ตอนที่ 43 – รีเฟรช
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมอร์รินก็สอนพวกทาสอ่านหนังสือซักพักก่อนที่พวกเขาจะจัดระเบียบต่างๆเพื่อจะนอน
ซึ่งอุณหภูมิในมิตินั้นไม่เย็นและไม่ร้อนจนเกินไป เมื่อแจกจ่ายผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว พวกทาสก็ได้นอนหลับอย่างมีความสุข
ในช่วยเวลาเที่ยงคืน เจ่าไห่ก็ตื่นเพราะมีเสียงแจ้งเตือนขึ้นมา ว่าหัวไชเท้าโตเต็มที่แล้วและหลังจากนั้นเขาก็ทำการเก็บเกี่ยวมัน
เดิมนั้นเจ่าไห่ต้องการจะลองปลูกพืชทั่วไป แต่ด้วยความง่วงนอน เขาจึงเลือกที่จะปลูกหัวไชเท้าอีกชุด ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อเมล็ดพืชใหม่นั้นทำให้มิติ Lv up แล้ว เขาต้องใช้เวลาในการทำสิ่งต่างๆอีกมากมายและจะไม่สามารถนอนต่อได้
เช้าวันต่อมา ข้าวโพดนั้นก้เกือบจะสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว เจ่าไห่นั้นได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก ดังนั้นเขาจึงตื่นขึ้นมา เมื่อออกไปก็เห็นพวกทาสที่ตื่นขึ้นมาแล้ว กำลังปรุงอาหารเช้าของพวกเขาโดยมีเมอร์รินคอยสังเกตุการณ์อยู่ เมื่อเมอร์รินเห็นเจ่าไห่ เธอก็นำอ่างน้ำมาให้เขา
หลังจากที่เจ่าไห่ล้างหน้าล้างตาแล้ว เขาก็ออกเดินสำรวจฟาร์มเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่พบอะไร
แต่เมื่อมองไปยังพื้นที่บริเวณที่พวกทาสนั้นทำอาหาร เขาก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างว่ามันสะอาดเกินไป ขยะที่พวกเขานั้นทิ้งไว้เมื่อวานนี้มันหายไปแล้ว ตอนนี้ขยะพวกนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งมันผิดปกติเกินไป แม้ว่าพวกทาสเหล่านี้จะเก็บขยะแล้ว แต่มันก็สะอาดเกินไปเหมือนกับไม่เคยมีขยะอยู่เลยแม้แต่น้อย
เจ่าไห่จึงเดินเข้าไปหาเม็กเพื่อถามเธอ “เม็ก ยายเมอร์รินสั่งให้พวกทาสทำความสะอาดเหรอ?”
เม็กนั้นรู้สึกประหลาดใจกับคำถามของเจ่าไห่ แต่เธอก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้าของเธอ “ไม่ค่ะนายน้อย ยายเมอร์รินไม่ได้สั่งอะไรพวกเขาเลยเช้านี้”
เจ่าไห่พยักหน้าตอบ ตอนนี้ในใจของเขาก็มีความคิดบางอย่างขึ้นมา เขาจึงเดินไปที่โรงนา เม็กนั้นรู้ดีว่าข้างโรงนานั้นมีห้องน้ำอยู่ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเจ่าไห่คงจะไปเข้าห้องน้ำ
แต่เม็กนั้นเข้าใจผิดในเรื่องนี้ เจ่าไห่นั้นเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อที่จะยืนยันการคาดเดาของเขาที่ตั้งไว้
เมื่อเขาเข้าไปในห้องน้ำ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขานั้นคิดถูกแล้ว เพราะดูเหมือนว่ามิติแห่งนี้จะรีเฟรซสภาพแวดล้อมของตัวเองในแต่ละวัน สิ่งปฎิกูลหรือขยะจะถูกกำจัดออกไปจากมิติให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าห้องของเขานั้นจะไม่ถูกทำให้หายไปเพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกใช้งานและมีประโยชน์
เมื่อรู้หลักการข้อนี้แล้ว เจ่าไห่ก็รู้สึกโล่งใจกับปัญหาเรื่องขยะในมิติ ซึ่งมันจะปวดหัวสำหรับเขามากถ้ามิตินั้นไม่มีวิธีการแก้ปัญหาด้วยตัวมันเอง ซึ่งก็ถือว่านี้เป็นความสะดวกสะบายอย่างหนึ่งที่มิตินี้มีให้
เจ่าไห่กลับไปยังกระท่อมซึ่งเม็กกำลังยืนรอเขาอยู่ เมื่อเม็กเห็นเจ่าไห่ เธอก็หน้าแดงขึ้นมา เจ่าไห่นั้นอยากจะถามเธอว่าทำไมถึงหน้าแดงขึ้นมา แต่เขาไม่รู้ว่าจะถามเธออย่างไร เพราะเขาพึ่งออกมาจากห้องน้ำ
เมอร์รินที่มองดูทาสนั้นปรุงอาหารอยู่นั้น เมื่อเห็นเจ่าไห่ตื่นขึ้นมา เธอจึงต้องกลับมาที่กระท่อมเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้แก่เขา
เจ่าไห่นั้นต้องการจะดูสถานการณ์ข้างนอกมิติ ดังนั้นเขาจึงไปยังเตียงนอนในกระท่อมของเขาเพื่อเปิดหน้าจอขึ้นมาดู ซึ่งเมื่อเปิดภาพสามมิติขึ้นมา ก็พบว่าสถานการณ์ข้างนอกดูเหมือนว่าจะดีขึ้นมา เพราะในระยะรัศมีหนึ่งร้อยเมตรนั้นมีจำนวนสัตว์อสูรนั้นน้อยลง เจ่าไห่นั้นตกใจเมื่อเห็นจำนวนจุดสีเขียวนั้นน้อยลงกว่าสิบ และในสามจุดนั้นเป็นสัตว์อสูรรูปแบบโครงกระดูกมนุษย์ ซึ่งส่วนที่เหลือนั้นเป็นรูปสัตว์ทั่วไป
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจำนวนสัตว์อสูรถึงลดลงรวดเร็วเช่นนี้ แต่เจ่าไห่นั้นก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ ตราบใดที่มีสัตว์อสูรอย่างข้างนอกนั้น มันก็ยังไม่ปลอดภัยที่จะออกไป
เมื่อปิดหน้าจอลง เจ่าไห่ก็ไปยังห้องครัวซึ่งเห็นเมอร์รินนั้นกำลังทำอาหารเช้าอยู่ เธอนั้นกำลังเตรียมที่จะทำแพนเค้กให้กับเขา แต่การที่ทุกเช้านั้นได้กินแต่ขนมปังนั้น ทำให้เขานั้นรู้สึกไม่ชิน
เมอร์รินเห็นเจ่าไห่ที่ยืนอยู่นั้นก็ถามขึ้นว่า “นายน้อย คุณหิวแล้วงั้นเหรอค่ะ? โปรดรอสักครู่ อาหารจะเสร็จแล้วในไม่ช้า”
“ยายเมอร์ริน แม้ว่าอาหารนี้จะดูอร่อยก็ตาม แต่ว่าพรุ่งนี้เช้า พวกเราทานข้าวกันได้ไหมคุณจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องทำแพนเค้กนี้อีก”
เมอร์รินรู้สึกประหลาดใจ “ตะ..แต่ว่าข้าวนั้นเป็นอาหารสำหรับพวกทาสนะค่ะ ฉันจะให้นายน้อยกินอาหารเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เจ่าไห่นั้นเงียบไปสักพัก ในความทรงจำของอดัม เขารู้ว่าพวกขุนนางนั้นไม่ทานข้าวกันเจ่าไห่จึงส่ายหัวและพูดขึ้นว่า “ยายเมอร์ริน ยายก็รู้ว่าพวกเรานั้นต้องอยู่ในมิตินี้อีกหลายวัน ที่นี้ไม่ใช้ปราสาทที่เคยอยู่ ดังนั้นการที่จะทำขนมปังที่นี้จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วถ้ามันจำเป็นจริงๆก็ต้องกินอยู่ดีใช่ไหมครับ อีกอย่างคุณก็เห็นแล้วเมื่อวานไม่ใช่เหรอ? ว่าข้าวนั้นอร่อยมากแค่ไหน”
เมอร์รินนั้นพูดไม่ออก เพราะว่าเมื่อวาน เธอเองก็ได้เห็นข้าวที่ถูกปรุงจนน่าอร่อยเช่นนั้นซึ่งแม้แต่เธอเองก็ยังอยากจะลองทานเช่นกัน
นอกจากนี้เธอก็รู้ว่ามิติแห่งนี้นั้นแตกต่างจากข้างนอก ในปราสาทนั้น ห้องครัวมีเตาอบหินที่จะสามารถทำขนมปังได้ แต่ที่นี้เธอทำได้เพียงแค่แพนเค็ก ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเกิดปัญหาถ้าพวกเขานั้นได้กินแต่แพนเค้กพวกนี้ เธอจึงพยักหน้า “ได้ค่ะนายน้อย ฉันจะทำตามที่นายน้อยพูดมา”
เจ่าไห่นั้นก็ดีใจออกมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้รังเกียจพวกขนมปัง แต่เขาก็อยากจะกินข้าวมากกว่า โดยเฉพาะข้าวเมื่อวานนี้ ซึ่งแม้แต่เขาเองก็อยากจะทานมัน
หลังจากที่กินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว เมอร์รินก็ทำการสอนหนังสือต่อ เจ่าไห่นั้นบอกกับเมอร์รินว่าไม่ต้องให้พวกทาสนั้นเก็บขยะ แต่ให้กองมันรวมกันไว้ก็พอ เมอร์รินนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เจ่าไห่พูด แต่เธอก็ทำได้เพียงแค่ทำตามคำสั่งของเขา
เธอเชื่อว่า เจ่าไห่นั้นใช้มิติแห่งนี้ในการช่วยเหลือพวกเขา แต่เพราะเธอนั้นอยู่ในมิติแห่งนี้นานขึ้น เธอจึงเริ่มจะเชื่อฟังเจ่าไห่มากขึ้นตามไปด้วยจากความสามารถของมิติ [ผู้แปล : บางคนอาจจะจำไม่ได้ว่ามิตินั้นมีความสามารถอย่างหนึ่งก็คือ ทำให้คนที่เขามาในนี้นั้นไม่มีจิตมุ่งร้ายต่อเจ่าไห่ จึงทำให้เธอนั้นเชื่อฟังเจ่าไห่มากขึ้น]
ซึ่งครั้งแรกที่บล๊อคและร๊อคเข้ามาในมิติแห่งนี้ จิตใจของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ซึ่งมันก็ยังส่งผลต่อเมอร์รินด้วยเช่นกัน ในตอนแรก การเปลี่ยนแปลงนั้นจะยังไม่รุนแรงมากเนื่องจากว่าเธอนั้นเป็นนักเวทย์ เธอจึงมีพลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป มันจึงส่งผลกระทบกับเธอน้อยกว่า แต่เมือ่เธอเข้ามาอยู่ในมิติได้สักชั่วเวลาหนึ่ง มันก็ค่อยเปลี่ยนเธออย่างช้าๆ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอนั้นไม่ขัดคำสั่งต่อเจ่าไห่
แต่เธอนั้นก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธคำขอของเจ่าไห่เลย ถ้ามันไม่ส่งผลอันตรายต่อเขา ซึ่งถ้ามันจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับเขา เธอจะหยุดเขาเสมอ ซึ่งความสามารถในการเปลี่ยนใจของมิตินั้น จะไม่ส่งผลต่อความฉลาดของพวกเขา แต่ในทางตรงกันข้าม กลับทำให้พวกเขานั้นฉลาดขึ้น
ซึ่งสำหรับทาสแล้ว พวกเขาจงรักภักดีต่อตระกูลบูดาเพราะพวกเขาเป็นทาสของตระกูลแต่เมื่อพวกเขาได้เข้ามาในมิติแล้ว พวกเขาจะสาบานที่จะจงรักภักดีต่อเจ่าไห่
เจ่าไห่นั้นไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปงของมิติ ซึ่งก็ไม่มีใครสังเกตุเห็นเช่นกัน เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่คนเดียว แต่ทุกคนนั้นล้วนเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน
ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงและหัวไชเท้าก็พร้อมกับเก็บเกี่ยวแล้ว หลังจากที่เจ่าไห่นั้นถูกเก็บเรียบร้อยแล้ว เขาก็นำเมล็ดพืชออกมาจากโรงนา
เมล็ดพืชเหล่านี้ถูกแบบออกตามประเภทต่างๆ ซึ่งเมล็ดพันธุ์ที่พบมาที่สุดก็คงจะเป็นเมล็ดจากผลไม้ที่ให้น้ำมัน กรีนซื้อเมล็ดพืชชนิดนี้มาเพราะมันสามารถปลูกได้แม้จะมีดินที่ไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้แล้ว มันยังมีอายุที่ยาวนานถึงหนึ่งร้อยปี นอกจากนี้ระยะเวลาในการเติบโตจนเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นั้นใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปี
กรีนคิดว่าเมล็ดพันธุ์พืชเหล่านี้นั้นจำเป็นต่อการพัฒนาตระกูลบูดาในอนาคต เขาจึงซื้อมันมาเป็นจำนวนมาก
แม้ว่าราคาของน้ำมันจะถูก แต่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคนในทวีป กรีนนั้นมีความคิดที่จะปลูกพืชชนิดนี้ แล้วจากนั้นสองปี พวกเขาก็จะสามารถเก็บผลมารีดน้ำมัน ซึ่งน้ำมันนี้เองจะช่วยให้ตระกูลบูดานั้นมีรายได้
ส่วนเมล็ดพันธุ์ที่เหลือก็จะเป็นพวกผักและสมุนไพรทั่วไป
เพราะการปลูกผักเวทย์มนตร์นั้นจำเป็นต้องใช้ดินที่อุดมสมบูรณ์ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปลูกในแดนทมิฬแห่งนี้ นั้นเป็นสาเหตุว่าทำไม พวกเขาถึงมีแต่เมล็ดพืชทั่วไป
ส่วนเมล็ดพันธุ์สำหรับสมุนไพรที่กรีนซื้อมานั้น คือเมล็ดของหญ้าอัลฟาฟ่าซึ่งเจริญเติบโตทั่วทั้งปี ซึ่งมันสามารถใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์อสูรที่กินพืชได้ และยังเป็นพืชที่สามารถทำเป็นปุ๋ยได้อย่างดี เพราะเมื่อคุณเก็บมัน คุณแค่ตัดส่วนบนของมัน และปล่อยรากไว้ใต้ดิน รากเหล่านี้ก็จะค่อยๆปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
จึงอาจจะกล่าวได้ว่า ก่อนที่จะมาแดนทมิฬแห่งนี้ กรีนได้เตรียมการหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อที่จะให้ตระกูลบูดานั้นสามารถอยู่รอดได้ ไม่ว่าจะผลน้ำมันที่จะสร้างรายได้และเมล็ดอัลฟาฟ่าที่ค่อยปรับปรุงพื้นดินและเมื่อดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นแล้ว พวกเขาก็จะสามารถที่จะปลูกพืชชนิดอื่นลงไปได้ และรายได้ของพวกเขาก็จะมากขึ้น
แน่นอนว่ากรีนนั้นยังไม่รู้ถึงฟาร์มอันแสนโกงของเจ่าไห่