ตอนที่ 51 – ความโกรธ
เพราะคนในทวีปแห่งนี้นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาเรื่องเกษตรกรรม ซึ่งเมื่อเกิดศัตรูพืชลงในสวนผลผลิต ก็จะทำให้พวกเขานั้นไม่มีผลผลิตเก็บเกี่ยวและนำไปสู่ความอดอยาก
แต่กรีนก็รู้ว่าสภาพธรรมชาติของทวีปอาร์ดีมากเช่นกับต้นไม้ข้าว ต้นไม้ชนิดนี้นั้นเหมือนกับไม้ไผ่ ซึ่งโตกว่า 10 เมตรและผลิตข้าวถึง 2 ครั้งต่อปี แต่ถึงอย่างนั้น คนส่วนใหญ่ของทวีปก็ยังต้องอดอยาก
ซึ่งข้าวจากต้นไม้นี้ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารสำหรับพวกทาส และการปลูกต้นนี้นั้นไม่ต้องใช้พื้นดินที่อุดสมบูรณ์มากนัก จึงทำให้มีการปลูกในหลายพื้นที่และไม่ทำให้เกิดการขาดแคลนเลยภายในทวีป
แต่กรีนก็ไม่ได้ซื้อเมล็กพันธุ์ของต้นไม้ข้าวมากปลูก
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่ามันไม่ต้องการพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์มากนัก แต่มันก็เป้นไปไม่ได้เลยที่จะปลูกต้นไม้ข้าวบนภูเขาเพราะอุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ มันอ่อนไหวง่ายกับพวกโลหะ
มีบางคนเคยได้ทำการทดลองมาแล้วโดยใส่เหล็กลงไปในสวนต้นไม้ข้าว ซึ่ง
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้กรีนนั้นไม่ซื้อเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ข้าวมา แม้ว่าคนแคระจะทำการขุดแร่เหล็กของไปมากแล้ว แต่ในดินก็ยังมีส่วนประกอบของโลหะมากกว่าที่อื่นๆ ดังนั้นการปลูกต้นไม้ข้าวจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นกรีนจึงเลือกที่จะปลูกต้นไม้น้ำมันแทน เพราะมันไม่ต้องการดินที่อุดมสูบรณ์มาก และยังสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลายปี และมันสามารถที่จะปลูกบนภูเขาได้
แต่ต้นไม้ทั้งสองก็มีของเสียที่ร้ายแรงอย่างเดียวกันคือ มันมีแมลงศัตรูพืช
ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วระหว่างต้นไม้ข้าวและต้นไม้น้ำมัน ต้นไม้น้ำมันนั้นอ่อนแอต่อแมลงศัตรูพืชมากกว่า แม้ว่าต้นไม้ข้าวจะอยู่กับประสบการณ์เฉลี่ยรบกวนขนาดใหญ่ทุกห้าปีผลไม้น้ำมันจะจริงได้รับผลกระทบจากศัตรูพืชเหล่านั้นทุกปี แต่โชคดีที่ว่ามันสามารถปลูกได้ในทุกๆพื้นที่ ทำให้พวกเขานั้นยังสามารถที่จะมีผลิตออกมาได้
แต่อย่างไรก็ตาม นี้คือข้อเสียร้ายแรงสำหรับตระกูลบูดา พวกเขานั้นต้องการต้นผลน้ำมันจำนวนมากเพื่อที่จะสร้างเป็นรายได้หลัก แต่ถ้าต้นไม้เหล่านี้ถูกแมลงศัตรูพืชเข้ามากัดกินแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้
นั้นคือสิ่งที่กรีนเป็นกังวล แต่เมื่อเจ่าไห่นั้นแสดงยาฆ่าแมลงแล้วก็ทำให้ปัญหาที่หนักอกหนักใจนี้หายไป
เมื่อเห็นกรีนที่มีสีหน้าดีใจ เจ่าไห่ก็พูดขึ้นมาว่า “แต่ผมนั้นไม่เห็นด้วยที่จะใช้งานสองสิ่งนี้เพราะพวกมันเป็นสารมีพิษ ซึ่งถ้าหากใช้กับพืช พวกมันก็จะมีสารพิษตกค้าง แม้ว่ามันจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อร่างกาย แต่เมื่อสะสมหลายปีจากการกิน สารพิษเหล่านี้ก็จะทำให้ร่างการนั้นทรุดโทรม”
กรีนขมวดคิ้ว “ช่างน่าปวดหัวจริงๆ ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่สามารถกินได้ ถ้าใช้สิ่งนี้สินะ”
เจ่าไห่ส่ายหัวและตัดสินว่าจะเอาอย่างไรต่อ ตอนนี้เขายังมีปัญหาอื่นที่ต้องเผชิญอีก “ปู่กรีน พวกเราเข้าไปในกระท่อมกันก่อน ดูว่ามีสอันเดตอยู่ในบริเวณนี้อีกหรือไม่ แล้วค่อยหาวิธีการจับพวกมันกัน”
กรีนพยักหน้า ด้วยความสัตย์จริง กรีนคิดว่าหน้าจอของเจ่าไห่นั้นค่อนข้างที่จะสะดวกมากพวกเขาสามารถที่จะรับรู้สถานการณ์ข้างนอกได้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถึงแม้ว่าระยะของมันนั้นจะมีขนาดเล็กก็ตาม
หลายๆคนที่อยู่ในกระท่อมจ้องมองไปยังหน้าจอ ซึ่งมีจุดสีเขียวปรากฎอยู่ไม่มากนัก เจ่าไห่มองไปยังห้องนั่งเล่นและมีจุดสีเขียวอยู่ที่นั้น
จากนั้นภาพที่ห้องนั่งเล่นก็ปรากฎขึ้นมา เจ่าไห่ก็เห็นหนูกระดูก ซึ่งเมื่อมองไปที่มัน เจ่าไห่ก็ตกใจ ก่อนจะมองไปยังแผนที่สามมิติเล็กๆบนจอและพบว่าจุดเขียวจากชั้นบนนั้นหายไปแล้ว ดูเหมือนว่าหนูตัวที่อยู่ชั้นบนนั้นจะลงมายังห้องนั่งเล่น
เจ่าไห่นั้นสงสัยว่ามีอะไรที่พิเศษอยู่ในห้องนั่งเล่น
กรีนมองไปยังหนูกระดูกบนหน้า “ดูเหมือนว่ามันจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นของคน มันน่าแปลกที่ว่า ความสามารถในการรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตของอันเดตพวกนี้จะน่าทึ่งมาก”
เมื่อได้ยินกรีนพูดเช่นนั้น เจ่าไห่ก็เข้าใจทันทีว่า กลิ่นของมนุษย์นั้นเล็ดลอดออกไปจากประตูมิติที่เปิดขึ้น ทำให้หนูกระดูกนั้นมาที่ห้องนั่งเล่นนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าจะทำอย่างไรที่จะจับอันเดตพวกนี้ มันมีคำหนึ่งในศัพท์ของเกมเมอร์เรียกว่าค่าความโกรธ (Aggro)
แม้ว่าเจ่าไห่นั้นจะไม่ได้เล่นเกมมากนัก แต่เขาก็รู้ได้จากการอ่านนิยายเรื่องต่างๆ
เจ่าไห่หันหน้าไปหากรีน “ปู่กรีน ถ้าหากพวกเรารออันเดตมาในห้องนั่งเล่นแล้ว พวกเราจะไม่สามารถจับอันเดตได้จำนวนมากในทีเดียว บางที่เราอาจจะต้องส่งคนออกไปล่ออันเดตพวกนี้มา พวกเราจะได้รวบรวมพวกมันมาจำนวนมาก”
เจ่าไห่นั้นรู้ดีว่าอันเดตนั้นมีสัมผัสที่ไวต่อสิ่งมีชีวิต
“ใช่แล้ว เป็นความคิดที่ดีครับนายน้อย” กรีนกล่าว “แต่นายน้อย ไม่ใช่เพราะเหตุนี้เหรอครับที่ทำให้อันเดตสัตว์อสูรพวกนี้มาโจมตีพวกเรา? คุณไม่คิดเหรอคับว่า เพราะพวกเราอยู่ที่นี้ทำให้พวกอันเดตนั้นออกมา?”
