ตอนที่แล้วตอนที่ 54 – ต้นกล้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 56 – มองหน้ากันไม่ติด

ตอนที่ 55 – นักเวทย์มนตร์ดำ


เมื่อเจ่าไห่กลับมาถึงปราสาท เขาก็บอกให้เม็กนั้นเตรียมสิ่งของที่จำเป็นเพื่อจะเดินทางสองวันข้างหน้า ไปยังเขตพื้นที่การดูของตระกูลเพอร์เซลล์

ซึ่งจริงๆแล้ว การเตรียมตัวของพวกเขาก็ง่ายมาก เพียงแค่นำสิ่งของมากองรวมกันก่อนจะใส่เขาไปใรมิติ พวกทาสนั้นเคยอาศัยอยู่ในมิติก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพร้อมที่จะเดินทางเมื่อได้รับการแจ้งข่าว

สองวันต่อมา พวกเขาก็ทยอยเข้าไปในมิติ แต่เจ่าไห่นั้นไม่ได้เข้าไปด้วย เพราะเขานั้นจะเดินทางไปพร้อมกับกรีน

กรีนนั้นสามารถที่จะเดินทางไปอย่างรวดเร็วถ้าเขาเดินทางคนเดียว แต่การเดินทางครั้งนี้ เจ่าไห่ต้องการจะไปกับเขาด้วยจึงทำให้เดินทางได้ช้ากว่าปกติ

โชคดีที่เจ่าไห่นั้นเรียกอันเดตออกมาจากมิติออกมาซึ่งก็คือเอเลี่ยน(จระเข้กระดูก) เจ่าไห่และกรีนใช้มันเป็นพาหนะในการเดินทาง แม้ว่ากรีนจะเดินทางได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาก็เป็นมนุษย์ซึ่งเหนื่อยได้ แต่กับอันเดตแล้วนั้นพวกมันสามารถเดินทางได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยราวกับเครื่องจักร

เนื่องจากว่าแดนทมิฬนั้นกว้างใหญ่อย่างมาก แม้ว่าพวกเขานั้นจะเดินทางได้อย่างรวดเร็วแล้วก็ตามและเดินทางทั้งวันทั้งคืน แต่มันก็จำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางถึง 3 วันกว่าจะถึงชายแดนของแดนทมิฬ

โชคดีที่เอเลี่ยนนั้นตัวใหญ่มากพอที่จะใ้หเจ่าไห่นั้นสร้างที่นั่งบนหลังมันจนทำให้มันนั้นกลายเป็นรถยนตร์อันเดตได้

ตอนนี้พวกเขานั้นเดินไปตามทางที่มีหินปูไว้ แม้ว่ามันจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน แต่มันก็ยังเรียบ ซึ่งเป็นผลมาจากทักษะฝึมืองานช่างที่สุดยอดของคนแคระ ถนนสายนี้เป็นจุดที่ใช้ในการขนส่งแร่เหล็กและสิ่งของที่ผลิตจากเหล็กเพื่อนำไปขายทั่วทวีปแต่เมื่อแร่เหล็กนั้นถูกขุดจนหมดและไม่มีประโยชน์ มันถึงไม่เคยมีใครใช้อีกเลย

เวลาผ่านไปสามวัน พวกเขาก็มาถึงชายแดนของแดนทมิฬ ตลอดระยะทางนั้น เขาก็เห็นบางอย่างสีเขียวซึ่งมันทำให้เขานั้นดีใจขึ้นมา

กรีนก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน เพราะทิวทัศน์รอบตัวนั้นเปลี่ยนไป จากดินสีดำสนิทสุดลูกหูลูกตา ตลอดการเดินทางนั้น กรีนและเจ่าไห่นั้นพูดกันน้อยและน้อยลงในช่วงครึ่งวันที่ผ่านมา ซึ่งช่วงเวลาสองไม่ได้พูดอะไรกัน พวกเขาก็นั่งมองดินดำที่ยาวไกลออกไป และเมื่อจิตวิญญาณของเขานั้นถูกดูดออกไป

ซึ่งภาพตรงหน้าของพวกเขานั้น พวกเขาเป็นบางสิ่งที่เป็นสีเขียว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เล็กน้อย แต่มันก็สร้างความประทับใจกับเขามาก

