึ่งเขานั้นก็ส่งพวกเรา กองทัพอมตะออกมารวบร่วมเงินให้แก่เขาจนถึงปัจจุบัน”

หลังจากที่เจ่าไห่ได้ยินเรื่องราวของดรังค์แล้ว เขาไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยแต่กลับหนักใจกว่าเดิม “แล้วนายท่านคนก่อนของพวกเจ้าคือใครอย่างงั้นเหรอ?”

ดรังค์ส่ายหัวของเขา “พวกเราไม่ทราบเรื่องนี้เลย พวกเรานั้นไม่ค่อยได้เห็นเขา เพราะส่วนใหญ่แล้วคนรับใช้จะเป็นคอยดูแลพวกเรา แม้ว่าเราจะเห็นเขา แต่เขาก็สวมเสื้อคลุมสีดำที่ปกปิดทั้งร่างของเขา ทำให้เราไม่เห็นใบหน้าของเขาเลย”

เจ่าไห่ก็รู้สึกหนักใจขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่ามีคนบางคนอยู่เบื้องหลังดรังค์ และไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน การที่จะฝึกให้คนเหล่านี้จนกลายเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดตั้งแต่อายุไม่มากได้นั้นต้องใช้กำลังคนและเงินจำนวนมหาศาล แต่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด เพราะส่วนที่แย่ที่สุดคือ แม้ว่าจะหาคนที่มีพรสวรรค์นักเวทย์ได้จากคนกว่าล้านคนในทวีป และยังหาคนที่ยังมีพรสวรรค์ที่จะเป็นนักเวทย์มนตร์ดำอีกด้วย

และคนที่อยู่เบื้องหลังนั้นก็สามารถหาผู้ที่มีพรสวรรค์ทางเวทย์มนตร์ดำทั้งแปดได้ พวกเขานั้นมีอำนาจมากแค่ไหนที่จะหาคนเหล่านี้ได้และยังฝึกพวกเขาได้จนถึงระดับนี้?

และอีกอย่าง ดรังค์และพวกเขานั้นโตมาด้วยกัน แต่เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขานั้นไม่ได้อยู่กับนายท่านคนก่อน และทำไมชายคนนั้นถึงอยู่ที่อื่น หรือว่าเขาก็ฝึกคนเหล่านี้ที่อื่นด้วย?ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้ว นี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก

กรีนเห็นสีหน้าเจ่าไห่ที่ไม่สู้ดีก็พูดขึ้นว่า “นายน้อย มีอะไรอย่างงั้นเหรอครับ?”

เจ่าไห่มองไปที่กรีนและอธิบายเรื่องของดรังค์และข้อสันนิษฐานของเขา ทำให้ทุกคนนั้นรู้สึกหนักใจเช่นกัน

เจ่าไห่นั้นพยายามเกี่ยวกับเรื่องของนายท่านที่รับเขาไปเลี้ยงดู แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้อะไรมาก พวกเขาแค่รู้ว่าทุกคนนั้นเติบโตมาด้วยกัน พวกเขาใช้ชื่อกองทัพอมตะในการออกตระเวนปล้นเพื่อรวบรวมเงินไว้ยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ตกลงกันไว้ ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่ได้ติดต่อกันบ่อยมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สถานการณ์ของอีกฝ่ายเลย

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถที่จะถามอะไรได้แล้ว เจ่าไห่ก็ส่งดรังค์และคนอื่นๆกลับไปยังมิติเพราะในตัวเอเลี่ยนนั้นมีพื้นที่มากพอที่จะอาศัยอยู่ได้โดยไม่แออัดมากนัก

กรีนนั้นไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกคนนั้นดูมีสีหน้าที่หนักใจ พวกเขานั้นพบว่าได้เข้าไปพัวพันเข้ากับกองกำลังที่มีอำนาจขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ากองกำลังนี้นั้นมีอำนาจมากแค่ไหนและเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร แต่สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือกองกำลังนี้นั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

หลังจากนั้นไม่นานกรีนก็พูดขึ้นว่า “นายน้อย พวกเราไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป ไม่มีใครรู้ว่าพวกเรานั้นจับกองทัพอมตะไป และแดนทมิฬก็เป็นดินแดนที่ถูกลืมของทวีป หลังจากที่พวกเรากลับไปที่นั้น คุณก็ปล่อยพวกดรังค์และคนอื่นๆเข้าไปในบึงซากศพ แค่นี้ก็น่าจะไม่มีใครหาพวกเขาพบได้ ดังนั้นพวกเราคงจะไม่เจอกับปัญหาอะไรแล้ว”

เจ่าไห่พยักหน้าและภาวนาให้มันเป็นเช่นนั้น ตอนนี้พวกเขานั้นอ่อนแอ พวกเขานั้นอาจจะตายได้ถ้ากองกำลังที่อยู่เบื้องหลังดรังค์นั้นพบว่าเจ่าไห่นั้นได้ตัวกองทัพอมตะไป และคนเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เพราะเพียงแค่ปล่อยข่าวออกไป พวกเขาก็อาจจะโดยขุนนางในจักรวรรดิอาร์ซูจัดการแล้ว

เจ่าไห่นั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี แต่เขาก็เก็บมันไว้ก่อนจากนั้นเขาก็หันไปหากรีน “ปู่กรีนเมื่อพวกเราไปถึงเมืองคาซ่าแล้ว เราต้องหาสถานที่ใช้เก็บหัวไชเท้าเหล่านี้และให้คนของตระกูลมาร์กี้มารับมันไปไหมครับ?”

