ิตอนที่ 1 ข้ามผ่านมิติเวลา
มันเป็นธรรมชาติที่จะเป็นนักท่องมิติเวลา ในโลกนี้ คนที่จะเดินทางได้ไกลมันมีมากกว่าคนที่ทำไม่ได้ คำถามก็คือคนจะไปที่ไหน
ขณะที่นั่งอยู่บนเก้าขนาดเล็กและสวมกางเกงเปิดเป้า หวัง ป๋อ ได้เงยหัวขึ้นและกระพริบตา เขามองไปยังนักวิชาการชาวจีนแก่ๆคนหนึ่งในลานของเขา
“โอ้ พระเจ้า ใครสามารถบอกข้าได้ว่ารางวงศ์ใดที่ข้าได้เดินทางมา?”
“จิ้น!”
นี่คือข้อมูลเดียวที่เขาได้รับหลังจากที่ท่องผ่านเวลา ในความเป็นจริง มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้วที่จะรู้ถึงชื่อของแคว้นจากหมู่บ้านเล็กๆ
ในหมู่บ้าน ชาวบ้านกว่า100คน แต่มีชายตาบอดเพียงคนเดียวที่สามารถอ่านหนังสือได้ มีข่าวลือว่าหลังจาก30ปีที่ล้มเหลวในการเป็นนักวิชาการ ชายชราก็ได้ร้องไห้ตลอดทั้งวันและในที่สุด เขาก็กลายเป็นคนตาบอด หลังจากนั้น เขาก็ใช้ชีวิตในฐานะหมอดู
แม้ว่าชาวบ้านจะไม่เชื่อถือเขาจริงๆ แต่มันก็มีประเพณีแปลกๆในสถานที่เก่าแก่นี้ ผู้คนจะได้รับสิทธิ์พิเศษในงานแต่งงานและงานศพ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงแทบจะไม่สามารถพบปะกันได้ และตอนนี้ เขาอาจจะได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์เมื่อเขาได้รับสิทธิ์และได้รับของขวัญพิเศษจากแขกเขา ชีวิตของเขาไม่เลวร้ายนัก
เขาเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่สามารถเขียนได้ หวัง ป๋อ สามารถบอกได้ว่าตัวอักษรบนธงสีขาวในมือของหมอดูมันคือตัวอักษรจีนโบราณ ขณะที่ภาษาพูดมันยากที่จะเข้าใจเป็นสิ่งแรก เขากลับเข้าใจมันก่อน มันเป็นภาษาจีนที่มีสำเนียงที่เนี้ยบ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงคิดว่าเขาได้เดินทางกลับมายังยุคจีนโบราณ
แต่ทว่า ขณะที่เขาได้เรียนรู้คำพูดไม่กี่คำจากชาวบ้าน เขาก็สงสัยในคำตัดสินของเขา แคว้นที่พวกเขาอยู่คือจิ้น!
ไม่มีราชวงศ์ใดในยุคจีนโบราณ เว้นแต่ตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง(770-466ปีก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งไม่เป็นที่แน่ชัดเพราะมันไม่มีโอกาสที่เขาจะสามารถอ่านงานเขียนได้ในเวลานั้น
เช่นนั้น นี่ไม่ใช่จีนโบราณ เขาพึ่งจะเดินทางมายังโลกที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับมัน
ในหมู่บ้านเล็กๆ ชายชราตาบอดคือคนเดียวที่สามารถตอบคำถามได้ แต่เขามิอาจขอความช่วยเหลือจากคนตาบอดได้ เขายังเด็กเกินไป เด็กชายวัยสามขวบสวมกางเกงเปิดเป้าจะไปถามอะไรแบบนั้นได้เยี่ยงไร?
แน่นอน เขาไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนประหลาด
นี่ไม่ใช่นิยายแฟนตาซีที่มันจะไม่เป็นไรหากคุณคืออัจฉริยะและพูดคุยราวกับผู้ใหญ่เมื่อเกิด เมื่อสามวันก่อน ชายหนุ่มบางคนในหมู่บ้านใกล้เคียงพึ่งจะถูกฆ่าตายเพราะเขาพูดอย่างบ้าคลั่งและถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาชาวบ้าน ดังนั้น มันควรที่จะเก็บรายละเอียดซะก่อน
ในชีวิตก่อนของเขา หวัง ป๋อ จะมี คำว่า ศจ.ดร.นำหน้า เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านตัวอักษรจีนและเขามีประสบการณ์ในภาษาจีนดั้งเดิมอย่างมาก นอกจากนี้ เขายังได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนโบราณในเวลาว่าง ดังนั้น นอกเหนือจากตัวอักษรจีนดั้งเดิม เขาจึงไม่เก่งในด้านอะไรเลย
ในทางเทคนิค มันคือการถ่ายโอนดวงวิญญาณมากกว่าการท่องเวลา สิ่งที่เขาทำได้คือการเมินเฉยมัน
ในชีวิตก่อนหน้า หวัง ป๋อ ไม่เคยมีร่างกายที่แข็งแรง และ ทำงานในออฟฟิศเสมอ ด้วยวัย36ปี เขาได้สำลักน้ำเย็นและตาย และเมื่อเขาตื่นขึ้น เขาก็พบว่าตัวเองได้มาเกิดที่โลกใบนี้
บางที พระเจ้าอาจรู้สึกเห็นใจกับชีวิตของหวัง ป๋อ ที่ตายอย่างไร้ค่า ดังนั้น เขาจึงได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง
หลังจากผ่านไปหลายปีกับการปรับตัว ในที่สุด เขาก็สามารถเข้ากับมันได้
มันไม่ใช่ปัญหาที่จะเข้ากับมัน เมื่อเขาเป็นเพียงเด็กแรกเกิดที่มิอาจดูแลตัวเองได้
เขาเกิดมาในตระกูลโจว และชื่อของเขาไม่ใช่ป๋อ แท้จริงแล้วนั้น เขายังไม่มีชื่อ เขาถูกเรียกว่าชิบะน้อย
เมื่อคุณเกิดมาในเทือกเขาเช่นนี้ คุณจะไม่ได้ใส่ใจมันนัก มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผู้ชายที่จะโตขึ้นโดยไม่มีชื่อ
การมีชื่อตระกูลมันก็เพียงพอแล้ว
ตระกูลโจวเป็นชาวภูเขาและเขาคือบุตรชายคนที่4ในตระกูล พี่ชายคนโตของเขาอายุ18ปี เขาเป็นนักล่าที่ซื่อสัตย์และแต่งงานไปเมื่อปีก่อน พี่ชายคนที่สอง นั้นมีอายุ13ปี เขาได้ขี่ม้าไปรอบๆทุกวัน เขาปัญญาอ่อนและสร้างความปวดหัวให้ตระกูล พี่ชายคนที่สาม มีอายุ9ปี และหวัง ป๋อ มีอายุ 3 ปี ตระกูลโจวเองยังมีเด็กหญิง ซึ่งอายุ17ปี ผู้ที่ได้มั่นหมายไปเมื่อตอนอายุ10ปี และมันถึงเวลาแล้วที่จะแต่งงาน
บุตรชายคนโตของตระกูลโจวถูกเรียกว่าหนามแหลม(Spikey) บุตรชายคนที่สอง ฮาวดี้ บุตรคนที่สาม เกงใน(Boxer) และบุตรคนที่สี่ หวัง ป๋อ ผู้ที่ควรจะถูกเรียกว่าลูกสุนัข สำหรับลูกสาวตระกูลโจว เธอถูกมองข้ามไป มันเป็นเช่นนี้เสมอเมื่อเกี่ยวกับผู้หญิงในสมัยก่อนที่จะไม่มีสิทธิ์มีเสียง
ในขณะที่ตระกูลมีเด็กชายตัวเล็กมากมายที่ต้องให้อาหาร หวัง ป๋อ จึงถูกเรียกว่าชิบะน้อย มันหมายความว่าพวกเขาไม่มีแผนที่จะมีลูกอีก
ตระกูลโจวเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาในหมู่บ้าน พวกเขาได้ดิ้นรนบนทุ่งแห้งแล้งและการล่าสัตว์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะล่าสัตว์ เฒ่าโจวเองก็ไม่ได้มีทักษะมากพอที่จะล่าสัตว์ได้มากนัก และถึงแม้ว่าเขาจะได้รับมาบ้าง มันก็มักจะต้องมีการแลกเปลี่ยนประจำวัน นั่นอธิบายได้ว่าทำไมมันจึงไม่มีเนื้อบนโต๊ะอาหารของพวกเขาเกือบตลอดทั้งปี นั่นมันเกือบจะฆ่าหวัง ป๋อ ผู้ที่เคยชินกับมื้ออาหารในชีวิตก่อนหน้า โชคดี เขาเพียงต้องอดทนมันกับการขาดอาหารเล็กน้อยสำหรับเด็กชายวัยสามขวบ ข้าวโพดต้มที่พวกเขาเก็บได้ทุกวันจะเพียงพอประทังชีวิตและหากโชคดีเล็กน้อย เขาจะได้ลิ้มรสของเนื้อ นั่นคือเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ!
ชาวบ้านบนภูเขาล้วนเอาตัวรอดได้เก่ง และความสามารถของพวกเขาก็ได้วิ่งผ่านอยู่ในเลือดของหวัง ป๋อ
หลังจากสามปี เขาได้เคยชินกับขนมปังข้าวโพดสีดำและสีเหลือง ข้าวโพดต้มนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีนัก เคล็ดลับก็คือการปิดตาและกล้ำกืนกินมันไป
สิ่งที่ทำให้เขาเบื่อหน่ายและอ้างว้างที่สุดก็คือ มันไม่มีอินเทอร์เน็ต มันช่างเป็นความเหงาที่แท้จริง
เมื่อลองจินตนาการถึงดวงวิญญาณของชายวัย30ปีที่ถูกขังอบู่ในร่างของเด็กชายเป็นเวลาสามปี เขาจะทนความเงียบเหงาได้มากแค่ไหน?เขาไม่สามารถพูดหรือทำสิ่งที่เขาชอบได้ เขาไม่สามารถแม้แต่จะต่อสู้เมื่อผู้คนเช็ดถูหน้าเขาและเล่นกับหนอนน้อยเขา นี่มันชีวิตบัดซบอันใดกัน การสวมกางเกงเปิดเป้า!
โชคดี เขาไม่ใช่เด็กทารกอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะยังคงสวมกางเกงเปิดเป้า แต่เขาก็ไม่ต้องถูกข่มเหงอีกต่อไป
ตอนนี้ ในเดือนพฤษภาคม อากาศมันร้อนขึ้น เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดเล็กในสวนเขา และจ้องเขม็งไปที่ต้นไม้ของ นักปราชญ์ชาวจีนแก่ๆ ด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิงของเขา
“ชิบะน้อย ชิบะน้อย!มานี่!ถึงเวลาอาหารแล้ว”โดยไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน เขาได้ยินเสียงของบางคนร้องออกมาแต่มันกลับเป็นเสียงที่อบอุ่น หวัง ป๋อ รู้ดีว่ามันคือแม่ของชิบะน้อย ผู้หญิงที่เขาเรียกว่า’แม่’กำลังเรียกให้เขาไปกินข้าว
หวัง ป๋อ ย้ายตูดของเขาออกจากเก้าอี้เย็นๆและวิ่งกลับบ้าน
มันไม่เหมือนกับชีวิตก่อนหน้าที่ผู้คนมีอาหารสามมื้อต่อวัน ที่นี่พวกเขามีเพียงสองมื้อ หนึ่งคือตอน10โมงเช้า และอีกรอบประมาณ5หรือ6โมงเย็น และมันก็คือตอนนี้ มันถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ได้กินสองมื้อ เมื่อวิกฤติอาหารได้เกิดขึ้น พวกเขาจะต้องกินอาหารวันละหนึ่งมื้อ
ตามปกติ พวกเขาจะมีข้าวโพดต้มและข้าวโพดคั่วสีดำสำหรับอาหารเย็น แต่ในครั้งนี้ พวกเขายังมีจานผักดองสีดำอยู่ด้วย
คนทั้งตระกูลล้วนนั่งล้อมรอบโต๊ะ แม้ว่าผู้หญิงจะด้อยกว่าในที่นี่ ชาวบ้านเองก็ไม่ได้มีกฏมากนัก พวกเขาทั้ง6คนได้นั่งรอบโต๊ะ เว้นแต่หวัง ป๋อ และพี่ชายคนที่สามของเขา ทั้งคู่ยังเด็กเกินไป พวกเขาจึงได้นั่งกินบนเก้าอี้เล็กๆ
โดยทั่วไป เฒ่าโจวนั้นจะชอบหวัง ป๋อ และไม่มีเหตุผลที่พิเศษ มันเพียงแค่ว่าเจ้าตัวเล็กนี้มีพฤติกรรมที่ดี
ตั้งแต่เกิด เด็กชายตัวน้อยผู้นี้ก็ไม่เคยนำปัญหามาให้พ่อเขา ผู้มีลูกถึง5คน มันคือความจริงที่ว่าเด็กที่เกิดในภูเขานั้นจะดื้อซน แต่ชิบะน้อยกลับไม่เป็นเช่นนั้น จนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยที่จะฉี่ราดหรืออึราด เมื่อเทียบกับพี่ชายเขาที่มีอายุ9ปี เจ้าเกงใน ผู้ที่พึ่งจะอึราดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
เมื่อคิดมันในหัวเขา เฒ่าโจวก็ไม่ได้พูดอะไรในระหว่างมื้ออาหาร นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงไม่มีใครกล้าส่งเสียงดัง
“บลา บลา บลา...!”
เมื่อได้ยินเสียงนั่น ที่เป็นการเคลื่อนไหวเฉพาะเจาะจงเมื่อเฒ่าโจวเสร็จสิ้นมื้ออาหาร ชิบะน้อยซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับชามข้าวโพดคั่วดำที่เหลืออีกครึ่งชามก็ได้วางมือลง มันคือสัญญาณว่ามื้ออาหารได้สิ้นสุดลง
เฒ่าโจวได้กินอาหารเสร็จแล้ว มันคือกฏสำหรับคนในครอบครัวที่จะหยุดกินจนกว่าเขาจะลุกออกจากโต๊ะ
ส่วนที่แปลกในวันนี้ก็คือ เขายังไม่ได้ลุกออกไป
“ฮัว เอ๋อร์ หวัง เทียนเหล่ย ได้กลับมาบ้านแล้ว เราจะเลือกวันที่ดีสำหรับเจ้า เจ้าควรจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานแต่งของเจ้า”
เธอได้หมั้นเมื่อเธออายุ10ปี คู่หมั้นของเธอ หวัง เทียนเหล่ย ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวใน5รุ่นของตระกูลเขา ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกสุดของหมู่บ้าน
หวัง เทียนเหล่ย อายุ19ปี เมื่อเขาอายุ16ปี เขาควรจะแต่งงานกับโจว ฮัว ที่อายุ14ปี ซึ่งเป็นประเพณีของหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม เขาต้องไปอยู่ในกองทัพเป็นเวลาสามปี จนกระทั่งเมื่อวานนี้
“บุตรชายเพียงคนเดียว!”แม่ของหวัง เทียนเหล่ย อยากให้หลานอย่างมาก เนื่องจากบุตรของเธอได้กลับมาแล้ว เธอจึงต้องการให้ลูกชายเธอแต่งงานกับโจว ฮัว โดยเร็วที่สุด
โจว ฮัว ไม่ได้สวยมาก แต่ก็ถือว่าสวย เธอเป็นหญิงสาววัย17ปี เธอเต็มไปด้วยความเยาว์วัย ชิบะน้อยจะเรียกมันว่าอย่างไรในชีวิตก่อนหน้า?
ยังสาว ใช่ นั่นแหละ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังขยันและมีความสามารถ และผู้หญิงประเภทนี้ก็ได้รับความนิยมในหมู่บ้านนี้ หากเธอไม่ได้ถูกหมั้นตั้งแต่อายุ10ปี ประตูบ้านของตระกูลโจวคงถูกรายล้อมไปด้วยชายหนุ่มไร้คู่
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าของโจว ฮัว ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและก้มหน้าลง ชิบะน้อยไม่ต้องมองไปที่ใบหน้าของเธอ เขาก็รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอคงแดงดั่งดอกกุหลาย
ชิบะน้อยไม่ได้พูดอะไร ทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้คือการยืนและรักษาสิทธิ์ของตนเองโดยการกินอาหารหรูหราเมื่อมันเกิดขึ้น
สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ งานแต่งงานทั่วๆไปของชาวบ้านทั้งสองนี้จะนำบางสิ่งมาหาเขา และมันจะนำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อของอนาคตเขา