ตอนที่ 62 – หมู่บ้านที่แปลกประหลาด
ไม่เพียงแค่ตระกูลมาร์กี้เท่านั้นแต่ยังมีตระกูลอื่นๆอีกมากที่จัดตั้งหน่วนข่าวกรองของตัวเองทั่วทั้งทวีป ตระกูลใหญ่ๆนั้นล้วนจัดตั้งหน่วนข่าวกรองในป้อมปราการมอนเตเนโกเพราะว่าจะไม่โดนทหารตรวจสอบเพราะไม่มีทหารมาประจำการที่นี้ และการจัดตั้งหน่วนข่าวกรองที่นี้ก็มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือหาคนที่มีพรสวรรค์!
ขุนนางในทวีปอาร์คนั้นจะให้ความสำคัญกับคนที่มีพรสวรรค์อย่างมาก เพราะว่านักรบที่แข็งแกร่งจะช่วยพวกเขาได้มาก ดังนั้นการจัดตั้งหน่วยข่าวกรองที่นี้จึงเหมาะสมอย่างมากเพราะว่าที่นี้เป็นแหล่งรวมทหารรับจ้างและนักผจญภัย พวกเขานั้นสามารถเชิญชวนนักรบที่มีความสามารถเพื่อเป็นกำลังให้กับตระกูลได้
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเจ่าไห่นั้นปรากฎตัวขึ้นที่ป้อมปราการมอนเตเนโก ตระกูลส่วนใหญ่นั้นก็ได้รับข่าวสารถึงการมาของพวกเขาแล้ว
แต่คนเหล่านี้ก็คาดกับเจ่าไห่เสมอ พวกเขาไม่คาดคิดว่าเจ่าไห่นั้นจะอยู่นอกเมืองและเข้าไปพักข้างในมิติตอนกลางคืน ซึ่งทำให้คนที่ทำหน้าที่ติดตามนั้นไม่สามารถที่จะแกะรอยพวกเขาได้เลย
ด้วยความสามารถเช่นนี้ ทำให้ผู้คนนั้นมั่นใจว่าเจ่าไห่นั้นเป็นนักเวทย์มนตร์ดำอย่างแน่นอน
ซึ่งเจ่าไห่นั้นก็ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องการถูกสะกดรอยเลย พวกเขาเดินทางไปเรื่อยๆไม่เร็วหรือช้าเกินไปเพราะการจะไปถึงเมืองคาซ่าจากป้อมปราการมอนเตเนโกนั้นต้องใช้เวลากว่าเจ็ดวันแม้ว่าจะใช้ม้าก็ตาม แต่เจ่าไห่นั้นใช้อันเดตด้วยความเร็วที่เท่ากัน
ตอนนี้เวลาผ่านไปเพียงแค่สามวัน ซึ่งในช่วงเวลานี้พวกเขาก็เดินทางผ่านไปเมืองไปแล้วสองเมืองและหมู่บ้านเล็กๆอีกมากมายซึ่งทำให้เห็นได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองในเขตการปกครองของตระกูลเพอร์เซลล์
ในตอนเช้าของวันที่สี่ พวกเขาก็ยังเดินทางตามปกติ เนื่องจากว่าตอนนี้ไม่ใช่หน้าฝน จึงทำให้พวกเขาเดินไปตามถนนได้อย่างสะดวกสบายไม่เลอะโคลน แต่เจ่าไห่ก็รู้สึกว่าบางอย่างนั้นขาดไปแต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เมื่อเห็นเจ่าไห่กำลังครุ่นคิดสงสัย เม็กจึงพูดขึ้นมาว่า “อ่า นายน้อย ดิฉันว่ามันแปลกๆนะค่ะ พวกเราเดินทางมากว่าสองชั่วโมงแล้ว แต่พวกเรากลับไปเห็นใครเลย ช่วงเวลานี้น่าจะเป็นช่วงที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุด”
เมื่อได้ยินเม็กพูด เจ่าไห่ก็รู้แล้วว่าตลอดเวลาสองชั่วโมงที่ผ่านมากนั้น พวกเขาไม่ได้พบกับผู้คนระหว่างทางเลย ซึ่งมันทำให้เขานั้นรู้สึกว่าบางอย่างหายไป
“หยุด!!” เจ่าไห่สั่งเพราะเขารู้สึกว่ามันผิดปกติ อันเดตจึงหยุดลงทันที เจ่าไห่ลุกขึ้นยืนพรอ้มกับพูดกับกรีน “ปู่เขียว คุณคิดว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเขาไม่เจอคนเลยระหว่างทางเลย?”
“ผมเองก็สังเกตุเห็นเหมือนกันครับ แต่ไม่ต้องห่วง พวกเราต้องเดินทางต่อไป ผมเองก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันไม่ใช่ปัญหาอะไรใหญ่โตเพราะว่านายน้อยสามารถที่จะเข้าไปหลบซ่อนในมิติซึ่งไม่มีใครสามารถหาคุณได้”
เจ่าไห่นั้นไม่คิดว่ากรีนจะสังเกตเห็นสิ่งที่ผิดปกติ ดูเหมือนว่ามันจะขาดความรับผิดชอบแต่มันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะพวกเขานั้นไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำได้เพียงแค่เดินหน้าต่อไป
เจ่าไห่พยักหน้า “เอาล่ะ งั้นก็ออกเดินทางกันต่อ”
เอเลี่ยนจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่เจ่าไห่และเม็กก็รู้สึกเครียดขึ้นมา พวกเขานั้นไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่เหมือนกับกรีนที่ยังคงใจเย็น พวกเขานั้นมองไปรอบๆป่าเพื่อว่าจะมีสัตว์อสูรกระโจนออกมาโจมตี
แต่เจ่าไห่ก็รู้สึกแปลกใจเพราะพวกเขาเดินผ่านทั้งเช้าก็ไม่เจอกับใครเลย
เมื่อผ่านหมู่บ้าน พวกเขาก็มองไปรอบๆและไม่เห็นใครอยู่ที่นั้น แม้เจ่าไห่นั้นแปลกใจเพราะว่ามันไม่มีร่องรอยของการต่อสู้จนเหมือนกับว่าคนในหมู่บ้านนั้นลุกออกจากเตียงและเดินออกไป นอกจากนี้แล้วพวกเขายังไม่ได้ยินเสียงไก่หรือหมาเลย มันเงียบสนิท
เจ่าไห่นั้นรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว หมู่บ้านี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
กรีนนั้นสำรวจรอบๆหมู่บ้านก็ไม่พบอะไร แต่สีหน้าของเขานั้นเคร่งเครียดก่อนจะหันไปหาเจ่าไห่ “นายน้อย เรียกเมอร์รินออกมาหน่อยครับ ผมคิดว่าเธอน่าจะพบอะไรบางอย่างก็ได้”
เจ่าไห่จึงเรียกเมอร์รินออกมาจากมิติ เมอร์รินนั้นมองไปรอบๆ เพราะเธอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะออกมาจากมิติ และเริ่มตรวจสอบรอบๆ จากนั้นเธอก็หลับตาลงและร่ายคาถา
จากนั้นเธอก็ปล่อยแสงสีฟ้าออกมาจากตัวเธอ ราวกับแสงที่ปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์ แสงนั้นสาดส่องไปทั่วประมาณห้านาทีก่อนจะหายไป
เมอร์รินจึงค่อลๆลืมตาขึ้น “นายน้อยค่ะ มีคนใช้เวทย์มนตร์ดำที่เหมือนกับสะกดคนในหมู่บ้าน และให้ออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้”
เจ่าไห่ตกใจ “เวทย์มนตร์ดำ? ยายจะบอกว่ามีนักเวทย์มนตร์ดำจริงๆที่นี้งั้นเหรอ?”
เมอร์รินพยักหน้า “เมื่อเวลาผ่านไป พลังเวทย์นั้นก็ค่อยๆจางไปแล้ว แต่ฉันมั่นใจว่ามีบางคนใช้เวทย์มนตร์ดำที่นี้”
สีหน้าของเจ่าไห่และกรีนก็ซีดลง พวกเขานั้นแน่ใจว่าการที่ไม่เจอใครเลยระหว่างทางเพราะเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน พวกเขาต้องแก้ไขปัญหานี้ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะอย่าลืมว่าเจ่าไห่นั้นปลอมตัวเป็นนักเวทย์มนตร์ดำ แต่ตอนนี้พวกเขากับเจอนักเวทย์มนตร์ดำจริงๆ และพวกเขาก็ไม่สามารถปกปิดเหตุการณ์นี้ได้ ซึ่งเมอร์รินเองเองก็รู้ว่านี้เกิดจาเวทย์มนตร์ดำ ซึ่งนั้นหมายความว่านักเวทย์คนอื่นก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เจ่าไห่จะถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัย
กรีนและเจ่าไห่นั้นกังวลกับนักเวทย์มนตร์ดำนี้ ด้วยการสะกดผู้คนให้ออกไปจากหมู่บ้านมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่านักเวทย์นั้นต้องไม่ได้มีเจตนาดีแน่ๆ ซึ่งทำให้เจ่าไห่นั้นต้องเจอปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเมอร์รินนั้นรู้สถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างดี “นายน้อย คุณควรจะหยุดสวมชุดนักเวทย์มนตร์ดำในตอนนี้ก่อน ไม่เช่นั้นแล้วมันอาจจะนำปัญหามาก็ได้”
เจ่าไห่ส่ายหัว “ถ้าผมแกล้งทำเป็นคนอื่น มันจะทำให้คนอื่นนั้นพบตัวตนของเราได้ง่ายและมันจะทำให้สถานการณ์นั้นอันตรายยิ่งกว่า ยายเมอร์ริน คุณพอจะบอกได้ไหมว่านักเวทย์มนตร์ดำนั้นพาผู้คนไปที่ไหน? พวกเราต้องมาดูกันว่าจะจัดการปัญหานี้ได้หรือไม่ ถ้าพวกเราแก้ได้ มันก็จะเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากแก้ไม่ได้ พวกเราก็ต้องไม่ให้ตระกูลเพอร์เซลล์นั้นสงสัยพวกเรา”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ให้ตระกูลเพอร์เซลล์นั้นจะไม่รู้ แต่ถ้าหากเจ่าไห่นั้นหาตัวการที่แท้จริงได้และส่งให้กับตระกูลเพอร์เซลล์ แน่นอนว่าพวกเขาก็จะไม่โดนสงสัย
เมอร์รินมองที่กรีน เพราะอยากรู้ว่ากรีนนั้นจะเห็นด้วยกับแผนของเจ่าไห่หรือไม่ ซึ่งถ้ากรีนตกลง เธอก็จะหาว่านักเวทย์มนตร์ดำนั้นไปที่ไหน
กรีนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นแล้ว พวกเราจะทำตามแผนของนายน้อย หาตัวการเรื่องนี้และส่งตัวให้กับตระกูลเพอร์เซลล์”
จากนั้นเมอร์รินก็ใช้เวทย์มนตร์ซึ่งรอบนี้ใช้เวลากว่าสิบนาที หลังจากร่ายคาถาเสร็จแล้ว เธอก็ชี้ไปทางเมืองคาซ่า “ทางนั้น”