ตอนที่แล้วตอนที่ 55 – นักเวทย์มนตร์ดำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 57 – ป้อมปราการมอนเตเนโก

ตอนที่ 56 – มองหน้ากันไม่ติด


พวกเขาจึงรีบเดินผ่านหุบเขาที่ถูกหลงลืม เจ่าไห่นั้นยังไม่เก็บอันเดตเข้าไปในมิติ เพื่อที่จะทำตัวเป็นนักเวทย์มนตร์ดำ เพราะถ้าหาเขาเดินทางไปยังป้อมปราการโดยที่แสดงว่าเขานั้นเป็นักเวทย์มนตร์ดำที่มีสัตว์อสูรอันเดตที่แข็งแกร่ง ก็จะทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะหาเรื่องเขา

ที่ด้านข้างของหุบเขานั้นเป็นหน้าผาที่ไม่สูงชันมากนัก ซึ่งเต็มไปด้วยพุ่มไม้ วัชพืช และต้นไม้ที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่บริเวณปราสาทของเขา

พวกเขานั้นไม่เห็นใครเลยในหุบเขาที่ถูกลืมแห่งนี้ แต่บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงของแมลงเซ่งแซ่เป็นระยะๆ

หลังจากที่มองไปยังหุบเขาทั้งสองข้าแล้ว กรีนก็หันหน้าไปหาเจ่าไห่ “นายน้อย พวกเราควรหาที่พักบนภูเขาก่อน จากนั้นคุณก็เข้าไปในมิติ ส่วนผมนั้นจะไปยังป้อมปราการมอนเตเนโกเพื่อที่จะซื้อเสื้อผ้าและสิ่งของต่างๆ”

เจ่าไห่นั้นพยักหน้าก่อนจะสั่งอันเดตให้ปีนไปบนเนินเขา แม้ว่าอันเดตพวกนี้จะเป็นเพียงแค่โครงกระดูก แต่ก็ยังมีกรงเล็บที่แหลมคมดังนั้นการปีนขึ้นไปจึงไม่ใช้เรื่องที่ยากเย็นอะไร เมื่อพวกเขาเข้าใกล้กับต้นไม้แล้ว เขาก็เห็นว่าบางต้นนั้นคล้ายกับต้นไม้บนโลกอดีตของเขา แต่เขาเองก็รู้เรื่องของต้นไม้ไม่มากนัก ซึ่งจะรู้จักก็เพียงแค่ต้นไม้ที่พบเห็นได้บ่อย อย่างเช่น ต้นวิล์ลอว ,ต้นเอล์ม และต้นสน ส่วนตนอื่นๆนั้นเขาก็ไม่รู้จักแล้ว

กรีนที่นักอยู่ข้างๆเจ่าไห่ก็มองไปยังต้นไม้ “นายน้อย ป่าแห่งนี้อันตรายอย่างมาก” ไม่เพียงแค่เฉพาะสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ยังเป็นพืชที่มีพิษที่รุนแรงด้วย ดังนั้นได้โปรดระวังด้วย”

เจ่าไห่พยักหน้าตอบ แม้ว่าเขาจะไม่เคยอาศัยอยู่ในป่ามาก่อน แต่เขาก็เคยได้อ่านเรื่องราวที่อันตรายในป่าจากผู้คนที่เขียนกันบนโลกออนไลน์ หรือแม้แต่นิยายเองก็บอกว่าป่านั้นเป็นสถานที่อันตราย และในป่าเองก็มีสัตว์อสูรอยู่ด้วย ทำให้เขานั้นต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

บนภูเขานั้นมีพืชอยู่มากมายหลายสายพันธุ์ คุณจะได้เห็นต้นไม้ที่หลากหลายในป่าแห่งนี้ แต่เมื่อยิ่งเข้าไปลึกขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมืดขึ้นเรื่อย จนในที่สุดเขาก็หาที่พักได้ในที่สุด

จากนั้นเจ่าก็ลงจากเอเลี่ยนก่อนจะส่งมันเขาไปในมิติพร้อมกับพวกเขา

ภายในมิตินั้น ข้าวโพดเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงและต้นผลน้ำมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเมอร์รินเองก็สอนพวกทาสเขียนและอ่านหนังสืออย่างขันแข็ง

แต่นอกเหนือจากการอ่านและเขียนก่อนห้านี้แล้ว เจ่าไห่เองก็นำหินที่ขุดได้มากับเขาด้วย ซึ่งไว้ให้พวกแอนและทาสนั้นทำเครื่องโม่ นอกจากนี้แล้วพวกเขายังนำหญ้าเข้ามาในมิติด้วย เพื่อที่จะให้พวกทาสนั้นยังมีงานทำ นอกจากจะได้ผลที่ดีแล้ว มันยังไม่มีปัญหาในเรื่องของงานและการพักผ่อนด้วย

เมื่อเมอร์รินเห็นทั้งสองเข้ามาในมิติ เธอจึงรีบทักทายพวกเขา “นายน้อย กรีน ทำให้พวกคุณถึงเข้ามาในนี้? มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอ?”

