ตอนที่ 58 – รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์
เจ่าไห่มองไปที่เสื้อคลุมสีดำในมือของเขาอย่างเงียบๆ เขานั้นไม่รู้ว่าสิ่งนี้ทำมาจากอะไร แต่มันถูกเย็บมาอย่างปราณีต แต่มันมีเนื้อผ้าค่อนข้างหนา แต่สิ่งที่เขาสังเกตเห็นว่ารูปแบบของเสื้อคลุมนี้นั้นเหมือนกับเสื้อคลุมของเหล่าวายร้ายในรายการโทรทัศน์ต่างๆ
ส่วนหมวกที่เขาจะสวมใส่นั้นก็เป็นหมวกขนาดใหญ่ ซึ่งจุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือมันสามารถที่จะปกปิดใบหน้าของเขาไม่ให้คนอื่นเห็นได้
ทั้งหมดนี้เป็นชุดที่ใช้สำหรับปลอมตัวเป็นนักเวทย์มนตร์ดำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เจ่าไห่นั้นสวมเสื้อคลุมทับเสื้อนักรบที่เขาใส่ประจำ เสื้อคลุมสีดำนี้นั้นทั้งยาวและหนาจึงทำให้เขานั้นไม่รู้สึกถึงความเย็นของอากาศเลยแม้แต่น้อย แต่เนื้อผ้าของมันนั้นกลับค่อนข้างที่จะนุ่มและรู้สึกสบายเวลาสวมใส่ไว้ เขาจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นนั้นก็สวมหมวกของเขาก่อนจะหยิบไม้เท้าเวทย์และเดินออกไปจากกระท่อม
เมื่อกรีนเห็นเจ่าไห่ออกมา เขาก็พบว่าเสื้อคลุมนั้นมีขนาดพอดีกับเจ่าไห่ และเมื่อสวมใส่แล้วก็ทำให้เจ่าไห่นั้นเหมือนกับนักเวทย์มนตร์ดำจริงๆ นั่นเป็นเพราะว่าเจ่าไห่มีนิสัยที่ประหลาดซึ่งทำให้เขานั้นกลมกลืนไปกับโลก ซึ่งหากไม่มีใครสังเกตุเขาจริงๆแล้ว ก็จะไม่มีใครรู้สึกได้ถึงเจ่าไห่เลย ซึ่งเขานั้นเหมือนกับชายที่ล่องหน
ซึ่งนิสัยที่แปลกๆของเจ่าไห่นั้นก็มาจากว่าที่เขานั้นเป็นเนิร์ดมาก่อนในอดีต[ผู้แปล: ต้นฉบับเดิมใช้ Otaku แต่พอไปอีกที่นั้นใช้ Nerd ซึ่งผมมองว่าเนิร์ดนั้นโอเคกว่านะครับ]เนิร์ดนั้นเป็นพวกที่ไม่ค่อยได้สื่อสารกับคนอื่นๆอยู่แล้ว พวกเขาจึงสามารถที่จะหลบซ่อนตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี พวกเขามักจะหาสถานที่ที่ไม่เป็นจุดเด่น ซึ่งทำให้ไม่มีใครสังเกตุเห็นพวกเขา และนั่งลงเพื่อมองดูโลก
ชีวิตอดีตของเขานั้น เจ่าไห่เคยมีประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งครั้งหนึ่งเขานั้นไปกับเพื่อนที่ทำงานของเขา พวกเขานั้นไปทานอาหารเย็นกันแล้วไปที่โรงแรม จนกระทั่งพวกเขานั้นกลับไปที่ห้องถึงได้เห็นเขา “คุณได้รับเชิญด้วยเหรอ?” พวกเขาทุกคนั้นถามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อโดนเพื่อนๆถามเช่นนั้นแล้ว เจ่าไห่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรถึงแม้ว่าเขานั้นจะมาด้วยกับพวกเขา แต่พวกเขาทุกคนกับลืมเจ่าไห่จนหมด เหมือนกับก้อนกรวดข้างทาง
ซึ่งด้วยนิสัยนี้เองทำให้เสื้อคลุมสีดำนั้นเหมาะกับเจ่าไห่อย่างมาก มันเหมือนกับว่าเขานั้นกลมกลืนไปโลก จึงทำให้คนอื่นๆนั้นไม่ได้สังเกตุเห็นเขาซึ่งเป็นสิ่งที่นักเวทย์มนตร์ดำส่วนใหญ่ทำ
ทุกๆคนนั้นมองไปยังเจ่าไห่ ซึ่งในขณะที่กรีนนั้นก็ตกใจก่อนจะหยิบหมวกบนหัวของเจ่าไห่ขึ้นมาและพูดว่า “ทำไมข้ารู้สึกแปลกๆ”
เจ่าไห่ก็รับหมวกจากกรีนกลับไปใส่อีกครั้ง และทันใดนั้น จู่ๆร่างกายของเจ่าไห่ก็เหมือนกับว่ามันหายไป
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่ทุกคนนั้นกลับมีความสุขเพราะเรื่องนี้ เจ่าไห่นั้นสวมเสื้อคลุมซึ่งเหมือนกับนักเวทย์มนตร์ดำ ซึ่งถ้าเขาถอดชุดนี้ออกแล้ว ก็จะไม่มีใครรู้เลยว่าสองคนนี้เป็นคนเดียวกัน นี้จึงเป็นข้อดีสำหรับในการปกปิดตัวตนของเจ่าไห่อย่างมาก
กรีนส่ายหัวของเขา “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชุดแบบนี้จะเหมาะกับนายน้อย เม็กไปแต่งตัวซะเธอจะเป็นสาวใช้ที่ติดตามเขา ถ้าเจ้าออกไป เจ้าก็จะสามารถที่จะปกป้องนายน้อยได้ และจะไม่ใครสงสัยหากจะมีสาวรับใช้นั้นติดตามนักเวทย์มนตร์ดำ”
เจ่าไห่มองไปที่เม็ก ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วเจ่าไห่นั้นต้องการที่จะเห็นเธอนั้นเดินไปด้วย แต่ในหัวใจของเขานั้นก็รู้สึกไม่สบายใจและไม่กล้าที่จะสู้หน้ากับเม็ก
กรีนจึงเสริมว่า “ที่จริงข้านั้นอยากให้บล๊อคและร๊อคนั้นเป็นคนติดตามนายน้อย แต่ถ้าหากเจ้าบ๊องสองคนนี้ทำงานด้วยกันแล้ว มันจะสร้างความสงสัยแก่คนอื่นเสียมากกว่า”
เจ่าไห่นั้นก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป แต่ในเมื่อกรีนนั้นไม่อยากให้บล๊อคและร๊อคนั้นติดตามเขาไปข้างนอก เขาทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน
ทันใดนั้นเม็กก็พูดขึ้นมาว่า “นายน้อยไม่อยากให้ฉันติดตามคุณไปเหรอค่ะ?”
เจ่าไห่นั้นตกใจก่อนจะหันไปมองเม็ก ซึ่งเขาก็พบว่าในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่เศร้า,อ่อนแอและมีเสน่ห์จนทำให้หลายๆคนนั้นถึงกับพูดไม่ออก เจ่าไห่จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าอนุญาตให้เจ้านั้นไปกับข้าได้” ก่อนจะหันไปมองทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตาเธอ และเมื่อเขานั้นหันกลับมา เจ่าไห่ก็เห็นรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเธอ
เม็กนั้นพบว่าเจ่าไห่นั้นกลัวเธออยู่ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอก็คงจะไม่ตามเขาไปอย่างแน่นอน แต่เธอนั้นต้องการจะดูว่าเจ่าไห่นั้นจะใส่ใจเธอหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์นั้นก็เป็นไปตามที่เธอนั้นคาดไว้
ผู้ชายมักคิดว่าผู้หญิงนั้นไม่เข้าใจหรอกว่าผู้ชายนั้นเป็นห่วงเธอมาแค่ไหน แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เจ่าไห่ทำแล้ว เม็กก็อดขำไม่ได้เพราะว่าเจ่าไห่นั้นกลับกลัวเม็กซะเอง ตอนนี้เธอรู้สึกชอบที่จะหยอกเจ่าไห่เล่น แต่ว่ากรีนและเมอร์รินนั้นยืนอยู่ข้างเธอ เธอจึงไม่กล้าทำเช่นนั้น
กรีนเห็นเช่นนั้นก็ช่วยอะไรเจ่าไห่ไม่ได้ ทำได้เพียงแค่จ้องไปที่เม็กซึ่งกำลังก้มหน้าก่อนที่เธอจะรีบพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้ว ดิฉันของไปเก็บสิ่งของก่อน” จากนั้นเม็กก็เดินจากไป