เมื่อเจ่าไห่คิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป นี้ก็เป็นอีกสิ่งที่น่ากังวล ในกรณีที่พวกอันเดตนั้นรับรู้ได้ถึงพวกเรา พวกมันอาจจะหนีออกไปจากปราสาทซึ่งทำให้ไม่ปลอดภัยมากกว่าเดิม
เมอร์รินส่ายหัวของเธอ “ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเพราะพวกเรา อย่าลืมว่า พวกเรานั้นมาอยู่ที่นี้เกือบเดือนแล้ว ถ้าหากอันเดตพวกนี้ออกมาเพราะพวกเรา พวกมันก็ต้องออกมาตั้งแต่ที่พวกเรามาที่แดนทมิฬแห่งนี้แล้ว”
กรีนและเจ่าไห่เมื่อได้ยินเมอร์รินพูด พวกเขาก็โล่งอกขึ้นมา แต่กรีนก็ยังขมวดคิ้วอยู่ “น่าแปลก ข้าจำได้ว่าผู้คนนั้นพูดว่าในแดนทมิฬนั้นจะมีการบุกของพวกอันเดตทุกๆ 10 หรือ 20ปี แต่การบุกครั้งล่าสุดนั้นคือ 3 – 4 ปีที่แล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรา แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้? ถ้าหากการบุกนั้นถึ่ขึ้นกว่านี้ พวกเราแย่แน่”
“คุณไม่สามารถที่จะเชื่อข่าวลืมพวกนั้นได้ ไม่มีใครมากอยู่ในแดนทมิฬเลยซักคนเดียว ดังนั้นในโลกนี้คงไม่มีใครรู้เรื่องดินแดนแห่งนี้จริงๆหรอก” เมอร์พูดด้วยรอยยิ้ม
กรีนพยักหน้า “อ่า ใช่แล้ว ข้าลืมไปเลยว่า ปกติแล้วไม่มีใครมาหรืออาศัยอยู่ที่แดนทมิฬแห่งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราก็สามารถเข้ามาซ่อนได้ในมิติแห่งนี้อยู่แล้วถ้าแผนนี้ไม่ได้ผล”
ทัศนคติของกรีนต่อเขานั้นดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน มันไม่เหมือนกับที่เขานั้นรู้สึกสิ้นหวังในตัวเขา การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดนั้น ทำให้เขาต้องจริงจังและทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ซึ่งสร้างความกดดันอย่างมาก
แต่เมื่อเขารู้ถึงมิติของเจ่าไห่ ทัศนคติของกรีนก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกผ่อนคลายเพราะเขาเชื่อว่า ตราบใดที่เจ่าไห่มีมิตินี้ ตระกูลบูดาก็ไม่มีทางล่มสลาย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีของรุ่งเรืองเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังรักษาตระกูลไว้ได้
เมื่อได้ยินสิ่งที่กรีนพูด เจ่าไห่ก็อดขำไม่ได้ “ไม่ต้องเป็นห่วงปู่กรีน ถ้าหาเราหาพืชในทวีปแห่งนี้เข้ามาในมิติ พวกเราสามารถเพิ่ม Lv ของมิติได้ ซึ่งจะทำให้มันใหญ่ขึ้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์กับพวกเรามาก”
ดวงตาของกรีนก็ประกายขึ้นมา “จริงงั้นเหรอครับ? นายน้อยที่บอกว่ามิติสามารถขยายให้ใหญ่กว่าเดิมได้นั้น?”
เจ่าไห่พยักหน้า “แน่นอน ซึ่งจริงๆแล้ว มิติแห่งนี้ Lv up ขึ้นไปถึงสองครั้งแล้ว ก็ยังให้พื้นที่เรามาเพิ่มอีก 2 มู่ ยายเมอร์รินรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ที่เธอนั้นอยู่ในมิติช่วงที่มัน Lv up”