บทที่ 21 – ปัญหาของน้ำ
เมื่อถึงตอนเย็นเจ่าไห่ก็ตื่นขึ้นมา
ข้างนอกนั้นเริ่มมืดขึ้นมาแล้ว เมอร์รินและคนอื่นๆก็กลับมายังปราสาทแล้ว โดยปกติจะไม่มีใครเดินออกไปไหนเวลากลางคืน เพราะการจะทำอย่างนั้นมันต้องใช้ตะเกียงหรือคบเพลิงซึ่งนั้นหมายความว่าต้องใช้น้ำมัน ซึ่งตอนนี้พวกเขามีน้ำมันไว้ใช้เพียงน้อยนิด
หลังจากมืดสนิท พวกทาสได้ทานอาหารจนอิ่มแล้ว ตอนนี้มันก็ถึงเวลาพักผ่อนของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะทำอะไรก็ได้ภายในปราสาทแห่งนี้ เจ่าไห่นั้นไม่กังวลว่าพวกทาสจะหนี จึงทำให้เขานั้นรู้สึกผ่อนคลาย
ตอนนี้พวกทาสกำลังจับกลุ่มคุยกันที่ลานปราสาท เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ ที่แห่งนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของพวกทาสเลยก็ว่าได้ ทุกวันพวกเขามีอาหารทานจนอิ่ม มีที่ให้หลับนอน และพวกเขายังมีช่วงเวลาพักผ่อนในแต่ละวัน
ตอนที่พวกเขามาที่นี้ครั้งแรก พวกทาสเหล่านี้อยู่ในความสิ้นหวัง พวกเขารู้ดีถึงสถานการณ์ในแดนทมิฬแห่งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงแค่ทาส แต่พวกเขาก็ได้ยินเรื่องราวที่ไม่ดีของที่แห่งนี้ มันเป็นดินแดนที่แห้งแล้งซึ่งอยู่ติดกับบึงซากศพ ซึ่งเป็นดินแดนแห่งความตาย พวกเขาคิดว่าในไม่ช้าพวกเขาคงจะอดอาหารตายอย่างแน่นอน
แต่สิงที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นภายหลังสองวันหลังจากที่พวกเขามาถึง นายน้อยของพวกเขานั้นมีความสามารถประหลาดที่จะเป็นดินดำในแดนทมิฬแห่งนี้กลายเป็นพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีเวทย์มนตร์ไหนจะสามารถทำได้ จึงทำให้พวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องอาหารการกินอีกต่อไป
ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และการดูแลที่ทำเหมือนพวกเขาคนสามัญชนทั่วไป และคำสัตย์สาบานที่จะให้อิสระแก่พวกเขาหากพวกเขาทำงานได้ดี รวมทั้งความสามารถของนายน้อย ด้วยสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้พวกเขานั้นจงรักภักดีต่อเจ่าไห่อย่างมาก ตอนนี้ทาสเหล่านี้ไม่ได้เพียงแต่ทำงานเพื่ออยู่ไปวันๆ แต่พวกเขาทำงานเพื่อที่จะได้อิสรภาพจากการเป็นทาส
เจ่าไห่มองพวกทาสอย่างเงียบๆจากหน้าต่าง เขานั้นต้องการที่จะคุณกับพวกทาส แต่เขาก็รู้ดีว่านี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม พวกทาสเหล่านี้ถูกกดขี่ข่มเหงมาเป็นเวลานาน เมื่อพวกเขาเจอขุนนางหรือชนชั้นสูง พวกเขาจะกังวลที่จะพูดคุย้วยแต่ทำได้เพียงคุกเข่าด้วยความกลัวโดยไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมอง
การเปลี่ยนภาพลักษณ์นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายแต่การเปลี่ยนความคิดนั้นเป็นเรื่องที่ยาก มันใช้เวลานานในการเปลี่ยนกระบวนการคิดถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม ถ้าหากคุณบังคับพวกเขาให้ทำ แม้ว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนความคิดของเขาได้ แต่มันก็จะได้รากฐานความคิดที่ไม่แข็งแรง ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้เข้าไปพูดคุยกับพวกทาส
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ใหม่นี้จะสร้างความหวังให้พวกทาสมากแค่ไหนตอนแรกที่พวกเขามาถึงนั้นไม่ได้ต่างจากซากศพที่เดินได้ แต่ตอนนี้พวกเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวัง
เจ่าไห่ชอบที่จะมองแว่วตาของพวกเขา เฉพาะคนที่มีความหวังเท่านั้นที่จะสามารถดึงความสามารถของเขาออกมาได้
ตอนนั้นเองก็มีใครบางคนมาเคาะประตูขัดจังหวะความคิดของเขา เจ่าไห่ก็ตั้งสติก่อนกล่าวว่า “เข้ามา”
เมื่อประตูเปิดขึ้นมาก็เห็นเม็กยืนอยู่ตรงนั้น “นายน้อย อาหารเย็นพร้อมแล้ว เชิญลงไปรับประทานอาหารได้เจ้าค่ะ”
บล๊อคและร๊อคนั้นก็ยังคงยืนเฝ้าประตูอยู่ตรงนั้น
เจ่าไห่พยักหน้าตอบ เขารู้ดีว่าตอนนี้มันถึงเวลาอาหารเย็นแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกแย่ ในช่วงสองวันนี้ไม่เพียงเมอร์รินนั้นจะต้องยุ่งอยู่กับการจัดการกับพวกทาสแต่เธอเองยังต้องคอยทำอาหารให้เขาอีกด้วย่ เธอต้องเหนื่อยมากแน่ๆ แม้ว่าเจ่าไห่จะทำอาหารได้แต่เขาก็ไม่กล้า เขาจะต้องไม่ลืมว่าเขาจำเป็นต้องทำตัวให้สมกับการเป็นชนชั้นสูงด้วย เขานั้นยังปกปิดได้ว่ามิติฟาร์มของเขานั้นเป็นเวทย์อย่างหนึ่งของเขาได้ถึงแม้ว่ามันจะแปลกประหลาดไปบ้างก็ตาม แต่ถ้าหากว่าจู่ๆเขาจะสามารถทำอาหารเองได้ เมอร์รินและเม็กอาจจะสงสัยเขาได้
จากนั้นทุกคนก็เดินลงไปยังห้องอาหารซึ่งพวกเขาก็พบว่าเมอร์รินนั้นเตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้ว มันมีขนมปังและสลัดผักรวมทั้งต้มซุป เจ่าไห่นั้นเป็นคนจีนจึงไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้มากนัก
หลักจากทานไปไม่กี่คำเจ่าไห่ก็กล่าวขึ้นว่า “ยายเมอร์ริน ผมคิดว่าการปรับปรุงพื้นที่ในแดนทมิฬนั้นเป็นแผนที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก”
เมอร์รินรู้สึกตกใจและมองเจ่าไห่ด้วยความงุนงง “ทำไมละเจ้าค่ะ นายน้อย มันปรับปรุงพื้นที่มากกว่านี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ” ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรกันดี?“
“อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดยายเมอร์ริน ผมคิดว่าเราไม่ควรพัฒนาที่ดินบริเวณใกล้ปราสาทตอนนี้เราไม่มีกำลังทหารอะไรเลย ถ้าเราปล่อยให้มีคนรู้ว่าเราสามารถปรับปรุงดินแดนแห่งนี้ให้กลายเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ได้ละก็ คิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้พวกเรามีชีวิตอยู่อย่างนั้นเหรอ?”
เมอร์รินนั้นเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี แต่เพราะว่าการปรับปรุงพื้นที่นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เธอพลาดที่จะมองถึงภาพโดยรวม แต่เมื่อเจ่าไห่พูดขึ้นมาทำให้เธอนั้นเข้าใจได้ทันที เจ่าไห่นั้นพูดถูกแล้ว ถ้าให้พวกขุนนางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี้ละก็ มันเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันตัวเองจากพวกขุนนางในสภาพแบบนี้
แม้ว่าตระกูลบูดานั้นจะมีข้อตกลงกับจักรวรรดิไว้ก็ตาย แต่คำสัญญานั้นก็แค่บอกว่าจะยกพื้นที่เหล่านี้ให้แก่ตระกูลบูดา แต่ถ้าหากว่าพวกเขาไม่มีทายาทแล้วล่ะก็พื้นที่แห่งนี้ก็จะกลับคืนเป็นของจักรวรรดิ ซึ่งก็คือเป็นขององค์จักรพรรดิ
มนุษย์นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์จนกระทั่งพวกเขานั้นมีของมีค่าบางอย่าง
เมอร์รินวางมีดและส้อมของเธอลง “สิ่งที่นายน้อยพูดนั้นมีเหตุผล ถ้าเราพยายามที่จะปรับปรุงพื้นที่แล้วทำให้พวกเรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้วละก็ พวกขุนนางเหล่านั้นไม่ปล่อยเราไว้ง่ายๆแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้น นายน้อยพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” เมอร์รินนั้นใส่ใจกับความเห็นของเจ่าไห่เป็นพิเศษ เพราะเจ่าไห่นั้นได้สร้างสิ่งที่น่าประหลาดใจมากมายกับความสามารถพิเศษของเขา และมุมมองต่างๆที่ให้แง่คิดใหม่ๆจึงทำให้เมอร์รินยิ่งยินดีที่จะฟังความเห็นของเขา
เจ่าไห่นั้นก็ว่ามีของเขาลงก่อนจะเช็ดปากด้วยผ้า “เราจะปรับปรุงพื้นที่แห่งใหม่ซึ่งต้องไม่อยู่บริเวณปราสาท ซึ่งมันดูโจ่งแจ้งเกินไป ซึ่งมันทำให้คนอื่นสังเกตุเห็นได้ง่ายเกินไป พื้นที่ที่ไไม่ใหญ่เกินไปและหาพบได้ยากหน่อย เพราะเรานั้นต้องการแปลงเพราะปลูกที่สามารถมีอาหารพอให้กับทุกคนที่นี้”
เมอร์รินพยักหน้า “นายน้อยพูดถูก ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ดิฉันจะสั่งให้ทาสนั้นออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบเพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสม แต่เราจะยังคงเลี้ยงบูลอายแรบบิทและปลาไร้เกล็ดอยู่หรือป่าวค่ะ?”
“อืม เราจะยังคงดำเนินงานส่วนนั้นต่อไป โดยเฉพาะปลาไร้เกล็ด ถ้าหากมีคนจับตามองดูพวกเราอยู่ พวกเขาก็คงคิดว่ามันเป็นความดิ้นรนสุดท้ายเพื่อความอยู่รอดของพวกเราแม้ว่าพวกเราจะไม่มีอะไรให้พวกมันกินก็ตาม ดังนั้นพวกเขาคงจะไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ซึ่งปัญหาเดียวในตอนนี้คือแหล่งน้ำ” เมอร์รินกล่าวว่า “ไม่เพียงแค่คูน้ำรอบเมืองเรา แต่ในทะเลสาบเองนั้นก็ไม่มีปลาอาศัยอยู่เลย นายน้อยคิดว่ามีอะไรผิดปกติหรือป่าว?”