กรีนพยักหน้า “ใช่แล้วครับนายน้อย ใกล้ๆเมืองคาซ่านั้นมีพื้นเล็กๆมากมายที่เราสามารถซื้อไว้เก็บหัวไชเท้านี้ได้ และขายมันกับตระกูลมาร์กี้”

“ดีเลย แม้ว่าเราจะมีข้อตกลงเบื้องต้นไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตอนนี้เรามีเหรียญตราทองอยู่ในมือ พวกเราควรจะขอขึ้นราคาหน่อยใช่ไหมครับ” เจ่าไห่ถาม

กรีนนั้นยิ้มออกมาแล้วตอบกลับว่า “ใช่แล้ว ด้วยเหรียญตราทองนี้ มันสามารถช่วยพวกเราได้มากเลย ถ้าหากว่าเราใช้เหรียญตราทองนี้ทำธุรกิจกับพวกเขา ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร โดยเฉพาะคุณลอร่า เพราะใครจะคิดล่ะว่านักเวทย์มนตร์ดำที่ยิ่งใหญ่ จู่ๆจะมาขายผักเช่นนี้ ผมคิดว่าเธอคงจะตกใจไม่น้อย”

ทุกคนรวมถึงเจ่าไห่ก็หัวเราะออกมา ตอนนี้เจ่าไห่ยิ่งมีความมั่นใจในการทำฟาร์มของเขามากขึ้น แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วด้วยนักเวทย์และนักรบระดับแปดรวมทั้งกองทัพอันเดต แต่เขาก็ไม่ลืมว่าศัตรูของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า

บรรดาขุนนางของจักรวรรดิอาร์ซู ถ้าหากพวกเขารู้ว่าตระกูลบูดานั้นมีกองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ พวกเขาคงไม่อาจจะสบายใจอยู่ได้และนำพลังทั้งหมดในจักรวรรดิมาทำลายพวกเขาอย่างแน่อน และตอนนี้เจ่าไห่เองก็ไม่สามารถที่จะยั่วยุกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังดรังค์ได้ เพราะถ้าหากพวกเขารู้เรื่องราวเหล่านี้แล้วล่ะก็ เจ่าไห่ต้องจบสิ้นแน่

ดังนั้นพวกเขาต้องเก็บตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจแก่ใคร

แต่เจ่าไห่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับการที่จะใช้เหรียญตราทองที่ลอร่าให้มา แม้ว่าจะถูกใช้ มันก็อยู่ในตัวตนของนักเวทย์มนตร์ดำเจ่า ถ้าหากใครต้องการหาข้อมูลของเขา พวกเขาก็จะพบแค่ว่ามาจากป้อมปราการมอนเตเนโกเท่านั้น

ป้อมปราการมอนเตเนโกนั้นอยู่ในความวุ่นวาย ซึ่งมันทำให้ใครบางคนที่คิดจะหาข้อมูลนั้นยากขึ้นไปอีก และพวกเขาก็คงจะไม่สงสัยตระกูลบูดา เพราะว่าอดัมนั้นดื่นน้ำแห่งความว่างเปล่าไปแล้ว ซึ่งเป็นที่รู้ดีกันทั่วทวีป และตอนนี้เขาก็ใช้อันเดตเหล่านี้ปกปิดตัวตนของเขา คงจะไม่มีใครคิดว่าคนที่ดื่นน้ำแห่งความว่างเปล่านั้นจะสามารถอัญเชิญอันเดตเหล่านี้ออกมาได้ ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะตรวจสอบเรื่องกับเขา แต่ก็ไม่สามารถที่เชื่อมโยงไปยังตระกูลบูดาได้

จากประสบการณ์การต่อสู้ เจ่าไห่นั้นเข้าใจเลยว่าความแข็งแกร่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากในทวีปอาร์ค ถ้าหาเขานั้นไม่มีพลังที่มากพอ ลอร่าจะใจดีจนให้เหรียญตราทางกับเขาเช่นนั้นหรือ? ถ้าหากเขาไม่เก่งมากพอเขาจะสามารถเอาชนะกองทัพอมตะได้อย่างงั้นเหรอ?

ถ้าหากพวกเขานั้นไม่มีพลัง แม้จะมีเงินทองแค่ไหน ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องโดยคนอื่นแยกไปจากเขา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด