ตอนที่ 42 – ลอง
เจ่าไห่พาทั้งสี่กลับเข้ามาในกระท่อม จากนั้นเขาก็ไปที่เตียงของเขาก่อนจะเอามือสัมผัสหน้าจอ และเมื่อเขาสัมผัสแล้ว หน้าจอก็สว่างขึ้นมาพร้อมกับไอคอนต่างๆ
ทุกคนนั้นตกใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็นบนจอ มันดูน่าทึ่งอย่างมาก
จากนั้นเจ่าไห่ก็แตะลงบนไอคอนกล้องก่อนที่จะปรากฎภาพปราสาทสามมิติขึ้นมา พร้อมด้วยจุดสีเขียวๆ เต็มไปหมด
เมื่อกดที่จุดเขียวๆ ทันใดนั้นภาพของจอก็เปลี่ยนไปยังลานปราสาท
หน้าจอของเขานั้นสามารถแสดงภาพรัศมีหนึ่งร้อยบริเวณจุดที่เจ่าไห่ใช้เข้ามาในมิติฟาร์ม ถึงแม้ว่าระยะนี้จะค่อนข้างไกล แต่มันก็ไม่สามารถเห็นลานปราสาทได้ทั้งหมด ลานปราสาทที่ปรากฎบนจอนั้นไม่ใหญ่มา และดูได้เพียงแค่ส่วนภายในปราสาทและบริเวณใกล้เคียง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเห็นสัตว์อสูร และซอมบี้ได้อย่างชัดเจนบนจอนี้
ทุกคนนั้นล้วนตั้งใจมองดูสถานการณ์บนหน้าจอ และภาพที่พวกเขาเห็นก็ทำให้พวกเขานั้นแข็งทื่อไปชั่วขณะ
จากนั้นเมอร์รินก็กล่าวขึ้นมา “นี่คือลานกว้างที่ปราสาทเหรอค่ะ นายน้อย?”
เจ่าไห่พยักหน้า “ใช่แล้ว และดูเหมือนว่าสัตว์อสูรจะยังไม่ไปไหนเลย ดังนั้นพวกเราจึงยังไม่สามารถที่จะออกไปได้”
แม้ว่าจะได้ฟังคำพูดของเจ่าไห่แล้ว เมอร์รินก็ยังรู้สึกตื่นเต้น “โชคดีแล้ว ที่นายน้อยมีมิติแห่งนี้ ทำให้พวกเรายังปลอดภัยอยู่ และคุณก็ไม่จำเป็นต้องกลัวศัตรูใดๆอีก”
เจ่าไห่ยิ้ม ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ความคิดแรกของเมอร์รินนั้นคือความปลอดภัยของเขาเสมอ
เจ่าไห่เปลี่ยนภาพกลับไปยังแผนที่สามมิติ ก่อนที่จะชี้ไปยังจุดเขียวๆให้เมอร์รินดู “จุดสีเขียวนี้นั้นใช้แทนสัตว์อสูร ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนสัตว์อสูรนั้นจะลดลงไปจากคราวที่แล้วที่ผมดู ผมคิดว่าตอนนี้สัตว์อสูรเริ่มที่จะไปที่อื่นกันแล้ว”
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนภาพไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งรกไปหมด ทุกอย่างถูกทำลาย เจ่าไห่จึงเปลี่ยนไปยังห้องโถงของปราสาทซึ่งอยู๋ในระยะ และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถูกทำลายโดยซอมบี้สัตว์อสูร
หน้าของเมอร์รินเริ่มเศร้าลง เนื่องจากตอนแรกที่มาปราสาทแห่งนี้นั้น ปราสาทนั้นไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย จึงทำให้พวกเขานั้นต้องซื้อของใช้ครัวเรือนมาจำนวนมาก และตอนนี้พวกมันก็ถูกทำลายจนหมดแล้ว
หลังจากที่ดูทุกๆอย่างในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรแล้ว เจ่าไห่ก็กลับไปยังหน้าแผนที่สามมิติ ก่อนที่จะหันไปหาเมอร์รินว่า “คุณยายเมอร์ริน สถานการณ์ข้างนอกตอนนี้กำลังยำแย่ พวกเราจำเป็นต้องพักอยู่ในนี้อีกหลายวัน ตอนนี้สิ่งที่คุณสามารถทำได้คือการสอนทุกคนให้สามารถที่จะอ่านและเขียนได้”
เมอร์รินพยักหน้า “นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ดิฉันต้องการจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว”
เจ่าไห่จึงกล่าวว่า “ในตอนนี้ ผมจะจัดระเบียบโรงนาของผมสักหน่อย ผมนั้นเอาเมล็ดพืชต่างมามากมายในบริษัท ผมจะลองปลูกมิติแห่งนี้หน่อย
เมอร์รินนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัวของเธอ “นายน้อย เมล็ดพืชพวกนี้เป็นเมล็ดพืชธรรมดาทั่วไป ผลผลิตของมันนั้นไม่สูงเท่าข้าวโพดและมันไม่สามารถปลูกเป็นผักเวทย์มนตร์ได้เรานำมันมาที่แดนทมิฬแห่งนี้ เพราะพวกเราคิดว่าจะสามารถปลูกมันได้บนภูเขา ดังนั้นเราจึงไม่ได้ซื้อเมล็ดพันธุ์พืชธรรมดามา”
“แต่ผมก็ยังอยากจะลองดูเมล็ดพันธุ์พวกนี้อยู่ดี มันจะเปล่าประโยชน์ถ้าผมยังไม่ได้ตรวจสอบมัน” เจ่าไห่กล่าวขึ้นมา
“นายน้อยค่ะ เรื่องนี้ดิฉันนั้นไม่เห็นด้วย ถ้าหากคุณต้องการจะปลูกพืชชนิดใดในมิตินี้ คุณควรจะปลูกหัวไชเท้าเวทย์จะดีกว่า เพราะผักเวทย์นั้นมีราคาที่ดีกว่าทั่วไป และตอนนี้ตระกูลของเราเองก็ต้องการเงินจำนวนมาก ซึ่งถ้าคุณต้องการที่จะปลูกพืชจากเมล็ดพันธุ์พวกนี้ เราควรปลูกมันไว้บนภูเขา เมล็ดพืชที่ไร้ค่านี้ไม่ควรที่จะปลูกลงในมิติแห่งนี้”
“ยายเมอร์ริน ผมนั้นไม่ได้ต้องการจะปลูกพืชเหล่านี้ ผมแค่อยากจะดูมัน อ่า คุณยังไม่รู้สินะว่า ถ้าผมเจออะไรบางอย่างที่พิเศาแล้วนำมันเข้ามาในนี้ มิติแห่งนี้จะ Lv up หรือง่ายๆก็คือมิติแห่งนี้จะแข็งแกร่งขึ้น ครั้งสุดท้ายที่ผมนำดินดำและน้ำจากทะเลสาบเข้ามาในมิตินี้ มิติแห่งนี้ได้ให้พื้นที่กับผมมากขึ้น 2 มู่ ดังนั้นผมจึงอยากจะลองดู เพื่อว่าพื้นที่ในมิติแห่งนี้จะขยายกว่าขึ้นและผมสามารถปลูกพืชได้มากขึ้น
เมอร์รินนั้นรู้สึกตะลึงกับคำพูดของเจ่าไห่ “ถ้ามันเป็นเช่นนั้นแล้ว มันก็คุ้มค่าที่จะลองค่ะ นายน้อย ถ้าเมล็ดพันธุ์พวกนั้นจะสามารถที่จะทำให้มิติแห่งนี้แข็งแกร่งขึ้นแล้วล่ะก็”
ในเมื่อข้อสรุปแล้ว เจ่าไห่จึงเตือนขึ้นมาว่า “ยายเมอร์ริน พรุ่งนี้เช้าบอกให้ทุกคนนั้นเก็บขยะต่างมากองรวมกันไว้ เมื่อเราออกจากมิติแห่งนี้ ผมจะได้นำมันไปทิ้ง”
“ได้ค่ะนายน้อย เรื่องนี้ฉันจะดูแลเอง”
“และอีกอย่างยายเมริน” เจ่าพูดขึ้นมาหลังจากที่มองไปรอบ “ถ้าผมจัดระเบียบห้องนี้ซักหน่อย ผมคิดว่าน่าจะใส่เตียงเข้ามาได้อีกเตียง ยายจะได้ไม่ต้องนอนข้างนอก”
เมอร์รินนั้นส่ายหัวของเธอ “ไม่เป็นไรค่ะนายน้อย นอนข้างนอกนั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ”
เจ่าไห่เห็นว่ายังไงเมอร์รินก็ไม่ตกลงในเรื่องนี้ แม้ว่าในใจของเขานั้นก็รู้ว่าเมอร์รินนั้นไม่มีทางที่จะเข้ามานอนในห้องนี้ จึงลองยื่นข้อเสนออีกอย่างว่า “ถ้าอย่างนั้น อย่างน้อยก็ให้ผมนำเตียงนอนไว้ข้างนอกนั้น แล้วให้มันอยู่ใกล้ๆกับกระท่อมแห่งนี้พวกคุณจะได้หลับด้วยกัน”
เมอร์รินเห็นเช่นนั้นก็ไม่คัดค้านอะไร เธอรู้สึกว่ามันคงจะดีที่ได้นอนในที่โล่ง แต่เธอก็ไม่ลืมว่าเธอนั้นอยู่ในมิติที่ปิดตายแห่งนี้ และการอยู่กันอย่างแออัดกับทาสอีกหลายร้อยชีวิตก็ทำให้เธอนั้นยากที่หลับ
เจ่าไห่จึงตัดสินใจว่าจะนำไม้ออกมากั้นห้องเป็นสองห้องข้างกระท่อม แม้ว่ามันจะไม่มีหลังคา แต่อย่างน้อยคนข้างนอกก็ไม่สามารถที่จะมองเข้ามาได้
จากนั้นเขาก็ออกไปข้างนอกกระท่อมก่อนที่ทุกคนจะตามเขาออกไป ข้างนอกนั้น พวกทาสตอนนี้เป็นเปี่ยมไปด้วยพลัง หลังจากที่กินข้าวแล้วพวกเขาก็ง่วงนอน และเมื่อได้พักไปซักระยะตอนนี้พวกเขาก็ตื่นตัวเต็มที่แล้ว
เจ่าไห่จึงเรียกพวกทาสมาเพื่อกั้นห้องตามที่ตั้งใจไว้ จากนั้นก็นำไม้ที่จำเป็นออกมาสร้างห้อง ซึ่งแต่ละห้องนั้นมีอยู่ด้วยกันสามเตียง ห้องหนึ่งสำหรับเมอร์ริน เม็กและเดซี่ในขณะที่อีกห้องเป็นของบล๊อค ร๊อคและแอน
ซึ่งเหตุผลที่เจ่าไห่ให้เดซี่และแอนมาอยู่กับพวกเขานั้นก็เพื่อที่จะสร้างความแตกต่างให้กับพวกทาส
แม้ว่าเดซี่และแอนจะมีฐานะเป็นสามัญชนและเป็นข้ารับใช้ของตระกูลบูดา แต่พวกเขาก็ยังมีความสัมพันธ์กับพวกทาสอยู่ ซึ่งเขานั้นอยากจะบอกพวกทาสแล้ว สถานะที่เปลี่ยนไปนั้นทำอะไรได้บาง ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร หรือการนอน เขาสร้างความแตกต่างเพื่อที่จะกระตุ้นพวกทาสเหล่านี้พยายามที่จะเปลี่ยนสถานะของตัวเอง มันคือนโยบายของเขาในตอนนี้
เจ่าไห่นั้นเป็นแค่โอตาคุที่ไม่มีทักษะในการจัดการอะไรเป็นพิเศษ แต่เขานั้นเป็นนักอ่านตัวยง แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นนิยาย แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาสามารถนำบางอย่างในหนังสือมาใช้ ทุกอย่างที่เจ่าไห่รู้นั้นมาจากโรงเรียนและการอ่านนิยาย
แม้ว่าเรื่องที่นิยายบอกนั้นอาจไม่ใช่ความจริง แต่การเขียนเหล่านี้ก็มาจากประสบการณ์ของผู้เขียน ที่พวกเขาเหล่านั้นเอาทุกอย่างที่พวกเขารู้เขียนมันอออกมา จึงทำให้พวกมันน่าอ่าน เจ่าไห่เองก็ชอบหนังสือประเภทนั้นเพราะเขาสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งที่มีประโยชน์ได้
แม้ว่าสิ่งที่เจ่าไห่กำลังพบเจอนั้นอาจจะเหมือนกับนิยายแฟนตาซี แต่มันคือเรื่องจริง เจ่าไห่เขาใจว่าถ้าเขาตายที่นี้ คือเขาตายอย่างแน่นอน และนี้ไม่ใช่เกมหรือความฝัน แต่มันคือชีวิตหนึ่งจริงๆ
พวกเราทุกคนนั้นล้วนใช้สิ่งที่เรียนรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิต ซึ่งเจ่าไห่เองก็เป็นหนึ่งในนั้นแม้ว่าสิ่งที่เขารู้มานั้นจะถูกต้องหรือไม่ เขาก็สามารถที่จะลองเพื่อเรียนรู้และมันเป็นสิ่งที่เดียวจะทำให้ผู้คนนั้นเติบโตขึ้นจริงไหม?