เจ่าไห่นั้นนั่งคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เขานั้นเป็นเพียงแค่โอตาคุธรรมดา ไม่ได้เป็นชาวประมง ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบถึงปัญหาที่เกี่ยวกับน้ำเลยแม้แต่น้อย แต่เมอร์รินนั้นเป็นนักเวทย์น้ำเธอจึงสังเกตุเห็นความผิดปกตินี้ เจ่าไห่จึงงงอยู่สักพัก คูน้ำและทะเลสาบนั้นควรจะมีปลาอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คุณภาพของน้ำ เพราะเขาได้วิเคราะห์ตัวอย่างของน้ำในมิติแล้ว แต่ทำไมละ ทำไมมันถึงไม่มีปลาอาศัยอยู่? “ยายเมอร์ริน ต้นน้ำของทั้งสองนั้นเป็นแหล่งน้ำที่ดีและปลานั้นสามารถที่จะอาศัยอยู่ได้ แต่เมื่อยายสำรวจดูก็ไม่พวกปลาเลยแม้แต่น้อย คุณคิดว่าปัญหานั้นมาจากอะไรล่ะ?”
เมอร์รินขมวดคิ้ว “เมื่อแหล่งน้ำนั้นไม่มีปลาอาศัยอยู่นั้นมีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือมันอาจจะมีพิษบางอย่างที่ทำให้ไม่ปลานั้นไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ อีกอย่างคือมีสัตว์เวทย์มนตร์อาศัยอยู่ในน้ำและกินปลาจนหมด ซึ่งหากเป็นจริงอย่างที่เมอร์รินพูดแล้วละก็ น้ำพวกนี้คงจะไม่มีพิษปนอยู่ ดังนั้นมันน่าจะเป็นอย่างที่สอง คือมีสัตว์เวทย์มนตร์อาศัยอยู่”
เจ่าไห่นั้นคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่เมอร์รินพูดนั้นมีเหตุผล เขาจำได้ว่าในชีวิตในอดีตของเขานั้นเคยเห็นข่าวว่า ชาวประมงนั้นพบจระเข้ในบ่อน้ำ ทำให้ปลาทั้งหมดนั้นถูกกิน ซึ่งมันน่าจะมีสัตว์แบบนั้นในโลกแห่งนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วก็ นี้คงเป็นเรื่องยุ่งยากอีกอย่างแล้วสินะ
เมื่อเมอร์รินเห็นเจ่าไห่ทำหน้าบึ้งเธอจึงปลอบเขาว่า “นายน้อย แม้ว่าปัญหาเรื่องน้ำเป็นพิษอาจจะยากสักหน่อย แต่ถ้าเป็นเพราะสัตว์เวทย์มนตร์ในน้ำละก็แค่หามันให้เจอแล้วก็ฆ่าทิ้งซะก็จบเรื่องแล้ว”
แม้ว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากเมอร์ริน แต่เจ่าไห่นั้นก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ เพราะในความคิดของเขานั้นตรงกันข้ามกับเมอร์รินอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าน้ำเป็นพิษ เขาเพียงแค่ใช้น้ำสเปเทียลกำจัดพิษก็เรียบร้อย แต่ถ้าเป็นสัตว์เวทย์มนตร์ในแล้วล่ะก็ มันจะลำบากมากกว่า
เมอร์รินเห็นว่าเจ่าไห่นั้นยังกังวลอยู่ “นายน้อย คุณไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ การฆ่าสัตว์เวทย์มนตร์สำหรับดิฉันไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากมาย มันจะไม่ส่งผลต่อแผนของนายน้อยอย่างแน่นอน”
เจ่าไห่ได้ยินสิ่งที่เมอร์รินผู้ก็รู้สึกตกใจก่อนที่เขาจะคิดได้ว่า ที่นี้ไม่เหลือโลกของเขา ที่โลกนั้นถ้าหากจะฆ่าสิ่งใดที่อยู่ใต้น้ำละก็ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ที่นี้คือทวีปอาร์คซึ่งมีเวทย์มนตร์และเมอร์รินเองก็เป็นนักเวทย์น้ำที่เก่งกาจคนหนึ่ง บางทีเธออาจจะจัดการกับสัตว์เวทย์มนตร์นี้ก็ได้