ตอนที่แล้วตอนที่ 45 – โกรธ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 47 – การคำนวณ

ตอนที่ 46 – จุดแดง


เม็กนั้นหัวเราะออกมาเมื่อมองเจ่าไห่ เธอไม่เคยคิดเลยว่าบุคคลิกของอดัมนั้นจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากแต่ก่อนที่เป็นคนบ้า,ดุร้ายและป่าเถื่อน กลายเป็นคนที่สงบ,น่าหลงไหลและเอาใจใส่

เมื่อเจ่าไห่เห็นว่าเม็กนั้นไม่พูดอะไรเลย จึงทำให้เจ่าไห่นั้นยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีกเพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรดี “เอ่อ ทำไมไม่นั่งลงก่อนล่ะ ผมจะดูสถานการณ์ข้างนอกก่อน” จากนั้นเขาก็เรียกหน้าจอของเขาขึ้นมาก่อนจะดูรอบแผนที่ปราสาท

ในแผนที่สามมิติตอนนี้นั้น ไม่มีจุดเขียวปรากฎขึ้นมาเหมือนครั้งก่อนที่เขาตรวจสอบ

เจ่าไห่ถอนหายใจ เขานั้นตั้งใจจะรอดูสถานการณ์ก่อนซักสองวัน ซึ่งถ้าในสองวันนี้นั้นไม่มีจุดเขียวปรากฎขึ้นมา เขาจะให้เมอร์รินนั้นออกไปตรวจตราข้างนอกมิติว่ายังมีสัตว์อสูรหลงเหลืออยู่หรือไม่

เม็กที่ยืนอยู่ข้างเจ่าไห่ก็มองดูหน้าจอที่แสดงขึ้นมาด้วย แต่เธอนั้นก็ไม่รู้วิธีการใช้งานมันซึ่งดูเหมือนว่าเจ่าไห่จะเป็นคนเดียวที่จะสามารถทำอะไรก็ได้ในมิติแห่งนี้

อย่างเช่น เมื่อบล๊อคนั้นพยายามที่จะยกพลั่วและถังน้ำขึ้นมา บล๊อคก็ไม่สามารถที่จะขยับมันได้เลยแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าบล๊อคนั้นจะแข็งแกร่งมากก็ตาม

เม็กเข้าใจว่าจุดสีเขียวนั้นหมายถึงสัตว์อสูร เนื่องจากว่าสถานการณ์ข้างนอกนั้นเป็นที่กังวลสำหรับพวกเขา จึงทำให้ต้องคอยจับตามองบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งภาพแผนที่ในตอนนี้ก็แสดงให้เห็นว่าไม่มีสัตว์อสูรอยู่เลยเหมือนครั้งก่อน ซึ่งเมอร์รินนั้นต้องการจะออกไปสังเกตุการด้วยตัวเอง แต่เจ่าไห่นั้นหยุดเธอไว้ เมอร์รินจึงตอบตกลงเจ่าไห่เพราะรู้ดีว่าเจ่าไห่นั้นเป็นห่วง

แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีสัตว์อสูรอยู่เลย เม็กจึงพูดขึ้นมาว่า “นายน้อยข้างนอกนั้นไม่มีสัตว์อสูรอยู่เลย ให้ฉันออกไปสำรวจข้างนอกเถอะค่ะ ด้วยความเร็วของฉัน มันคงไม่มีอันตรายอะไร”

เจ่าไห่ส่ายหัวของเขา “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น แม้ว่าสัตว์อสูรนั้นจะหายไปจากแผนที่ แต่มันก็คงยังออกไปได้ไม่ไกลก็ได้ และนอกจากนี้ ยังมีพิษที่ตกค้างอยู่ในปราสาทด้วย ถ้าเรารีบออกไป พวกเราอาจเจอปัญหาบางอย่างได้ อยู่ในมิตินี้ไปก่อนอีกซักวันสองวันเพื่อให้แน่ใจก่อนดีกว่า”

เมื่อเม็กเห็นว่าเจ่าไห่นั้นไม่เห็นด้วย เธอจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบรับ แต่ทันใดนั้นเธอก็สังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง “นายน้อย จุดแดงนั้นคืออะไรเหอค่ะ?”

เจ่าไห่นั้นกำลังพูดอยู่กับเม็กจึงไม่ทันสังเกตุเห็นจุดแดงจนเม็กนั้นพูดขึ้นมา เขาจึงหันไปมอง ซึ่งก็พบจุดแดงจริงๆ!! และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว!