เมอร์รินและกรีนก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเมื่อพวกเขานั้นสังเกตุเห็นว่าเม็กนั้นสนใจในตัวเจ่าไห่ซึ่งถ้าเป็นในอดีตพวกเขาก็คงไม่ให้เจ่าไห่เข้าใกล้เม็กอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
จากนั้นกรีนก็หันไปหาเจ่าไห่ “นายน้อย คุณควรเปิดหน้าจอให้กับเมอร์รินเพื่อเป็นตาให้กับเราเวลาอยู่ข้างนอก ซึ่งเมอร์รินจะได้สามารถเตือนพวกเราได้แม้ว่าพวกเรากำลังพักผ่อนอยู่ ซึ่งถ้าหากผมอยู่ข้างนอกและเม็กไม่ได้อยู่กับท่าน อย่างน้อยเมอร์รินก็น่าจะสามารถช่วยท่านได้บ้าง”
แม้ว่าเจ่าไห่คิดว่ามันไม่จำเป็น แต่เขาก็ตกลง แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ก็ตาม เพราะถ้าเขาเปิดหน้าจอให้กับเมอร์รินแล้ว เธอก็คงจะช่วยสังเกตุการณ์ให้กับพวกเขาตลอด 24 ชั่วโมงอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็จำเป็นต้องทำ เพราะว่าตอนนี้พวกเขานั้นไม่ได้อยู่ในแดนทมิฬอีกแล้วเพื่อเป็นเครื่องรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะมีความทรงจำของอดัมตั้งแต่เกิด แต่อดัมนั้นก็ไม่เคยที่จะออกไปข้างนอกเมืองหลวงของจักรวรรดิอาร์ซูเลย ซึ่งทำให้เขานั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอก ซึ่งทำให้เจ่าไห่นั้นไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ข้างนอกและได้แต่ทำตามคำแนะนำของกรีน
หลังจากที่เขาเปิดหน้าจอให้กับเมอร์รินแล้ว เม็กก็เก็บข้าวของจนเสร็จพร้อมกับกระเป๋าและสวมใส่ชุดคนรับใช้ ซึ่งก็ต้องบอกว่าเม็กใส่ชุดนี้แล้วดูดีอย่างมาก เธอนั้นดูอ่อนโยนจนทำให้หลายคนนั้นต้องออกมาปกป้องเธอ
เจ่าไห่นั้นพยายามที่จะไม่จ้องไปที่เม็ก และหันไปหายายเมอร์รินแทน “ยายเมอร์ริน ถ้าหากมีอะไรที่คุณต้องการ คุณแค่เคาะบนหน้าจอ ผมจะคอยฟังอยู่”
เมอร์รินพยักหน้า “นายน้อยได้โปรดวางใจ แต่คุณเองก็ต้องระมัดระวังตัวด้วยนะค่ะ”
เจ่าไห่พยักหน้า จากนั้นเจ่าไห่ กรีนและเม็กก็ปรากฎตัวขึ้นกลางป่า
กรีนมองไปรอบๆก่อนจะบอกเจ่าไห่ “นายน้อย เรียกอันเดตออกมาได้เลยครับ พวกเราจะเดินทางไปยังป้อมปราการมอนเตเนโกกัน” กรีนยิ้มให้ “ถ้าหากเป็นเมืองอื่นๆแล้ว ถ้าเห็นคนอัญเชิญอันเดตออกมา พวกเขาจะคิดว่าพวกเรานั้นจะโจมตีเมือง แต่ที่นี้คือป้อมปราการมอนเตเนโก ซึ่งไม่มีอะไรที่จะคุ้มค่าในการโจมตี ซึ่งถ้าหากพวกเรานั้นกำลังผ่านเมืองในขณะที่อยู่บนอันเดตแล้ว มันจะลดปัญหาได้มากเพราะไม่มีใครอยากจะมายุ่งกับพวกเรา”
เจ่าไห่ก็สงสัยขึ้นมา “แต่ผมก็สวมเสื้อคลุมของนักเวทย์มนตร์ดำแล้วนะ มันยังไม่พอที่จะหยุดไม่ให้ใครมายุ่งกับพวกเราอีกเหรอ?”
“ที่ป้อมแห่งนี้นั้นไม่เหมือนกับที่อื่นๆ แม้ว่าจะมีนักเวทย์ไม่มาก แต่หลายคนก็พยายามปลอมตัวเป็นนักเวทย์มนตร์ดำเช่นกัน ทุกคนในทวีปรู้ดีว่าไม่มีใครอยากจะยุ่งเกี่ยวกับนักเวทย์มนตร์ดำ แต่ก็มีบางคนที่ทำตัวเป็นนักเวทย์มนตร์ดำคอยปล้นหรือกรรโชกทรัพย์ของนักผจญภัย ซึ่งถ้าเราไม่อัญเชิญอันเดตออกมา พวกเขาจะไม่คิดว่าคุณคือนักเวทย์มนตร์ดำจริงๆ”