ตอนที่ 45 – โกรธ
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็เหลือเพียงแค่เมอร์รินและเจ่าไห่ที่ยังอยู่ในห้อง ในขณะที่เธอนั้นกำลังรินชา เจ่าไห่ก็ถามขขึ้นว่า “ยายเมอร์ริน คุณคิดว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรกับพวกทาสดี?”
เมอร์รินครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะมองไปยังเจ่าไห่ “นายน้อยอยากจะฟังคำแนะนำจากดิฉันเหรอค่ะ?”
“แน่นอน ยายเมอร์ริน คุณเป็นคนที่คอยดูแลทาสอยู่ในตอนนี้ ผมนั้นไม่เคยที่จะคอยมาดูแลจัดการพวกทาสของตระกูลบูดามาก่อนที่จะถูกเนรเทสออกมา ดังนั้น ผมคิดว่าคุณนั้นมีประสบการณ์ในด้านี้มากกว่าผม”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ นายน้อย” เมอร์รินยิ้ม “ส่วนคำแนะนำนั้น ดิฉันคิดว่าคุณนั้นใจดีกับพวกทาสมากเกินไป คุณควรจะปรามพวกเขาเล็กน้อย”
คำพูดนี้ทำให้เจ่าไห่นั้นสับสนอย่างมาก “ยายบอกว่าผมควรจะเข้มงวดกับพวกทาสมากกว่านี้งั้นเหรอครับ ทำไมล่ะ?”
“นายน้อย คุณควรรู้ว่าบางครั้ง ความยากลำบากนั้นก็เป็นผลดีสำหรับพวกเขา หากคุณอ่อนโยนมากเกินไป คนอื่นจะคิดว่าพวกเขานั้นสามารถที่จะรังแกคุณได้ แน่นอนว่าพวกทาสคงจะไม่ทำเช่นนั้น แต่พวกเขาคิดว่าการที่คุณทำดีกับพวกเขาเช่นั้นแล้ว พวกเขานั้นรู้สึกเสียใจที่พวกเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย โดยเฉพาะการที่คุณให้พวกเขานั้นเรียนหนังสือ ในมุมมองของเขา นี้คือรางวัลอันยอดเยี่ยม และมันไม่ใช่การทำงาน ดังนั้นการที่พวกเขาได้รับรางวัลเช่นนี้ มันทำให้พวกเขานั้นรู้สึกไม่สบายใจ”
เจ่าไห่นั้นรู้สึกตกใจ เขานั้นคิดว่าพวกทาสเหล่านี้นั้นจะเหมือนกับนักเรียนในชีวิตอดีตของเขา ซึ่งการเรียนนั้นไม่ถูกจัดว่าเป็นการให้รางวัล และพวกเขาจะรู้สึกดีใจก็ต่อเมื่อพวกเขานั้นเรียนจบ
ความแตกต่างของโลกทั้งสองนั้น ทำให้เทคโนโลยีและความรู้นั้นถูกปิดกั้นไม่ให้พวกทาสนั้นได้เข้าถึง พวกทาสนั้นมีค่าแค่การทำงาน และในสายตาของพวกขุนนางแล้ว พวกทาสเหล่านี้นั้นไม่ได้ถูกมองว่าเป็นมนุษย์เลยซักนิดเดียว
“ผมเข้าใจแล้ว” เจ่าไห่ก็กล่าวต่อไปว่า “ขอบคุณยายเมอร์รินสำหรับคำแนะนำ มันทำให้พวกนั้นมีมุมมองที่กว้างขึ้น”
เมอร์รินพยักหน้าอย่างพอใจ มันปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้นายน้อยนั้นเป็นคนที่ดีขึ้น แต่เธอก็รู้ว่าเขานั้นจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อีกมาก
เจ่าไห่นั้นอยู่ชั่วขณะ เขานั้นกำลังคิดถึงวิธีการแก้ปัญหานี้ ด้วยความสัตย์จริงนั้น เขาเองก็เพิ่งที่จะเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้เขานั้นไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับมันเช่นไรดี
หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่นั้น เจ่าไห่ก็ยืนขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ยายเมอร์ริน ผมอยากจะพูดคุยกับพวกทาสสักหน่อย”
เมอร์รินพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากกระท่อมเพื่อพบพวกทาส ซึ่งกำลังเรียนรู็และเขียนหนังสือลงบนพื้น โดยใช้ฝักข้าวโพดแทนปากกา
เมื่อเจ่าไห่มองดูไปยังพวกทาส พวกเขาบางคนนั้นรู้สึกกระสับกระส่าย ซึ่งแตกต่างจากตอนแรกที่พวกเขานั้นได้เริ่มเรียนการอ่านและการเขียน
“หยุดก่อน!!” เจ่าไห่นั้นตะโกนออกไป
เมื่อพวกทาสเห็นเจ่าไห่ พวกเขาก็วางฝักข้าวโพดที่กำลังเขียนอยู๋และคุกเข่าลงบนพื้นทันที แต่คราวนี้เจ่าไห่ไม่ขอให้พวกทาสนั้นยืนขึ้นเหมือนครั้งก่อนๆ “ข้าได้ยินว่าในช่วงหลายวันนี้ พวกเจ้านั้นไม่ตั้งใจที่จะเรียนหนังสือพวกนี้”
แม้ว่าเสียงของเขานั้นจะไม่ดังมาก แต่มันก็ทำให้ทาสนั้นสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในตอนนั้นเอง พวกทาสก็พูดขึ้นมาว่า “นายน้อย ได้โปรดลงโทษพวกเราด้วย”
เจ่าไห่พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า “นี้พวกเจ้าดูไม่ออกหรือไงว่า การที่ข้าให้พวกเจ้าได้เรียนหนังสือนั้นไม่ใช่การให้รางวัล แต่มันจะทำให้เจ้านั้นสามารถรับใช้ตระกูลบูดาได้ดีขึ้นแม้ว่าพวกเจ้าจะโง่แค่ไหน เจ้าก็ควรจะรู้สถานการณ์ของตระกูลด้วย นอกที่พวกเจ้าจะใช้แรงงานแล้ว พวกเจ้าทำอะไรได้บ้าง?สิ่งที่พวกเจ้ามี? ความสามารถที่พวกเจ้ามี? ถ้าหากข้าให้หนังสือเจ้าไปอ่าน พวกเจ้าจะอ่านได้อย่างงั้นหรือ? ไม่ พวกเจ้าไม่สามารถอ่านได้และไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่หนังสือพวกนั้นเขียน แล้วพวกเจ้าเป็นม้าได้หรือป่าว พวกเจ้าไม่สามารถที่จะทำอย่างอื่นได้ เป็นเพียงแค่ม้าที่ใช้แรงงานแค่นั้นเหรอ!! จำเอาไว้ว่ามนุษย์นั้นสามารถที่จะเรียนรู้ได้จากการอ่านหนังสือ แต่ม้าพวกนั้นไม่สามารถทำได้ แล้วจำไว้ด้วยว่า ถ้าเจ้าไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้แล้ว เจ้าจะทำให้ตระกูลของเราดีขึ้นได้ยังไง?
พวกทาสทุกคนนั้นคุกเข่าด้วยความกลัว เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เจ่าไห่ดุพวกเขา ซึ่งมันจึงทำให้พวกเขานั้นตัวสั่นไปทั้งตัว
จากนั้นเจ่าไห่ก็หายใจเข้าออกเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง “ข้าเคยบอกพวกเจ้าว่า หากพวกเจ้านั้นมีความมุ่งมั่นอดทน หรือมีความสามารถใดๆ ข้าจะปลดปล่อยพวกเจ้าจากการเป็นทาส แต่วันที่ข้าให้ฐานะสามัญชนแก่เจ้าแล้ว พวกเจ้าคิดเหรอว่าชีวิตความเป็นอยู่นั้นจะดี? พวกเจ้าคิดผิดแล้ว! ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถจะทำอะไรได้ พวกเจ้าก็ไม่ต่างจากทาสอยู่ดี พวกเจ้าจำเอาไว้ว่า ข้าต้องการคนที่มีความหวังที่จะทำให้ตระกูลของเรานั้นก้าวหน้าไปมากกว่านี้ ไม่ใช่คนที่คิดเพียงแค่ว่าจะกินแล้วขี้จนวันตาย!”
เจ้าไห่มองไปยังเดซี่ “พวกเจ้าคงสงสัยว่าทำไมข้าถึงให้ฐานะสามัญชนแก่เดซี่ แม้ว่าเธอนั้นจะทำได้เพียงแค่ทอวัชพืชเหล่านั้น พวกเจ้าหลายคนก็สามารถทำได้ และคนที่ทำงานกับแอนก็เช่นกัน แม้ว่าหลายคนจะทำงานได้ดีแต่ทำไมพวกข้าถึงไม่ให้ฐานะสามัญชนแก่เจ้ารู้ไหม? ข้าจะบอกให้พวกเจ้าได้รู้ว่า มันเป็นเพราะเธอลุกขึ้นมาที่จะพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง เธออยากมีชีวิตที่ดีขึ้น และเธอต้องการที่จะช่วยพี่ชายของเธอ ส่วนสิ่งที่ข้าให้พวกเจ้าได้นั้นคือโอกาสในการศึกษาอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่รางวัล ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะได้เรียนรู้จากเดซี่ เพราะตอนนี้ตระกูลบูดาต้องการผู้คนหนึ่งร้อยคนที่จะถวายชีวิตให้กับตระกูล ไม่ใช่ทาสหนึ่งร้อยคน พวกเจ้าเข้าใจไหม!!”
ทาสที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “พวกเราเข้าใจแล้วครับนายน้อย”
พวกทาสนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเขารู้สึกว่า พวกเขาสามารถเป็นบางอย่างที่มากกว่าทาสที่เป็นอยู่ แม้ว่าเจ่าไห่จะพูดด้วยคำพูดที่รุนแรง แต่มันก็ไม่ก่อให้เกิดไฟแค้นในจิตใจของพวกเขา ในทางตรงกันข้าม พวกเขานั้นรู้สึกขอบคุณและเคารพต่อเจ่าไห่
หลังจากที่เจ่าไห่พูดเสร็จ เขาก็บอกให้ท่านทุกคนยืนขึ้น “ข้าไม่ต้องการให้คนที่จะถวายชีวิตให้กับตระกูลต้องมาคุกเข่าต่อหน้าข้า ฉะนั้นจำไว้ด้วยว่า ตั้งใจเรียนรู้หนังสือนี้ เพราะนี้ไม่ใช่รางวัลของพวกเจ้า แต่เป็นคำสั่งของข้า!!”
ทาสนั้นลุกขึ้นยืนพร้อมเพรียงกัน “ได้ครับ นายน้อย!!”
แม้ว่าพวกทาสเหล่านี้จะคุกเข่ากับพื้นเป็นเวลานาน แต่เมื่อลงขึ้นร่างกายของพวกเขาก็รู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เมอร์รินที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ่าไห่นั้นก็ยิ้มด้วยความปิติยินดี ในหัวใจของเธอนั้นไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ่าไห่จะสามารถทำได้ดีเช่นนี้ เพราะเขาไม่ทำให้พวกทาสนั้นรู้สึกแย่ แต่กลับทำให้พวกเขานั้นรู้สึกเคารพนับถือเจ่าไห่ ซึ่งทำให้เธอนั้นพอใจกับวิธีการของเจ่าไห่มาก
หลังจากนั้นพวกทาสก็ยืดเส้นยืดสายร่างกาย ก่อนที่เจ่าไห่จะหันไปทางเมอร์ริน “ส่วนที่เหลือ ผมขอฝากยายเมอร์รินดูแลต่อด้วย แต่บางเวลาก็ให้พวกเขาหยุดพักบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วสมองพวกเขาจะกลายเป็นเหมือนขอนไม้ที่ไม่สามารถจะจำอะไรได้”
เมอร์รินยิ้ม “นายน้อยไม่ต้องกังวล ดิฉันรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดิฉันมีลูกศิษย์”
เจ่าไห่หัวเราะก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในกระท่อม ในขณะที่เม็กมองเจ่าไห่ด้วยความเคารพนับถือ
วันนี้เม็กคิดว่าเจ่าไห่นั้นเป็นผู้ชายที่น่าหลงไหล ในขณะที่เขานั้นกำลังพูด ร่างกายของเขานั้นปล่อยพลังงานบางอย่างออกมาสะกดสายตาของเธอ จนเธอนั้นไม่สามารถเบือนหน้าหนึไปทางไหนได้เลย
เมื่อเจ่าไห่กลับไปในกระท่อมแล้ว เขาพยายามจดจำสิ่งต่างที่ได้ทำว่าเป็นตามที่วางแผนไว้หรือไม่ เขานั้นพยายามจะสื่ออารมณ์และเว้นจังหวะ ด้วยท่าทางที่เหมาะสมเพื่อที่จะทำให้เขาสามารถพูดได้อย่างยอดเยี่ยม เนื่องจากว่าเขากำลังคิดเรื่องคำพูด จึงทำให้เจ่าไห่นั้นไม่รู้ตัวเลยว่าเม็กนั้นตามเข้ามาด้วย
เม็กมองไปที่เจ่าไห่และอดยิ้มไม่ได้ คำพูดของเขานั้นทำให้เธอรู้สึกสงบและรู้สึกมั่นใจในตัวเจ่าไห่
จากนั้นเจ่าไห่ก็สังเกตุเห็นว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังเขา เขาก็ตักใจหันหลังไปมองก็พบว่าเป็นเม็ก เจ่าไห่นั้นเป็นโอตาคุจึงไม่เคยที่จะพูดคุยกับผู้หญิงมากนัก ซึ่งเมื่อเห็นเม็กแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เจ่าไห่จึงถามขึ้นว่า “เม็ก เข้ามามีอะไรอย่างงั้นเหรอ?”
“อะไรงั้นเหรอค่ะ? นายน้อยไม่อนุญาตให้ฉันเข้ามาในห้องเหรอค่ะ?” เม็กตอบด้วยท่าทางที่ยิ้มแย้ม
“ไม่ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น” เจ่าไห่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เจ้าสามารถเข้ามาได้เสมอ นั่งลงสิ ข้าจะรินชาให้”
เม็กก็หัวเราะออกมา “นายน้อยให้ฉันรินชาให้เถอะค่ะ ไม่งั้นท่านยายจะดุข้า”
“ไม่ต้อง ข้าทำเอง ข้าเป็นคนชวนเจ้าดื่มนะ” เจ่าไห่ตอบกลับ