ตอนที่ 63 – กองทัพอมตะ
มันน่าแปลก โดยปกติแล้วในทุกๆวันจะมีผู้คนหลั่งไหลไปมาระหว่างป้อมปรากาองมอนเตเนโกกับเมืองคาซ่า แต่วันนี้กลับไม่มีใครซักคนเลยที่เดินทางไปทางนั้น จนกระทั่งตอนนี้ เจ่าไห่ก็ไม่พบนักเดินทางคนไหนเลยซักคนเดียว
แต่เจ่าไห่นั้นไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้นั้นมีขบวนสินค้าผ่านพวกเขา แต่ขบวนสินค้านั้นพบว่ามันผิดปกติ พวกเขาจึงเดินทางกลับไปยังเมืองเล็กๆของพวกเขาก่อนจะส่งข่าวให้กับพ่อค้าคนอื่นๆ ตอนนี้หลายๆคนก็เรื่องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะรวบรวมขบวนสินค้าก่อนจะจ้าทหารรับจ้างจากป้อมปราการมอนเตเนโก
เจ่าไห่นั้นไม่รู้เรื่องนี้เพราะว่าเขานั้นรู้เหนื่อยตอนที่ขบวนสินค้านั้นเดินทางมาก่อนหน้านี้ในขณะที่เขานั้นอยู่ในมิติและคลาดกับพวกเขาไปก่อน 2-3 ชั่วโมง มันเป็นเพราะว่าพ่อค้านั้นปิดเส้นทางของคนที่จะมาในทิศนั้นจึงทำให้ไม่มีใครเห็นเจ่าไห่แล้วเกิดปรากฎการณ์ที่ว่าไม่มีใครเดินทางผ่านเส้นทางนี้
ในทวีปนั้นมีการโจมตีจากโจรและสัตว์ป่าอยู่หลายครั้ง ทำให้ขบวนสินค้านั้นจำเป็นต้องระวังตัว ซึ่งถ้าหาพวกเขานั้นพบอะไรผิดปกติ พวกเขาจะรีบไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดและเตือนขบวนสินค้าอื่นๆก่อนจะออกเดินทางไป เจ่าไห่และกรีนนั้นไม่รู้เรื่องนี้ เพราะว่าตระกูลบูดานั้นไม่มีขบวนสินค้าเป็นของตัวเอง
เจ่าไห่จึงเดินหน้าต่อไปก่อนจะพบว่าในห้าหมู่บ้านที่ผ่านไปนั้นก็ว่างเปล่า ผู้คนนั้นหายสาปสูญไปจนหมด หมู่บ้านเหล่านี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่เมื่อนับจำนวนคนของทั้งห้าหมู่บ้านแล้วก็จะมีคนกว่า 1,000 คน แต่ตอนนี้กลับไปไม่มีใครอยู่เลย แม้แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ
พวกเขาจึงยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งเมื่อเดินทางไปพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นซึ่งไม่ได้เกิดจากการที่คนเหล่านี้หายไป แต่เพราะเมอร์รินนั้นสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์มนตร์ดำที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าตามที่เมอร์รินนั้นคาดไว้ เวทย์ที่หลอกล่อผู้คนนั้นสามารถที่จะครอบคุลมผู้คนได้หลายคน และด้วยพลังระดับนี้แล้ว ก็น่าจะเป็นนักเวทย์ระดับแปดซึ่งอยู่ระดับเดียวกับเมอร์ริน แต่พลังของนักเวทย์มนตร์ดำนั้นจะแข็งแกร่งกว่านักเวทย์คนอื่นๆในระดับเดียวกันเพราะเวทย์มนตร์ดำนั้นมีความแปลกประหลาดกว่า เมอร์รินนั้นจึงรู้สึกว่าถ้าพวกเขาต่อสู้กันจริงๆ เธอก็กลัวว่าจะไม่อาจะสามารถที่จะชนะคู่ต่อสู้ได้
แต่อย่างไรก็ตามเจ่าไห่นั้นไม่รู้สึกกังวลมากนัก ซึ่งไม่ใช่เพราะมีกรีนอยู่เคียงข้างเขา แต่เพราะเขานั้นมีมิติที่คอยให้หลบซ่อนตัวอยู่ เขานั้นไม่เชื่อว่าจะมีใครที่จะเข้าไปในมิติเพื่อจะสังหารเขาได้
พวกเขานั้นไม่ได้เพิ่มหรือลดความเร็วลงแต่อย่างใด และยังคงไม่รีบที่จะเดินหน้าต่อไปเรื่อยซึ่งเป็นลักษะนิสัยของเจ่าไห่ ไม่ว่าจะเวลาไหน เขาจะเตือนตัวเองเสมอให้อยู่ในความสงบและมีสติ ซึ่งเป็นคติประจำใจของเขา
ตอนนี้เจ่าไห่นั้นกำลังเตือนตัวเองให้สงบสติอารมณ์ของตัวเอง เขานั้นสังเกตุสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะไม่เห็นอะไรเลย แต่เขาก็ยังคงเฝ้าสังเกตุอยู่ เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ
เมอร์รินที่นักอยู่บนหลังอันเดตก็หลับตาลง ในขณะที่กรีนนั้นยังคงนั่งอยู่บนหัวของเอเลี่ยนซึ่งเจ่าไห่และเม็กนั้นกลับเข้าไปในมิติแล้ว
แต่เจ่าไห่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าพวกเขานั้นใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางแล้วก็ยังไม่พบอะไเลย จนกระทั่งถึงสี่โมงเย็นแล้วพวกเขาก็ยังไม่เห็นผู้คนเลยหรือพบการซุ่มโจมตีใดๆทุกสิ่งอย่างนั้นเงียบสงบจนน่าขนลุก
เจ่าไห่นั้นเตรียมตัวที่จะหยุดและพักผ่อนแต่ทันใดนั้นเมอร์รินก็ลืมตาขึ้นมา “นายน้อย คุณควรจะกลับเข้าไปในมิติก่อน ฉันสัมผัสได้ถึงพลังเวยท์มนตร์ดำที่แข็งแกร่งอยู่ข้างหน้าพวกเรา ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังเตรียมการบางอย่างอยู่
เจ่าไห่นั้นพยักหน้าตกลง เขานั้นรู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ จึงกลับไปในมิติแต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังปล่อยให้เอเลี่ยนนั้ยยังอยู่ข้างนอกและพากรีนและเมอร์รินเดินทางต่อ
เมื่อเข้าไปในมิติแล้ว เจ่าไห่ก็เข้าไปในกระท่อมพร้อมกับเปิดหน้าจอดูสถานการณ์ข้างนอก มันแปลกที่เมื่องมองภาพด้านนอกแล้ว มันเหมือนกับภาพที่เขานั้นมองอยู่บนหลังของอันเดต
ในตอนนั้นเองเขาก็ตีหัวตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงโง่จัง ตลอดเวลานั้นเขารู้ว่าจากจุดที่เขานั้นสามารถมองสิ่งต่างจากจุดที่เข้าไปในมิติในระยะ 100 เมตร แต่ถ้าหาจุดนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้ล่ะ เขาก็สามารถเห็นสิ่งได้มากขึ้นจริงไหม? เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเข้าไปในมิตินั้น เขาไม่เก็บอันเดตเข้าไปในมิติเพราะคิดว่ามันอาจจะช่วยกรีนและเมอร์รินได้ แต่เขานั้นลืมบอกให้มันหยุด ดังนั้นมันจึงเดินหน้าต่อไป
ซึ่งก็ทำให้เขานั้นพบว่าเมื่อเขานั้นอยู่ในมิติแล้ว แต่ภาพในจอนั้นก็ยังเคลื่อนไหวไปข้างหน้าซึ่งก็หมายความว่าจุดอ้างอิงนั้นเคลื่อนที่อยู่ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าเขานั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างนอกอีกแล้ว บ้าเอ๊ย! ทำไมเขาถึงไม่คิดเรื่องนี้มาก่อนเลย? เขานั้นสามารถที่จะปล่อยอันเดตไว้ข้างนอกในขณะที่เขานั้นหลบเข้ามาซ่อนในมิติได้
แต่ตอนนี้เจ่าไห่นั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคิดถึงเรื่องนี้เพราะในหัวเขานั้นมีแต่เรื่องของนักเวทย์มนตร์ดำ
เมอร์รินและกรีนนั้นเฝ้าระวังสิ่งรอบตัวที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาในขณะที่อันเดตนั้นก็เดินหน้าต่อไป เมอร์รินเองก็สัมผัสถึงพลังเวทย์มนตร์ดำแรงขึ้นเรื่อยๆ
ในใดนั้นพวกเขาก็ยินเสียงของอาวุธปะทะกัน ซึ่งทำให้กรีนและเมอร์รินนั้นรู้ได้ทันทีว่าพวกเขานั้นมาถึงจุดหมายแล้ว
ตอนนั้นเองอันเดตก็หยุดเดิน เจ่าไห่นั้นปรากฎตัวขึ้นบนหลังของอันเดตและพูดว่า “ปู่กรีน ยายเมอร์รินเข้าไปในมิติก่อน ผมจะให้อันเดตนั้นเดินหน้าต่อไปซึ่งจะทำให้เรานั้นเห็นทุกอย่างเอง”
กรีนและเมอร์รินนั้นตกใจ แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าเจ่าไห่นั้นหมายถึงอะไร แต่กรีนก็ส่ายหัวของเขา “ไม่ครับนายน้อย พวกเราจะไม่เข้าไปในมิติ เพราะหากว่าพวกเขานั้นรู้ความลับเรื่องมิติของพวกเราแล้ว กระผมคิดว่ามันจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี”
เจ่าไห่นั้นหยุดนิ่งชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า “ได้ ถ้าเช่นนั้นแล้วผมก็คงต้องอยู่ข้างนอกด้วยอย่างน้อยผมก็ช่วยปล่อยอันเดตออกมาช่วยได้ ซึ่งจะทำให้คนอื่นนั้นคิดว่าผมนั้นเป็นนักเวทย์มนตร์ดำและไม่มีใครรู้ความรับเรื่องมิติ”
กรีนและเมอร์รินขมวดคิ้ว พวกเขานั้นไม่ต้องการให้เจ่าไห่นั้นต้องเสี่ยง แต่ถ้าเจ่าไห่นั้นอยู่ในมิติและเรียกอันเดตออกมา มันก็อาจจะส่งผลให้ความลับของมิตินั้นรั่วไหลออกไป ซึ่งจะทำให้พวกเขานั้นอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
กรีนครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะหันไปหาเจ่าไห่ “นายน้อยครับ ถ้าคุณอยากจะอยู่ข้างนอกแล้วล่ะก็ ได้โปรดให้เม็กออกคุ้มกันอยู่ข้างๆคุณด้วย”
เจ่าไห่พยักหน้า เขานั้นพบว่าตราบใดที่เขานั้นเรียกคนในมิติภายในหัวของเขา คนนั้นก็จะได้ยินเสียงของเขา และนอกจากนี้แล้วถ้าพวกเขาต้องการคุยกับเขา ก็แต่แตะที่หน้าจอและพูด เขาก็จะได้ยิน ซึ่งทำให้เจ่าไห่นั้นดีใจมากที่เขานั้นสามารถที่จะติดต่อกับคนในมิติได้ ซึ่งมันทำให้สะดวกมาก
หลังจากที่เรียกเม็กออกมาแล้ว เธอก็นั่งลงข้างๆเจ่าไห่และมองไปรอบๆเพื่อเตรียมพร้อมจะป้องกันภัยอันตรายที่เข้าใกล้ เจ่าไห่จึงสั่งให้อันเดตนั้นเดินห้าต่อไป แต่เดินไปด้วยความระมัดระวัง ส่วนกรีนเองก็ยืนขึ้นพร้อมต่อสู้
พวกเขานั้นเดินไปข้างหน้าจนเจอกับทางชัดเล็กๆ ในที่สุดนั้นเจ่าไห่ก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั้น กลุ่มอันเดตขนาดใหญ่นั้นกำลังโจมตีขบวนสินค้าอยู่ ซึ่งมีสัญลักษณ์บานะติดอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าขบวนสินค้านี้เป็นของตระกูลมาร์กี้
กรีนก็สักเกตุเห็นธงที่ปักอยู่บนพื้นข้างๆทางลาดชัดนั้น เป็นธงสีดำมีหัวกระโหลกขาวบนนั้น เจ่าไห่นั้นคิดว่ามันคือธงโจรสลัดบนโลกของเขา ซึ่งเมื่อกรีนเห็นธงนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เพราะว่าธงนั้นทำให้เขานึกถึงองค์กรหนึ่ง ในทวีปซึ่งเป็นทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่นั้นคือ ‘กองทัพอมตะ’
กองทัพอมตะนั้นเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่จัดได้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งในทวีป แต่มันเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด เนื่องจากว่ามีสมาชิกเพียงแค่ 8 คน
ซึ่งปกติแล้วคนเพียงแค่ 8 คนนั้นไม่สามารถเรียกว่าเป็นกลุ่มทหารรับจ้างได้ เพราะมันเหมือนกับกลุ่มนักผจญเล็กๆมากกว่า แต่เพราะกลุ่ม 8 คนนี้เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มทหารรับจ้างก็เพราะว่าทั้งแปดคนนั้นเป็นนักเวทย์มนตร์ดำ
ซึ่งกลุ่มทหารรับจ้างนี้มีอยู่มาหลายทศวรรษแล้ว ในตอนนั้น พวกเขานั้นได้รับการว่าจ้างกว่า 1000 ครั้ง ซึ่งกว่า 500 ครั้งที่ผลคือพวกเขานั้นฆ่าผู้ว่าจ้างและขโมยสินค้าเสียเอง ซึ่งส่งผลให้ไม่มีใครที่กล้าจะว่าจ้างพวกเขาอีก จนพวกเขานั้นกลายเป็นโจรจริงๆเสียเอง
ทุกครั้งที่พวกเขานั้นลงมือ ทุกๆคนที่อยู่ใกล้ๆนั้นจะถูกฆ่าให้กลายเป็นอันเดต และพวกเขาจะใช้อันเดตพวกนี้โจมตีเป้าหมาย ซึ่งเป็นวิธีการที่โหดร้ายจน แต่ก็ไม่มีใครในทวีปที่จะจัดการกับพวกเขา เพราะครั้งหนึ่งกองทัพอมตะนั้นโจมตีธุรกิจของกลุ่มเซียนหย่าซึ่งส่งนักรบระดับหัวกะทิออกมาต่อกร ผลทำให้พวกเขาทั้งแปดคนจากกองทัพอมตะนั้นตายถึงเจ็ดคนและบาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน
ซึ่งเดิมนั้นทุกคนในทวีปก็คิดว่ากองทัพอมตะนั้นได้หายไปจากทวีปจนกระทั่งเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น….