จุดสีแดงนั้นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านห้องโถงของปราสาท เจ่าไห่รู้สึกตกใจเพราะไม่เคยเห็นมันมาก่อน เขานั้นพยายามที่จะจิ้มจุดแดงบนหน้าจอ แต่มันเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าที่เขาจะกดทัน เขาจึงเรียกภาพในห้องนั่งเล่นขึ้นมารอให้จุดสีแดงนั้นหยุดลง

เม็กที่ยังมองไปยังหน้าจอ แต่บางครั้งเธอก็มองไปยังมุมซ้ายบนซึ่งเป็นแผนที่ของปราสาท เธอก็การเคลื่อนไหวของจุดแดงนั้นเหมือนกับสำรวจหาอะไรบางอย่าง

จากนั้นไม่นานจุดแดงก็เคลื่อนที่จากชั้นสามลงมาตรงไปยังห้องนั่งเล่น เจ่าไห่นั้นจุดจ่ออยู่ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อรอจุดแดงนั้นให้เคลื่อนที่เข้ามา

ทันใดนั้น ก็ปรากฎเงาบนหน้าจอ ซึ่งเป็นเงาของชายคนหนึ่ง เจ่าไห่และเม้กนั้นร้องออกมาด้วยความดีใจ เพราะชายคนนั้นคือกรีน!!

เมื่อเห็นกรีน เม็กก็ดีใจและจับไหล่ของเจ่าไห่ “นายน้อย นั้นคุณปู่ คุณปู่กลับมา! เขากำลังมองหาพวกเราอยู่”

เจ่าไห่พยักหน้า จากนั้นเจ่าไห่ก็สั่งให้เปิดประตูมิติขึ้นต่อหน้ากรีน พร้อมกับเสียงของเจ่าไห่ “ปู่กรีนเข้ามาครับ”

กรีนนั้นรู้สึกกังวล เพราะเขานั้นกลับมาในแดนทมิฬตั้งแต่สองวันก่อน

เมื่อกรีนนั้นออกไปจากแดนทมิฬ สิ่งแรกที่เขาทำคือไปยังอาณาเขตของตระกูลเพอร์เซลล์ ซึ่งเป็นคนที่คอยดูแลอาณาเขตของจักรวรรดิอาร์ซู ซึ่งขุนนางที่ปกครองอยู่นั้นคือ อีวาน เพอร์เซลล์ เนื่องจากว่าอาณาเขตนี้ติดกับแดนทมิฬจึงทำให้ไม่เกิดการสู้รบกันมาก จึงทำให้อาณาเขตนี้เป็นเขตเศรษฐกิจที่เติบโตมากที่สนุดในจักรวรรดิอาร์ซูและทำให้ดยุคอีวานนั้นมีอำนาจอย่างมาก

ซึ่งตระกูลเพอร์เซลล์และตระกูลบูดานั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ ซึ่งลูกสาวสุดที่รักของเขา รุย เพอร์เซลล์ซึ่งจะเป็นดยุคคนต่อไปนั้นก็มีแผนการที่จะแต่งงานกับอดัม บูดาแต่ในตอนนี้ เธอนั้นกำลังจะกลายเป็นคู่หมั้นของเจ่าไห่แทนเสียแล้ว

แต่ตอนนี้ทุกคนในทวีปก็รู้ดีว่าเรื่องการแต่งงานนี้คงจะไม่สามารถที่จะเป็นไปได้อีกแล้วนั้นก็เพราะว่ามันไม่มีความรักหรือมิตรภาพที่แท้จริงระหว่างขุนนาง และการแต่งงานของอดัมและรุยนั้นก็เป็นเพียงแค่จุดประสงค์ทางการปกครอง

ดังนั้นเมื่อตระกูลบูดานั้นตกอยู่ในอันตราย ตระกูลเพอร์เซลล์จึงไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขาเลย และเลือกที่จะลืมเรื่องราวต่างๆของตระกูลบูดา แม้ว่าตระกูลบูดานั้นจะผ่านอาณาเขตของตระกูลเพอร์เซลล์ก่อนที่ จะไปยังแดนทมิฬแห่งนี้ ตระกูลเพอร์เซลล์นั้นก็ไม่ออกมาต้อนรับหรือทำอะไรเลย หนำซ้ำยังตอกย้ำความเจ็บช้ำนี้ลงไปอีก

แต่กรีนนั้นก็ยอมรับว่าตระกูลเพอร์เซลล์นั้นดูแลอาณาเขตของตนได้อย่างดีเยี่ยมและบริหารได้อย่างแม่นยำจนกลายเป็นดยุคได้จนถึงทุกวันนี้

เพราะการพัฒนาดินแดนที่มีแบบแผนอย่างดี ทำให้แม้แต่สามัญชนนั้นก็มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าอาณาเขตอื่นๆ และยังสามารถที่จะขายหัวไชเท้าเวทย์มนตร์ได้อย่างง่ายดาย

กรีนจึงไปหาผู้ค้ารายใหญ่ที่จัดจำหน่ายผักเวทย์มนตร์ และพูดถึงราคาของหัวไชเท้า

แม้ว่าจำนวนหัวไชเท้า 4 ตันนั้นจะเยอะแต่ไม่มันส่งผลกระทบต่อตลาดหัวไชเท้าของจักรวรรดิแม้ว่าจะเป็นจักรวรรดิที่เล็กกว่านี้ก็ตาม

แต่เจ่าไห่นั้นก็ไม่ได้มีหัวไชเท้า 4 ตันอย่างที่หลายๆคนคิด เพราะเขานั้นสามารถที่จะปลูกหัวไชเท้านี้ได้ 3 ชุดต่อวัน นั้นหมายถึงว่าเขาสามารถผลิตได้สูงสุดที่ 12 ตัน 12 ตันต่อวันมันบ้าอะไรนี้? มันแทบจะเรียกได้ว่าเพียงพอสำหรับทุกคนในจักรวรรดิอาร์ซูที่จะกินหัวไชเท้า

แต่กรีนนั้นไม่รู้เรื่องมิติฟาร์มของเจ่าไห่ ทำให้เขามีข้อดีอย่างเดียวที่จะพูดคือคุณภาพของหัวไชเท้า เพราะในเวลานี้เขาไม่ได้หาเพียงแค่ผู้ค้ารายไหนก็ได้ แต่เป็นผู้ค้าที่ครองธุรกิจกว่าครึ่งจักรวรรดิ นั้นคือตระกูลมาร์กี้ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคและมีธุรกิจหลักเป็นผักเวทย์มนตร์ แม้ว่าพวกตระกูลมาร์กี้นั้นจะไม่สนใจในข้อเสนอหัวไชเท้านี้มากนัก แต่พวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามคุณภาพของหัวไชเท้านี้ได้เลย

เพราะหัวไชเท้าในทวีปที่มีอยู่ในตอนนี้ ไม่มีเจ้าไหนมีคุณภาพที่ดีเท่านี้มาก่อนเลย เพราะปกติแล้วหัวไชเท้านั้นจะมีรสฉุน แต่หัวไชเท้าของกรีนนั้นกลับมีลักษณะที่ยาว อ้วน และตรง พร้อมกับรสหวานและความกรอบของมัน ในไม่ช้า หัวไชเท้านี้ต้องได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ด้วยคุณภาพที่ยอดเยี่ยม ทำให้ตระกูลมาร์กี้นั้นรับซื้อหัวไชเท้านี้ในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดถึง 8 เท่า และตัดสินใจที่ต้องการรับซื้ออย่างน้อย 10 ตันต่อเดือน ซึ่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะถ้าหัวไชเท้านี้ขายดี พวกเขาก็พร้อมจะรับซื้อมากกว่านี้

ซึ่งในขณะที่กำลังเจรจาธุรกิจในอาณาเขตของตระกูลเพอร์เซลล์ กรีนก็ได้ยินพวกทหารรับจ้างว่ามีสัตว์อสูรนั้นบุกออกมาจากบึงซากศพ ซึ่งข่าวนี้ทำให้เขาตกใจอย่างมาก และทำให้กรีนนั้นตัดสินใจรีบกลับไปยังแดนทมิฬ

แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะตรงไปยังปราสาทได้ในทันที เพราะจำนวนซอมบี้สัตว์อสูรที่มากมาย กรีนจึงรออยู่บริเวณแนวชายแดนของแดนทมิฬถึงสองวัน เขานั้นกังวลใจเป็นอย่างมากเหมือนกับจะกลายเป็นบ้า

กรีนนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีซอมบี้สัตว์อสูรนั้นบุกออกมาจากบึงซากศพ เนื่องจากว่าเขานั้นอาศัยอยู่แต่ในเมืองหลวง จึงทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องของแดนทมิฬดีนัก เขานั้นรู้เพียงแค่ว่ามันเป็นแดนแห่งความตาย และไม่มีใครอยากจะไปอยู่ที่นั้น ซึ่งมันก็มีแต่ข้อมูลที่ยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน แม้ว่าจะมีข่าวลือเรื่องการบุกรุกของสัตว์อสูรทุก 10ปี หรือ 20ปี แต่ครั้งล่าสุดนั้นก็เกิดเมื่อ 2 ปีก่อน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ข่าวลืม แต่ทุกคนก็เห็นพ้องกันว่าการบุกนั้นมีรูปแบบที่แน่นอน

ดังนั้นกรีนจึงไม่ได้ใส่ใจในการป้องกันปราสาทมากนัก และเมื่อเขาได้ยินเรื่องการบุกของสัตว์อสูร ก็เหมือนกับเขานั้นถูกกระแทกด้วยค้อนเหล็ก เขานั้นกลัวว่าเจ่าไห่นั้นจะเป็นอันตราย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ่าไห่ นั้นหมายความว่าตระกูลบูดานั้นจบสิ้นแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด