บทที่ 012 – หงึกๆๆ!
เพื่อให้แน่ใจว่าเจ่าไห่จะไม่รอนานจนเกินไป กรีนจึงเดินเข้ามาคำนับพร้อมกับกล่าวว่า “นายน้อยครับ กระผมตระเตรียมเรื่องต่างๆเรียบร้อยแล้ว กระผมจะออกเดินในไม่ช้านี้”
เจ่าไห่พยักหน้า “ไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้ อย่ากังวลเรื่องหัวไชเท้าจะเสีย ด้วยความสามารถนี้ ผมสามารถที่จะเก็บไว้ 10 ปีก็ไม่มีปัญหา หลังจากที่คุณออกไป ปู่ต้องหาลูกค้ารายใหญ่ที่พร้อมจะทำสัญญาระยะยาวกับพวกเขาด้วย ปู่ต้องจำไว้ว่าพวกเราจะเพาะพันธุ์บูลอายแรบบิท และสิ่งนี้ก็จำเป็นต้องขายผ่านพวกเขาด้วยเช่นกัน ถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิด หลังจากที่พวกเขาตกใจกับคุณภาพของหัวไชเท้าเวทย์มนตร์ของเราอาจทำให้ราคาเจ้าอื่นตกได้ นี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องเตรียมรับมือไว้ด้วย
กรีนพยักหน้า จากนั้นเจ่าไห่ก็บอกให้กรีนนั่งลง “ปู่กรีนเชิญนั่ง ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยที่คุณยืนแบบนี้ นั่งลงเถอะครับ ผมยังมีหลายอย่างที่จะบอก บล๊อกไปนำอาหารเช้ามาให้ปู่กรีนทานหน่อย”
บล๊อคเหลือบมองยังกรีน กรีนพยักหน้าก่อนที่บล๊อคจะหันไปทางห้องครัว จากนั้นกรีนจึงนั่งลง เจ่าไห่นั้นเข้าใจดีว่าด้วยลักษณะของอดัมในอดีต หากไม่ได้กรีนช่วยดูแลเขาไว้ อดัมคงจะตายไม่รู้กี่พันครั้งแล้ว ดังนั้นเขาจึงยอมรับกับอำนาจของกรีนที่มีอยู่ในตอนนี้[ผู้แปล : ความหมายคือเจ่าไห่นั้นมีฐานะเป็นผู้นำตระกูล แต่บล๊อคกับไม่รับคำสั่งเขาตรงๆ ต้องให้กรีนนั้นยืนยันอีกทีทำให้เป็นเรื่องของลำดับการใช้อำนาจนะครับ]
หลังจากกรีนนั่งลง เจ่าไห่จึงกล่าวต่อไปว่า “ปู่กรีน ตอนนี้ผมคิดว่าพวกเรายังมีหวังหากเก็บตัวอยู่เงียบๆ แม้ว่าผมเราจะมาอยู่ในแดนทมิฬแล้วก็ตาม ถ้าหากเราทำบางอย่างที่ขัดใจกับพวกขุนนางเหล่านั้นผมว่าเราจบสิ้นแน่ ดังนั้นพวกเราต้องไม่ให้ใครรู้เกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้”
กรีนพยักหน้า ก่อนที่เจ่าไห่จะถอนหายใจ “แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าทำไมขุนนางเหล่านั้นถึงไม่ฆ่าผม แต่กลับส่งผมมาอยู่ที่นี้แต่ผมรู้ว่าพวกขุนนางก็ยังคงกังวลอยู่ หากพวกเขาต้องการจะจัดการพวกเรา พวกเขาต้องจ่ายราคาอย่างงามซึ่งคงไม่คุ้มหากจะต้องการทำลายตระกูลที่หมดอนาคตนี้ แต่หากพวกเขารู้ว่าตระกูลบูดาจะรุ่งเรืองอีกครั้งพวกเขาคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายพวกเราแน่ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราต้องทำอย่างลับๆ แม้ว่าจะทำตัวแบบคนขี้ขลาดก็ต้องทำ รอจนกว่าวันที่ตระกูลบูดามีกำลังมากพอ ดังนั้นตอนนี้ก็ทำตามนี้ไปก่อน”
ดวงตาของกรีนนั้นแดงระเรื่อ ก่อนที่จะยืนคำนับเจ่าไห่ “ไม่ต้องเป็นกังวลครับนายน้อย ผมจะจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบที่สุด”
เจ่าไห่พยักหน้า “อย่าทำอย่างนี้ปู่กรีน นั่งลง ปู่จำไว้ว่าหัวไชเท้าเวทย์นี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ต่อไปผมจะทดลองสิ่งต่างๆดูอีก ซึ่งผมจะลองดูว่าจะเปลี่ยนดินของแดนทมิฬข้างนอกนั้นให้สามารถเพาะปลูกพืชได้ ซึ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเรามา แต่เราต้องใช้แรงคนจำนวนมาก ดังนั้นปู่จำเป็นต้องซื้อทาสทุกๆทางที่เป็นไปได้ ไม่ต้องคำนึกถึงเผ่าพันธุ์ตราบเท่าที่พวกเขาใช้งานได้หรือมีทักษะ ซื้อพวกเขามาให้หมด แต่อย่างไรก็ตามจะต้องไม่เกิดเป็นที่สนใจมากจนเกินไป ปู่ต้องทำอย่างระมัดระวังด้วย”
กรีนพยักหน้า เขาผมว่าตอนนี้นายน้อยนั้นเปลี่ยนไปมาก ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน นายน้อยคงไม่สามารถที่จะมีความคิดที่ลึกซึ้งได้ถึงเพียงนี้ การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นผลดีต่อตระกูลบูดาอย่างมาก
ตอนนี้เองบล๊อคนั้นก็นำอาหารเช้ามาให้กรีน เจ่าไห่มองไปยังจานอาหารที่เรียบง่ายของกรีน ทำให้เจ่าไห่ส่ายหัว “ปู่กรีนหลังจากที่หัวไชเท้าเวทย์มนตร์ถูกขายไปแล้ว อย่างแรกซื้อบูลอายแรบบิท จากนั้นซื้อไก่หางยาว และก็ปลาไร้เกล็ดมาด้วย ในคูน้ำของเมืองนั้นว่างอยู่และมันดูเหมือนว่ามันจะเหมาะแก่การเลี้ยงปลา ตอนนี้เรายังไม่ต้องกังวลเรื่องจำนวนเงิน ผมต้องทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเราดีขึ้นก่อนเมื่อปู่ไปอย่างกลัวว่าพวกเขาจะต้องการหัวไชเท้าเวทย์มนตร์เท่าไหร่ ผมสามารถหาได้มากตามที่พวกเขาต้องการ แต่ผมคิดว่าหากมีหัวไชเท้าเวทย์มนตร์จำนวนมากไปถล่มตลาดแบบนั้น จะต้องมีคนสืบเรื่องนี้แน่ ดังนั้นปู่อย่าให้พวกนั้นสาวมาถึงพวกเราได้ด้วย นอกจากนี้ช่วยซื้อหนังสือมาด้วย หากเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับพืชและสัตว์ในทวีปนี้ มันจะเป็นประโยชน์อย่างมาก อย่างไรก็ตามตอนี้ผมคิดว่าที่เหลือปู่คงจะจัดการได้ ตอนนี้เราไม่มีกำลังคนที่จะใช้ป้องกันปราสาทเลย ดังนั้นหากมีโอกาสก็หาทาสที่มีความสามารถทางทหารมาด้วย พวกเราจะค่อยพัฒนาไปทีละนิดโดยเราจะทำให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก่อน”
กรีนนั้นตั้งใจฟังและจดจำทุกอย่างที่เจ่าไห่พูด เรื่องเหล่านี้มีมุมมองต่างๆที่สำคัญแต่ด้วยความสามารถของเขาทำให้เขาสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้
เมื่อกรีนทานเสร็จจึงสั่งให้บล๊อคนั้นเก็บถาดอาหารไปยังห้องครัว เขาลุกขึ้นมา “นายน้อย กระผมขอลาไปจัดการธุระที่นายน้อยสั่งก่อน ผมจะไม่อยู่ในช่วงนี้ดังนั้นหากมีปัญหาอะไร กรุณาถามเมอร์รินได้เลย นายน้อยโปรดดูแลตัวเองด้วย คุณคือความหวังสุดท้ายของตระกูลบูดาซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ผมเองก็คงไม่มีหน้าไปพบท่านปู่ของคุณ
เจ่าไห่ยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องเป็นห่วงปู่กรีน ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไร ไปดีมาดีละ จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย โอ้ใช่ ตอนนี้นี้ปัญหาใหญ่ที่สุดคงจะเป็นการขนส่งหัวไชเท้าเวทย์มนตร์เหล่านี้ ถ้าหากคุณจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จคุณช่วยนำไปมอบด้วยตัวคุณเองด้วย จะได้ไม่เป็นที่สนใจมาจนเกิดไป คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
กรีนครุ่นคิด “โปรดให้กระผมจัดการเรื่องนี้เอง นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลทุกอย่างโดยละเอียด”
เจ่าไห่พยักหน้าก่อนที่จะคำนับกรีน “ปู่กรีน ผมขอขอบคุณปู่ในนามของตระกูลบูดา จากวันนี้เป็นต้นไปคุณคือครอบครัวของผม”
กรีนนั้นยอมรับในตัวเจ่าไห่ก่อนที่จะหัวเราะออกมา “นายท่านทั้งสอง พวกคุณเห็นไหมตอนนี้นายน้อยเป็นคนที่พึ่งพาได้แล้ว นายน้อยมีความคิดอันชาญฉลาดพอจะเป็นความหวังของตระกูลบูดาแล้ว ข้าขอเดิมพันด้วยชีวิตของตาแก่คนนี้ ข้าจะทำให้ตระกูลบูดาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง” กรีนตอบรับเจ่าไห่ด้วยการทำความเคารพก่อนที่จะจากไป บรรยากาศรอบตัวกรีนตอนนี้นั้นไม่ได้เป็นคนรับใช้แล้ว แต่เต็มไปด้วยจิตของนักรบที่แสดงถึงพลังของนักรบระดับ 8
เจ่าไห่มองกรีนที่กำลังจากไปก่อนที่จะยิ้มและเดินกลับไปยังห้องของเขา เจ่าไห่นั้นรู้ว่าการจะให้คนอื่นคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเขานั้นต้องใช้เวลา สิ่งที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นที่จับตามองของหลายๆคน ดังนั้นเขาควรจะทำตัวให้ดีไม่ให้เหมือนอดัม แต่อย่างไรก็ตามเรื่องของตระกูลนั้นเขาให้กรีนเป็นคนจัดการไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็ให้เมอร์รินและเม็กดูแล ตอนนี้เขาหมดหน้าที่แล้ว เขาจึงกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อที่จะไปยังมิติฟาร์มสถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
แต่บล๊อคและร๊อคนั้นตามติดเขาเป็นเงาตามตัว ตามไปทุกหนทุกแห่งตามคำสั่งของกรีน ทำให้เจ่าไห่นั้นทำอะไรไม่ได้
เจ่าไห่นั้นยังไม่ต้องการให้กรีนและคนอื่นๆนั้นรู้เรื่องเกี่ยวกับสเปเทียลฟาร์ม แต่ด้วยบล๊อคและร๊อคติดหนึบขนาดนี้คงจะยากที่จะสลัดพวกนี้ให้หลุด
เมื่อเขามาในห้องเจ่าไห่ของบอกบล๊อคและร๊อค “บล๊อคและร๊อคพวกเจ้ากลับไปที่ห้องของตัวเองซะ ผมต้องการจะพักผ่อน มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นในปราสาทหรอก พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ทั้งสองส่ายหัวพร้อมกันและเงียบ เจ่าไห่จึงพยายามบอกอีก “ผมอยากพักผ่อน พวกเจ้าไปช่วยยายเมอร์รินเถอะ”
หงึกๆๆ (ส่ายหัว)!
“ผมอยากจะพักผ่อน พวกเจ้าไม่ต้องมายืนข้างเตียงก็ได้ ไปยืนนอกห้องซะ!”
หงึกๆๆ (ส่ายหัว)!
“ข้าเป็นนายน้อย พวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้”
หงึกๆๆ (ส่ายหัว)!
“พี่ชาย ผมขอร้องละ ช่วยให้มีขอบเขตกันหน่อย ยืนข้างนอกได้ไหม.”
………
เจ่าไห่มองไปที่ทั้งสองดูเหมือนว่าการพูดก่อนหน้านี้จะไม่มีผลอะไรเลย “บล๊อก ร๊อค ผมรู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองนั้นถูกดูแลโดยท่านพ่อมาตั้งแต่เด็ก และซื่อสัตย์ต่อตระกูลบูดาอย่างมาก แต่สถานที่ที่ผมต้องไปนั้นมันเกียวกับอนาคตของตระกูลบูดา ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้าพวกเจ้าไม่ตามไป ดังนั้นถ้าผมหายตัวไป ไม่ต้องเป็นห่วงและไม่ต้องตะโกนเรียกเข้าใจไหม?”
เมื่อเจ่าไห่พูดเสร็จแฝดทั้งสองก็ชักดาบออกมาจ่อคอตัวเองซึ่งพูดเป็นนัยว่า ‘ถ้านายน้อยไม่ให้พวกเราตามไป พวกเราขอยอมตาย!!’
เจ่าไห่กัมขมับ เจอแฝดสมองทึบนี้ทำให้เขาโคตรจะปวดหัว แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อมองไปที่บล๊อคและร๊อค เจ่าไห่รู้ว่าถ้าไม่ให้สองคนนี้ไปด้วย เจ้าสองคนนี้ฆ่าตัวตายแน่ ถึงแม้ว่าจะแค่คน 2 คนแต่ทั้ง 2 เป็นคนที่จงรักภักดีต่อตระกูลบูดาอย่างมากจะให้พวกนี้ตายไม่ได้เด็ดขาด
ซึ่งถ้าพาเจ้าสองคนนี้ไปด้วย พวกเขาก็จะรู้ความลับเรื่องมิติของเจ่าไห่ แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่เต็มใจ
แต่เจ่าไห่ก็ยังไม่รู้ความสามารถทั้งหมดของมิตินั้น และตอนนี้เมล็ดที่ปลูกไว้ตั้งแต่ตอนยังไม่รุ่งสาง จนกระทั่งตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามันจะเติบโตไปได้แค่ไหนแล้ว เขาอยากจะไปดูว่ามันเป็นอย่างไรบ้างเพราะหากมันถึงเวลาเก็บเกี่ยว เขาจะได้ทำการเก็บมันทั้งหมด เพราะสิ่งเหล่านั้นคือเม็ดเงินในการพัฒนาตระกูล
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ่าไห่ก็คือเขาจะดูว่าจะนำน้ำสเปเทียลและดินสเปเทียลนั้นออกมาได้หรือป่าว เพราะดินและน้ำเหล่านั้นน่าจะสามารถที่จะปรับปรุงดินในแดนทมิฬจนพอที่จะทำการเพาะปลูกได้ซึ่งนี้คือสิ่งที่เจ่ารู้สึกว่าจำเป็นที่สุดในตอนนี้
ในขณะนั้นเองเจ่าไห่ต้องช่างระหว่างข้อดีและข้อเสีย ทั้งบล๊อคและร๊อคนั้นก็ไม่เคยลดดาบลงเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองจ้องเจ่าไห่อย่างไม่ละสายตาเพราะกลัวว่าเจ่าไห่จะหายตัวไป
เมื่อผ่านไปซักพัก เจ่าไห็ก็มองไปที่ทั้งสองก่อนจะกล่าวว่า “ก็ได้พวกเจ้าตามข้ามา แต่สิ่งที่เจ้าเห็นในวันนี้ พวกเจ้าห้ามบอกใครเด็ดขาด ซึ่งหากจะบอก ก็บอกได้แค่ปู่กรีน ยายเมอร์ริน และก็เม็กเท่านั้น แค่สามคนเท่านั้น ห้ามคนอื่นเข้าใจไหม แม้กระทั่งนอนละเมอก็ห้ามบอกเรื่องนี้
ทั้งสองพยักหน้า แต่ก็เอาดาบจ่อคอไว้อยู่ดี