กรีนตอบด้วยรอยยิ้ม “มันไม่มีอะไร พวกเรามาถึงหุบเขาที่ถูกลืมแล้ว ข้านั้นต้องการให้นายน้อยเข้ามาพักผ่อนในมิติ ส่วนข้านั้นจะไปซื้อเสื้อผ้าในป้อมปราการมอนเตเนโก”

เมอร์รินนั้นเข้าใจในสิ่งที่กรีนนั้นทำเป็นอย่างดี “ดีเลย แล้วก็รีบจัดการด้วยล่ะ พวกเราจะรอคุณกลับมา และจำตำแหน่งของพวกเราไว้ด้วย ข้ากลับจะได้ไม่หลงทาง”

ช่วงนี้เมอร์รินนั้นอารมณ์ดีอย่างมาก เพราะนี้จะเป็นรายได้ก้อนแรกที่พวกเขาได้มาหลังจากที่ถูกเนรเทศออกไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับเงินเลยก็ตาม แต่ก็ก็แสดงถึงความหวัง

เจ่าไห่หันไปหากรีน “ปู่กรีน ระวังตัวด้วย พวกเรานั้นไม่สามารถที่จะเปิดเผยตัวตนได้ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่หลวง โปรดจำไว้ด้วยว่าการขายหัวไชเท้านั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเราสามารถหาคนอื่นๆได้ แต่ถ้าเจอปัญหาอะไร ให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักไว้ก่อน”.

จากนั้นรอยยิ้มที่อบอุ่นก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของกรีน ก่อนที่จะตบไหล่เจ่าไห่เบาๆ “นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงกระผมหรอกครับ แม้ว่าข้าจะแก่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะตายได้ ก่อนที่จะเห็นตระกูลบูดานั้นฟื้นคืนกลับมา”เมื่อกรีนพูดจบเขาก็ขำออกมา

ก่อนหน้านี้ กรีนนั้นไม่เคยที่จะทำให้ตัวเป็นมิตรกับเจ่าไห่เลย เพราะเขานั้นไม่ถูกกับอดัมกรีนคิดว่าอดัมนั้นเป็นตัวปัญหา ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่เคยที่จะเป็นมิตรกับอดัมเลยแม้แต่น้อย

แต่ตอนนี้ร่างของอดัมนั้นถูกยืดด้วยวิญญาณของเจ่าไห่ ซึ่งเป็นเนิร์ดที่กำพร้าและเกิดในประเทศจีน ซึ่งให้ความเคารพต่อผู้ใหญ่ แม้ว่ากรีนและเมอร์รินจะเป็นเพียงแค่คนใช้ แต่พวกเขาก็ดูแลเจ่าไห่มาตลอด ซึ่งทำให้เจ่าไห่นับถือเขาเป็นผู้ใหญ่น่าเคารพและเป็นที่รัก

เมอร์รินและกรีนนั้นรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเจ่าไห่ แต่เพราะพฤติกรรมที่กรีนนั้นเปลี่ยนไป ทำให้เขานั้นเป็นมิตรกับเจ่าไห่มากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วเขาก็คงจะไม่เปิดใจกับเจ่าไห่เช่นนี้

กรีนที่แตะไหล่ของเจ่าไห่นั้น ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อเขา แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกไปเพราะไม่ชอบที่จะแสดงความรู้สึกของเขาออกไป เขาจึงแค่พยักหน้าตอบ “ปู่กรีน ผมจะส่งคุณออกไปแล้วนะครับ” จากนั้นกรีนก็หายไปจากมิติ

กรีนนั้นสำรวจสภาพแวดล้อมและจดจำมันก่อนจะทำเครื่องหมายทิ้งไว้ ก่อนจะเดินทางไปยังป้องปราการมอนเตเนโก

กรีนแต่งตัวเหมือนกับนักเดินทางชราคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นที่สนใจต่อพวกนักผจญภัยคนอื่นๆ จึงทำให้ไม่มีใครรู้ว่าชายชราคนนี้คือคนของตระกูลบูดา และเมื่อเหล่าขุนนางนั้นไม่เห็นว่าตระกูลบูดาจะเป็นอันตรายต่อพวกเขา เขาก็ไม่จ้างทหารรับจ้างให้มาจัดการกับตระกูลที่ใกล้จะล่มสลายนี้ นอกจากนี้แล้วพวกเขาเองก้ไม่อยากที่จะทำให้กรีนและเมอร์ริน ที่เป็นนักรบและนักเวทย์ที่แข็งแกร่งระดับต้นๆของจักรวรรดิ

ซึ่งตระกูลที่เป็นภัยต่อตระกูลบูดาเองแล้ว ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตระกูลเพอร์เซล์ ซึ่งเดิมนั้นมีความสัมพันธุ์ที่แน่นแฟ้นจนขนาดที่จะมีงานแต่งงานระหว่างกัน แต่เมื่อตระกูลบูดานั้นโดนเนรเทศออกไป ทั้งสองตระกูลก็ไม่เคยที่จะพูดถึงเรื่องการแต่งงานอีกเลย

ซึ่งการแต่งงานระหว่างสองตระกูลนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับความรักเลยแม้แต่น้อย แต่การแต่งงานของตระกูลทั้งสองนั้นเป็นเพื่อผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย

ซึ่งเมื่อตระกูลบูดานั้นตกต่ำลงไป ตระกูลเพอร์เซล์เองก็ไม่เห็นค่าของการแต่งานครั้งนี้ แต่พวกเขาเองก็ต้องการจะรักษาหน้าของพวกเขาไว้

แม้ว่าตระกูลบูดานั้นจะอ่อนแอมากแล้ว แต่ถ้าตระกูลเพอร์เซลล์นั้นเป็นคนเอ่ยปากยกเลิกการแต่งงานก่อน มันก็จะทำให้ชื่อเสียงของพวกเขานั้นเสียหายในหมู่ขุนนาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตระกูลไม่สามารถให้เกิดขึ้นได้

ดังนั้น มันจึงมีวิธีการสองอย่างในการกำจัดข้อตกลงในการแต่งงาน

วิธีแรกคือตระกูลบูดานั้นเป็นคนเอ่ยปากบอกยกเลิกงานแต่งงานนี้ แม้ว่าทุกคนจะรู้ดีว่าตระกูลเพอร์เซลล์นั้นเป็นคนที่เสนอการแต่งงานครั้งนี้ แต่ในเมื่อตระกูลบูดาปฏิเสธ มันก็จส่งผลให้อย่างน้อยก็เป็นการรักษาหน้าของตระกูลไว้ได้

แต่อีกวิธีหนึ่งก็คือ สังหารอดัม และให้ตระกูลบูดานั้นจบสิ้นลง ซึ่งแน่นอนว่าในเมื่อไม่มีเจ้าบ่าวแล้ว จะเกิดการแต่งงานได้อย่างไร

ซึ่งจริงๆแล้ว กรีนเองก็คิดว่าจะยกเลิกงานแต่งกับตระกูลเพอร์เซลล์ตั้งแต่แรก แต่เจ่าไห่นั้นยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมา และในช่วงที่ตระกูลนั้นต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ตระกูลเพอร์เซลล์กลับเลือกที่จะเพิกเฉยและไม่ช่วยเหลือพวกเขา แม้ว่าพวกเขาเองก็มีอำนาจพอที่จะช่วยได้ ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้กรีนนั้นตัดสินใจที่จะไม่ยกเลิกการแต่งงานทันที ให้ตระกูลเพอร์เซลล์ต้องทนกับการดูหมิ่นจากขุนนางตระกูลอื่นๆต่อไป จนให้ตระกูลทั้งสองนั้นมองหน้ากันไม่ติด

กรีนเข้าใจดีว่าปัญหาของขุนนางคือการรักษาชื่อเสียง แต่เขาก็ไม่ยกเลิกงานแต่งงานกับตระกูลเพอร์เซลล์แม้ว่ามันจะสร้างความกดดันให้กับตระกูลบูดาก็ตาม

แต่กรีนก็ยังต้องระวังตัวเพราะว่าทางเข้าออกนั้นมีทางเดียวและมันต้องผ่านพื้นที่การดูแลของตระกูลเพอร์เซลล์ เพราะพวกเขานั้นเป็นหนามที่ทิ่มแทงตระกูลเพอร์เซล์อยู่นั้น ทำให้ตระกูลเพอร์เซลล์นั้นให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของตระกูลบูดาเป็นพิเศษ ดังนั้นกรีนจึงต้องระวังตัวอย่างมาก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด