ตอนที่ 38 – ความรู้
เจ่าไห่นั้นไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นนอกกระท่อมนั้น แต่เขาก็เชื่อว่าเมอร์รินนั้นสามารถจัดการได้ ตอนนี้เขานั้นรู้สึกเหนื่อยมากและอยากจะหลับซักที
จากนั้นเขาก็เสกผ้าห่มออกมาจากโรงนาก่อนจะนอนลงบนเตียง เพียงแค่ไม่นานเขาก็หลับลง หลังจากที่ได้ดื่มน้ำแห่งความว่างเปล่าไปทำให้ร่างกายของเขานั้นไม่แข็งแรงเท่าคนอื่นทั่วไป และด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ร่างกายของเขารับไม่ไหว
ที่ข้างนอกกระท่อมนั้นพวกทาสก็กำลังพักผ่อนกันอยู่ ซึ่งมันเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับพวกทาสจึงทำให้พวกเขานั้นไม่พูดอะไรออกมา พร้อมด้วยผ้าห่มนุ่มๆนั้น ทำให้ทั่วทั้งมิตินั้นเงียบสงบ แม้แต่หน้าประตูกระท่อม บล๊อคและร๊อคก็นั่งลงงีบหลับ
หลังจากนั้นสองชั่วโมง เมอร์รินก็ตื่นขึ้นมา เธอนั้นเดินไปที่กระท่อมและเปิดประตูเพื่อดูเจ่าไห่ว่าหลับหรือไม่ ก่อนที่เธอจะค่อยๆปิดประตูอย่างเงียบๆ
จากนั้นเมอร์รินก็มองไปยังพวกทาสที่กำลังพักผ่อนซึ่งบางคนก็ตื่นขึ้นมาและนั่งอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
แม้ว่าเมอร์รินนั้นรู้ว่าเธอนั้นจะต้องสอนหนังสือแก่พวกทาสเหล่านี้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่านี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ การสอนคนเหล่านี้จะสร้างเสียงดังซึ่งเธอนั้นยังไม่อยากรบกวนเจ่าไห่ที่หลับในตอนนี้
แต่เธอนั้นสังเกตุเห็นหัวไชเท้าที่พึ่งปลูกไปก่อนที่เธอนั้นจะหลับแต่ตอนนี้มันเริ่มเจริญเติบโตแล้ว มันทำให้เธอนั้นรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นพืชในมิตินั้นเจริญเติบโตได้เร็วขนาดนี้
เมอร์รินั้นจึงก้มลงไปดูเมล็ดหัวไชเท้าอย่างใกล้ชิด เธอสังเกตุเห็นต้นกล้านั้นดูแข็งแรงอย่างมาก
ในขณะเดียวกันเม็กก็เดินเข้าไปหาเมอร์รินและก้มลงก่อนจะกระซิบว่า “ยายเมอร์รินค่ะ ทำไมหัวไชเท้าเหล่านี้ถึงโตเป็นต้นกล้าได้เร็วขนาดนี้ มันเป็นเพราะว่าเป็นผักเวทย์มนตร์อย่างนั้นเหรอค่ะ?”
เมอร์รินยิ้มเล็กน้อย “นายน้อยเคยบอกยายว่า ตราบใดที่พืชนั้นปลูกในมิติแห่งนี้มันจะเจริญเติบโตได้เร็วมาก แต่ยายไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเติบโตได้เร็วขนาดนี้”
“ในมิติแห่งนี้หัวไชเท้าเวทย์มนตร์นั้นจะเติบโตเต็มที่ทุกๆแปดชั่วโมง” เสียงของเจ่าไห่นั้นส่งมาจากด้านหลังของพวกเธอ
เมอร์รินและเม็กนั้นรู้สึกตกใจ ก่อนที่จะหันไปหาเจ่าไห่ ซึ่งมีบล๊อคและร๊อคเดินมาอยู่ข้างหลัง เมอร์รินก็ลุกขึ้นยืน “นายน้อย นี้คุณพูดจริงอย่างนั้นหรือ? หัวไชเท้านี้จะเติบโตเต็มที่ในแปดชั่วโมง?”
เจ่าไห่พยักหน้าก่อนจะชี้ไปยังไร่ข้าวโพด “ไร่ข้าวโพดนั้น ในมิติแห่งนี้ พวกมันใช้เวลาแค่ 14 ชั่วโมงก่อนที่จะเติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว”
จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังไร่ข้าวโพดที่เจ่าไห่ชี้ พวกเขาก็เห็นข้าวโพดที่มีใบสีเขียวที่แข็งแรง
เจ่าไห่นั้นหันไปหาเมอร์ริน “พวกเราจะมีอาหารพอสำหรับทุกคน ดังนั้นมันจะดีกว่าที่ได้อยู่ในมิติแห่งนี้แทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรพวกนั้น”
“นายน้อยพูดถูกแล้วค่ะ” เมอร์รินกล่าวว่า “ถ้าพวกเรานั้นไม่ต้องกังวลเรื่องของอาหาร การที่พวกเราอยู่ที่นี้นั้นจะดีกว่าข้างนอก”
เจ่าไห่นั้นมองไปยังรอบก็เห็นพวกทาสนั้นตื่นกันขึ้นมาแล้ว พวกทาสเหล่านั้นก็ยืนขึ้นก่อนจะทำความเคารพเขา “ยายเมอร์ริน คุณช่วยสอนหนังสือให้กับพวกทาสให้อ่านหนังสือได้ด้วย ส่วนผมและบล๊อคนั้นจะไปขุดเตาเพื่อปรุงอาหาร”
ตอนนี้พวกเขานั้นมีปากท้องกว่าร้อยคนที่จะต้องเลี้ยง แม้ว่าเจ่าไห่นั้นจะมีเสบียงได้มาจากคลังใต้ดิน แต่เขาก็ต้องการจะทำบางอย่างให้ทาสได้ทาน ดังนั้นเขาจะต้องหาสถานที่สำหรับจุดไฟ ซึ่งมันไม่มีที่แบบนั้นในมิติ เขาจึงทำได้เพียงขุดเพื่อทำเตาอย่างง่ายๆขึ้นมา
“นายน้อย โปรดได้ให้พวกทาสได้ทำงานนั้นเถอะค่ะ” จากเมอร์รินจึงต่อไปว่า “พวกเขานั้นจะใช้เวลาทำน้อยกว่า และมันจะดูแปลกถ้าคุณเป็นคนทำ”
เจ่าไห่มองไปยังทาสและพยัหหน้าตกลง ถ้าหากพวกทาสนั้นได้เรียนการอ่านและการเขียนในขณะที่นายน้อยนั้นขุดเตาขึ้นมา มันจะทำให้พวกทาสเหล่านี้กลัวเพราะมันเป็นสิ่งที่ขัดกับที่พวกเขานั้นรู้มา
เมื่อเมอร์รินเห็นเจ่าไห่ตกลง เธอจึงจัดทาสบางคนเริ่มขุดสร้างเตาขึ้นมา โชคดีที่เจ่าไห่นั้นเก็บข้าวของและเสบียงในปราสาทไว้ในโรงนา พวกเขาจึงไม่ขาดเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน
แม้ว่าพวกเขานั้นจำเป็นต้องให้อาหารแก่ผู้คนทั้งร้อยคนนั้น พวกเขาก็ใช้คนเพียงแค่สิบคนในการขุดเตาขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็ใช้หม้อที่กรีนนั้นซื้อมาสำหรับพวกทาส
พวกเจ้าของทาหลายคนนั้นจะใช้หม้อประเภทนี้ในการทำอาหารสำหรับพวกทาสเพราะมันเป็นวิธีที่งานที่สุด ในขณะที่พวกทาสกำลังทำงาน พวกเขาเพียงแค่ใช้คนสองคนในการลำเลียงหม้อและหุงข้าว จึงทำให้ประหยัดเวลาอย่างมาก
ทาสทั้งสิบก็ขุดขอบเตาขึ้นมาอย่างสวยงาม แต่มันก็ยังไม่สามารถจุดไฟได้ในตอนนี้ เจ่าไห่นั้นยังคงรอให้ข้าวโพดนั้นโตเต็มที่ก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่มีสิ่งของไหนที่จะใช้เผาแล้วต้องใช้ฝืนที่พวกเขาซื้อมา ซึ่งมันน่าเสียดาย
เจ่าไห่นั้นรู้ดีว่าตอนนี้พวกเขานั้นกำลังขาดแคลนไม้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ปู่กรีนนั้นจะกลับมา หลังจากที่กรีนกลับมา เขาน่าจะสามารถขายหัวไชเท้าออกไปเป็นเงินได้ และซื้อไม้กลับมาด้วย แต่ตอนนี้เจ่าไห่นั้นยังไม่อยากจะเสียทรัพยาการในมือตอนนี้
หลังจากดูขอบของเตาแล้ว เจ่าไห่ก็พยักหน้าบอกให้ทาสหยุดและหันไปมาเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน ข้าวโพดนั้นต้องใช้เวลาอีกสองชั่วโมงก่อนจะเก็บเกี่ยวได้ ช่วยเวลานี้ คุณก็สอนให้พวกเขานั้นรู้จักตัวอักษรก่อน ผมจะเข้าไปพักในกระท่อมสักหน่อย”
เมอร์รินพยักหน้าและเมื่อเจ่าไห่นั้นเดินไปยังกระท่อมแล้ว เธอก็หันไปทางพวกทาส “ไม่ต้องกังวล ในสองชั่วโมงนี้ ข้าวโพดถึงจะเก็บเกี่ยวเป็นอาหารได้ ดังนั้นช่วงเวลานี้พวกเจ้าจะต้องเรียนกอ่านหนังสือ..”
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบพวกทาสก็รู้สึกตื่นเต้น พวกทาสนั้นไม่สามารถอ่านหนังสือได้มันเป็นเรื่องปกติที่พวกทาสนั้นจะไม่ได้รับการสอน ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่พวกทาสนั้นไม่เคยได้สัมผัสและในตอนนี้พวกเขาก็ได้ยินว่าเมอร์รินนั้นกำลังจะสอนพวกเขา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมพวกเขาจะไม่ตกใจล่ะ
เมอร์รินตะโกน “เงียบ!”
แม้ว่าพวกทาสจะสงบลง แต่พวกเขาก็ยังดูตื่นเต้นและจ้องมองไปยังเมอร์ริน “พวกเราตระกูลบูดานั้นไม่เหมือนกับขุนนางคนอื่นๆ นายน้อยของพวกเรานั้นใจกว้างพอที่จะให้ทุกคนนั้นได้เรียนรู้ ถ้าพวกเจ้านั้นสามารถที่จะเรียนรู้คำได้อย่างรวดเร็ว นายน้อยสามารถให้เจ้าได้กลายเป็นสามัญชน พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
และคำพูดสุดท้ายนี้มันทำให้พวกทาสนั้นตื่นเต้นและตกใจยิ่งขึ้นไปอีก การที่เจ่าไห่สอนหนังสือพวกเขานั้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว แต่ถ้าพวกเขานั้นเรียนรู้ได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาจะได้กายเป็นสามัญชนด้วย สำหรับพวกทาสแล้ว มันเหมือนกับการที่เขาได้ทานอาหารอย่างเต็มอิ่มและยังได้รางวัลอีกด้วย จะมีสิ่งใดที่ดีเท่านี้ได้ล่ะ
“ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าสามารถสอนพวกเจ้าให้รู้จักคำง่ายก่อนสบคำ โดยในสองชั่วโมงนี้เจ้าต้องจำมันและเขียนมันได้” จากนั้นเธอหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา
พวกเขานั้นไม่มีกระดานดำ ดังนั้นวิธีเดียวที่สอนได้คือการเขียนลงบนกระดาษ ซึ่งเนื่องจากมีทาสจำนวนมากทำให้เธอนั้นใช้กระดาษหนึ่งแผ่นต่อหนึ่งคำเพื่อที่จะเขียนตัวอักษรให้ใหญ่พอสำหรับคนข้างหลัง
เม็กนั้นยืนอยู่ข้างเมอร์รินคอยดูแลทุกคนซึ่งเดซี่และแอนก็ตั้งใจกับบทเรียนอย่างมากก่อนหน้านี้แม้ว่าเดซี่และแอนนั้นจะเป็นสามัญชนแต่พวกเขาก็ไม่เคยได้ไปโรงเรียนเนื่องจากไม่มีเงินพอ ดังนั้นนี้จึงเป็นโอกาสที่พวกเขาจะพลาดไม่ได้
เม็กนั้นเคยได้ไปโรงเรียนในจักรวรรดิ ในโรงเรียนหัวกะทิซึ่งเธอก็พบว่าปฏิกิริยาระหว่างทาสและนักเรียนพวกนั้นต่างกันโดนสินเชิง สำหรับลูกขุนนางเหล่านั้น พวกเขาคิดว่าโรงเรียนคือการทรมานรูปแบบหนึ่ง พวกเขานั้นไม่มีชีวิตชีวาเวลาเรียน และจะมีความสุขเมื่อเลิกเรียนและกลับบ้านไปเล่น ซึ่งอดัมก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่พวกทาสนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขานั้นตื่นเต้นและตั้งใจที่จะเรียนรู้คำต่างๆเพื่อที่จะอ่านออก และกลัวว่าพวกเขานั้นจะไม่สามารถจำบทเรียนได้ เพราะพวกเขานั้นไม่มีสิ่งใดไว้ใช้จด จึงทำได้เพียงแค่เขียนลงบนพื้น การต่อสู้เพื่อความรู้ของพวกเขานั้นทำให้เม็กนั้นรู้สึกได้ถึงความตั้งใจของพวกเขา
บล๊อคและร๊อคก็มองดูพวกทาสอยู่เช่นกัน ทั้งสองนั้นถูกเลี้ยงดูมาโดยตระกูลบูดาจึงทำให้พวกเขานั้นมีโอกาสได้เรียน แต่พวกเขาก็ไม่ได้จริงจังอย่างเช่นพวกทาสตอนนี้ ก็เพราะว่าพวกเขาตอนนั้นเป็นเด็กและไม่ค่อยฉลาด แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือพวกเขานั้นมีโอกาสที่จะได้เรียนง่ายเกินไป
พวกเขาจึงไม่รู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่มาได้อย่างง่ายดาย
พวกเขานั้นเรียนไปพร้อมกับอดัม แม้ว่าอดัมจะไม่ใช่คนฉลาด แต่ก็ถือว่าฉลาดกว่าสองพี่น้องนี้ แต่อดัมนั้นก็ต้องใช้ความพยายามหลายครั้งกว่าจะอ่านได้ และเมื่อมองไปยังพวกทาสที่ตั้งใจนั้น บล๊อคและร๊อคก็รู้สึกละอายใจ
เมื่อเมอร์รินเห็นถึงความตั้งใจของพวกทาส เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าการตัดสินใจของเจ่าไห่นั้นถูกต้อง ถ้าพวกทาสไม่รู้เรื่องการอ่าน เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสร้างอะไรให้กับตระกูลบูดาได้ ในขณะที่พวกเขานั้นมีความสามารถที่จำกัดและใช้ได้เพียงแค่แรงงาน แต่การที่พวกเขานั้นสามารถอ่านได้จะเปิดความสามารถของพวกเขาได้อย่างไม่จำกัดหามีหนังสือเพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ นั้นจะทำให้ตระกูลสามารถพัฒนาขึ้นไปได้ไกลกว่าเดิม ตระกูลบูดาต้องการคนที่จะช่วยพวกเขาในการกอบกู้ตระกูลขึ้นมา ดังนั้นเธอจึงสอนพวกทาสอย่างตั้งใจและจริงจัง