เจ่าไห่นั้นตะโกนออกมาเหมือนกับว่าจะวิ่งไปตรงนันั้นให้ได้ กรีนหัวเราะ “นายน้อย พวกเรามาถึงชายแดนแล้ว ตรงนั้นเป็นจะเป็นเขตพื้นที่การปกครองของตระกูลเพอร์เซลล์ ถ้าเราเดินทางออกไปไกลกว่านี้ เราก็จะออกจากพื้นที่ดินแดนของตระกูลบูดา”

เมื่อฟังที่กรีนพูดแล้ว เจ่าไห่ก็พยักหน้าและมองไปยังแดนทมิฬ ดินแดนของเขา แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขานั้นมีความสุข เมื่อเห็นดินแดนอันกว้างใหญ่ที่ไม่สามารถที่จะปลูกอะไรได้เลย

เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เห็นสีเขียวของต้นไม้มากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเจ่าไห่ก็เห็นภูเขาขนาดใหญ่ และมีจำนวนต้นไม้ที่มากขึ้นซึ่งมากกว่าบนภูเขาเหล็กแถวปราสาทของเขาเข้านั้นรู้สึกตกใจเมื่อเห็นภูเขาที่สูงชันแห่งนี้ทำให้ภูเขาเหล็กนั้นดูเล็กไปเลย

กรีนมองสีหน้าของเจ่าไห่ก่อนจะยิ้มขึ้นมา “นายน้อยคงไม่ได้คาดคิดว่าภูเขาแห่งนี้จะสูงชันขนาดนี้ใช่ไหมครับ?”

เจ่าไห่พยักหน้า กรีนจึงเล่าต่อไปว่า “มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย ถ้าแม้ว่ามันจะไม่ใช่จะไม่ใช่ภูเขาที่สูงที่สุด แต่มันก็ไม่ใช่ภูเขาลูกที่เตี้ยที่สุดด แต่เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเราตอนนี้ก็อยู่สูงกว่าปราสาทที่ตั้งอยู่ในภูเขาเหล็กแล้ว”

จากนั้นพวกเขาก็มองไปยังหุบเขาที่มีความกว้างหลายร้อยเมตร ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะออกไปจากแดนทมิฬได้ เมื่อเราผ่านจุดนี้ไปแล้ว พวกเราก็จะเข้าไปในเขตของตระกูลเพอร์เซลล์

กรีนจึงชี้ไปที่หุบเขานี้ “หุบเขาแห่งนี้เรียกว่า หุบเขาสายธารเหล็ก ซึ่งเป็นเส้นทางที่คนแคระใช้ในการลำเลียงแร่เหล็ก แต่เมื่อไม่มีแร่เหล็กในแดนทมิฬแล้ว ผู้คนก็ค่อยๆลืมชื่อของสถานที่แห่งนี้ จนมันได้ชื่อว่า หุบเขาที่ถูกลืม ในหุบเขาที่ถูกลืมนี้มีป้อมปราการเรียกว่ามอนเตเนโก มันออกแบบมาเพื่อป้องกันการบุกรุกของสัตว์อสูรที่เดินทางผ่านหุบเขาที่ถูกลืมไปยังเขตของตระกูลเพอร์เซลล์ แต่มันก็น่าแปลกที่พวกสัตว์อสูรนั้นไม่เคยออกไปจากแดนทมิฬเลย ดังนั้นป้อมปราการแห่งนี้จะเป็นสวรรค์สำหรับนักผจญภัย เพราะการเดินทางไปยังบึงซากศพนั้นมีความเสี่ยงมาก พวกเขาจึงล่าสัตว์อสูรแถวนี้แทน”

เจ่าไห่พยักหน้า “แล้วพวกเราจะผ่านไปได้อย่างไรโดยไม่ให้สงสัย?”

กรีนยิ้มเล็กน้อย “นายน้อยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น ต่อไป พวกเราจะเดินทางผ่านหุบเขาที่ถูกลืมและเดินไปยังป้อมปราการมอนเตเนโก และซื้อเสื้อผ้าบางอย่างให้กับนายน้อย เนื่องจากว่านายน้อยนั้นใช้อันเดต ผมก็จะให้คุณนั้นแต่งตัวเป็นนักเวทย์มนตร์ดำ”

ซึ่งนักเวทย์มนตร์ดำนั้นเป็นนักเวทย์ที่ใช้เวทย์ความมืด เวทย์พิษ เวทย์เลือด และธาตุอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับความมืด และแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้อนรับนักเวทย์มนตร์ดำ แต่ก็ยังมีคนเคารพในควาามแข็งแกร่ง ตราบเท่าที่พวกเขานั้นมีพละกำลัง ไม่ว่าจะมีความสามารถแบบไหนก็เป็นที่ยอมรับในโลกแห่งนี้

นักเวทย์มนตร์ดำนั้นเป็นกลุ่มคนที่ค่อยมีใครอยากจะมีเรื่องด้วย เพราะด้วยการที่พวกเขานั้นเรียนเวทย์ความมืดทำให้พวกเขานั้นมีลักษณะที่มืดมน และถ้าไปยุ่งกับนักเวทย์เหล่านี้ พวกเขามักจะไม่จัดการคุณในตอนนั้น แต่พวกเขาจะทำให้คุณได้รับการชดใช้ซักวันอย่างแน่นอน

ถ้าหากถามว่าใครนั้นมีตำแหน่งที่สูงสุดในโลกแห่งนี้ บางคนอาจจะตอบว่าขุนนางหรือราชวงศ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานะของนักเวทย์นั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย โดยเฉพาะกับนักเวทย์ที่เก่งกาจซึ่งจะได้รับสัมพธไมตรีกับอาณาจักรต่างๆ

ซึ่งพวกเขาเองก็อาจจะไม่มีตระกูลบูดาแล้วถ้าไม่มีนักเวทย์ที่เก่งกาจอย่างเช่นเมอร์รินอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครที่อยากจะมีเรื่องกับนักเวทย์มนตร์ดำ และไม่มีใครอยากจะต้อนรับพวกเขาเช่นกัน คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่มีความสัมพันธ์กับนักเวทย์มนตร์ดำ ซึ่งกรีนเองก็ต้องการที่จะให้เจ่าไห่นั้นเป็นนักเวทย์มนตร์ดำเพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้น และไม่ให้พวกเขานั้นต้องการที่จะรู้ว่าเจ่าไห่นั้นเป็นใคร

เจ่าไห่นั้นยังไม่เข้าใจความเป็นไปของโลกใบนี้มากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่เถียงกรีนในเรื่องนี้ และพยักหน้าตกลง “แล้วแต่ปู่กรีนจะเห็นสมควร ผมนั้นไม่ได้ออกมาข้างนอกมากนัก ดังนั้นผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ได้โปรดชี้แนะผมด้วย”

กรีนพยักหน้า สิ่งที่พวกเขากำลังทำในตอนนี้นั้นเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตระกูลบูดาจะต้องไม่ให้มีใครที่จะสามารถที่รู้ตัวตนของพวกเขาได้ในขณะที่ทำการซื้อขายหัวไชเท้าเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นแล้วตระกูลบูดาจะต้องเผชิญกับปัญหาอันใหญ่หลวงอย่างแน่นอน

ตระกูลบูดานั้นถูกขับไล่โดยจักรวรรดิอาร์ซูซึ่งสร้างความลำบากให้แก่พวกเขา ซึ่งถ้าพวกขุนนางนั้นรู้ว่ามีการซื้อขายกันเช่นนี้ย่อมทำให้ตระกูลตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ดังนั้นกรีนจึงต้องงานนี้อย่างระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอดัมนั้นนั้นกลายเป็นเจ่าไห่แล้ว แต่เขาก็จะทำทุกอย่างไม่ให้เจ่าไห่นั้นถูกฆ่า

ซึ่งตั้งแต่ที่เจ่าไห่นั้นต้องการจะปกครองตระกูลบูดา กรีนก็ต้องการให้เขานั้นเข้าใจโลกใบนี้ให้มากขึ้น กรีนนั้นต้องการที่จะปูทางให้เจ่าไห่ เขานั้นรู้ดีว่านายน้อยนั้นยังเป็นเด็กอยู่ แต่เขาก็ยังหวังให้เจ่าไห่นั้นมีความรับผิดชอบที่มากพอ จนวันที่เจ่าไห่จะแบกรับหน้าที่ในการดูแลตระกูลบูดาได้ เขาถึงจะสามารถสบายใจได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด