ตอนที่ 35 – บุกโจมตี
แม้ว่าเมอร์รินนั้นจะรู้สึกไม่ดีกับจักรวรรดิอาร์ซู แต่เธอก็หวังว่าซักวันเจ่าไห่นั้นจะสามารถกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อคืนฐานะเช่นเดิมได้ เพราะนั้นหมายความว่าตระกูลบูดานั้นกลับไปแข็งแกร่งดังเช่นเดิม
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เมอร์รินนั้นไม่รู้ก็คือเจ่าไห่นั้นไม่ตั้งใจที่จะกลับไปรับใช้ราชวงศ์อีกแล้ว และเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะได้รับการยอมรับจากขุนนางสายเลือดเก่า พวกขุนนางเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากที่พวกเขานั้นมีอำนาจ
ซึ่งมันเป็นมุมมองที่ต่างจากเมอร์รินซึ่งเธอนั้นเติบโตมาในทวีปอาร์ค ที่นี้นั้นแม้ว่าจะเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางแต่ถ้าสามารถทำให้พวกขุนนางสายเลือดเก่ายอมรับได้แล้วล่ะก็ การจะเติบโตขึ้นมามีอำนาจอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
แต่ชีวิตในอดีตของเจ่าไห่นั้น ไม่มีพวกขุนนางหรือจักรพรรดิอยู่เลย ตราบใดที่เขานั้นมีเงิน เขาจะมีอำนาจทำอะไรก็ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดที่จะต้องให้พวกขุนนางนั้นยอมรับในตัวเขา
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องศึกษาและเข้าใจความเป็นไปของโลกแห่งนี้ เพื่อที่จะนำไปใช้พัฒนาตระกูลบูดาให้รวดเร็วที่สุด
เมื่อกลับมายังห้องเรียน เขานั้นยังไม่รีบร้อนที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แต่เขากลับมองไปรอบอย่างระมัดระวังและพบหนังสือเกี่ยวกับเวทย์มนตร์และวรยุทธ แต่เมื่อเขาเปิดอ่านนั้นขึ้นมาเขาก็พบว่าตัวเขาเองนั้นแทบจะไม่เข้าใจเนื้อหาที่เขียนไว้เลย เมื่อไม่มีครูสอนนั้นทำให้เขานั้นไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้จากการอ่าน และนอกจากนี้เขาเองก็ดื่มน้ำแห่งความว่างเปล่าจึงทำให้ไม่สามารถเรียนเวทย์มนตร์หรือวรยุทธได้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงปิดหนังสือลงไป
สุดท้ายเจ่าไห่ก็กลับไปหยิบหนังสือความรู้ทั่วไปขึ้นมาอีกรอบ แต่ตอนนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นหนังสืออีกเล่ม ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวอักษร
หนังสือการประดิษฐ์ตัวอักษรนี้จะอธิบายถึงประเภทของการใช้ตัวอักษรต่างๆ ทำให้เจ่าไห่เขาใจว่าตัวอักษรแต่ละชนิดนั้นมีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันไป
ส่วนพู่กันนั้นจะใช้กับคนที่ทำงานเกี่ยวกับตัวอักษร แต่บางครั้งก็พวกนักเวทย์ก็ใช้สำหรับการสร้างคัมภีร์เวทย์มนตร์
ปากกาขนนกนั้นนั้นมักจะใช้ในงานที่ต้องมีความละเอียดอย่างเช่นใช้ในการเขียนคัมภีร์เวทย์มนตร์ขนาดเล็กและขนาดกลาง
และก็มีปากกาซึ่งมักจะถูกใช้เพียงสำหรับการเขียนและจดบันทึก เพราะข้างในปากกานั้นมีแคปซูลที่คอยเก็บหมึกไว้จึงทำให้มันสะดวกและสามารถเขียนหนังสือได้หลายคำอยู่ แต่ปากกานั้นจะไม่ใช้ในการสร้างคัมภีร์เวทย์มนตร์เพราะปลายปากการนั้นมักจะใช้โลหะที่ไม่ใช้ตัวนำเวทย์มนตร์ ซึ่งพวกนักเวทย์จะไม่ใช้ของพวกนี้ แน่นอนว่าโลหะบางชนิดนั้นเป็นตัวนำเวทย์ได้แต่มันมีราคาแพงมากๆ จึงไม่มีใครคิดที่จะใช้มันทำปากกา
เจ่าไห่นั้นอ่านเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ และแต่ละชนิดนั้นใช้ต่างกันอย่างไรบ้าง นอกจากนี้เขายังรู้ว่าพวกขุนนางนั้นจะใช้พู่กันในการลงนามในเอกสารสำคัญต่างๆด้วย
นี้คือสิ่งที่ทำให้เจ่าไห่ตกใจ ในอดีตนั้นเขานั้นอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับการประดิษฐ์อักษร แต่โชคร้ายที่เขานั้นไม่มีเงินจ้างครูมาสอน ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความฝันนั้นไป แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าในโลกนี้จะทำให้เขานั้นสามารถบรรลุความปรารถนาของเขาได้
แต่ตอนนี้เจ่าไหนั้นทำได้เพียงแค่จดจำการใช้งานและประเภทของเครื่องเขียนต่างได้เท่านั้น ด้วยการที่เขาอยู่ในแดนทมิฬการที่เขาหวังจะได้ทดลองศึกษาการดิษฐ์ตัวอักษรจริงๆนั้นคงเป็นไปได้ยาก
เจ่าไห่นั้นใช้เวลาช่วงบ่ายในห้องเรียนจนกระทั่งมีคนมาเคาะประตู “ใครน่ะ”
จากนั้นร๊อคก็ตอบกลับมา “นายน้อยครับ พวกเราได้รวมรวบหินไว้เรียบร้อยแล้ว กรุณาช่วยพวกข้าน้อยในการขนย้ายด้วยครับ”
เจ่าไห่นั้นวางหนังสือลงก่อนจะเดินไปเปิดประตู “งั้นไปกันเถอะ” จากนั้นเขาก็เดินไปกับร๊อค
ในขณะที่เดินไปเจ่าไห่ก็ถามว่า “การขุดเหมืองเป็นอย่างไรบ้าง?”
Rockhead พยักหน้า “ใช่หัวหน้า. แอนพบหลายเหมืองที่เราสามารถใช้ประโยชน์จาก ไม่มีแร่เหล็ก แต่เราควรจะสามารถที่จะได้รับหินที่เหมาะสมที่จะทำให้หิน Mill.”
“ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย” จากนั้นเจ่าไห่ก็กล่าวว่า “ตอนนีันั้นตระกูลบูดาเหลือคนอยู่ไม่มากแล้ว การสูญเสียคนของเราหนึ่งคนก็นับว่าเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวง ฉะนั้นจะทำอะไรก็ให้ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเข้าใจไหม?”
ร๊อคนั้นเข้าใจในสิ่งที่เจ่าไห่พูดเป็นอย่างดี แม้ว่าพวกทาสเหล่านี้จะมีแรงกระตุ้นในการทำงานอย่างดี แต่พวกเขาก็ไม่ควรที่จะขาดความอดทนในการรอคอย พวกเขานั้นควรให้ความสำคัญกับงานมากกว่ารางวัลที่จะได้รับ
พวกเขาทั้งสองนั้นก็เดินผ่านกลุ่มทาสผู้หญิงที่กำลังทอเสื่อกันอยู่แต่ พวกเขานั้นกลับไม่เห็นเดซี่และเม็กอยู่
เจ่าไห่จึงไม่เข้าไปทักทายพวกเขา และตรงไปยังเนินเขาทันทีโดยร๊อคตามมาด้วย ทันใดนั้นเขาก็เห็นบางอย่างเหมือนกับเพิงชั่วคราว เจ่าไห่จึงชี้ไปที่เพิงนั้นก่อนจะถามว่า “นั้นคือเพิงเพื่อใช้พักอาศัพสำหรับหอสังเกตการณ์เหรอ?”
ร๊อคพยักหน้า “ใช่แล้วครับ ยายเมอร์รินช่วยเราสร้างมัน ในเพิงนั้นมีคนคอยสังเกตการณ์อยู่สองคน และคอยสลับกันทุกๆสองชั่วโมง”
เจ่าไห่นั้นรู้สึกประทับใจมาก เมอร์รินนั้นเป็นบุคคลที่มีคุณค่ามากสำหรับตระกูลบูดา เธอนั้นสามารถหาตำแห่งนี้เหมาะสมในการสังเกตุการณ์ได้อย่างดี และยังมีการจัดเวรยามให้เหมาะสมด้วย
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนนั้นวิ่งลงมาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง แม้ว่าเจ่าไห่นั้นจะไม่รู้ว่าเขาตะโกนอะไรออกมา แต่เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เขาจึงหันไปหาร๊อค “ร๊อคไปที่เหมืองพาทุกคนกลับไปที่ปราสาทเดี๋ยวนี้ จากนั้นพาบล๊อคและคนของเขานั้นกลับไปด้วย ส่วนผมจะไปตามหาเม็ก”
“รับคำสั่งครับนายน้อย แต่คุณควรจะกลับไปปราสาทเดี๋ยวนี้ ตระกูลบูดาเราในตอนนี้ขาดคุณไม่ได้”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ผมเป็นนายน้อยของตระกูลบูดา ในเวลาเช่นนี้จะให้ผมทำตัวขี้ขลาดและหลบซ่อนได้ยังไง เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่งซะ”
จากนั้นเจ่าไห่ก็เดินจากไป แต่ทันใดนั้นร๊อคก็ล๊อคตัวเขาไว้ “นายน้อยโปรดอภัย คุณต้องกลับไปปราสาทเดี๋ยวนี้ ตระกูลบูดานั้นไม่อาจอยู่ได้หากไม่มีคุณ หากไม่มีคุณแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้น”
เจ่าไห่มองไปยังร๊อคที่ยังยืนกรานอยู๋เช่นนั้น ก่อนหน้านี้เขานั้นเคยไม่เชื่อฟังเจ่าไห่มาแล้วจนพี่น้องคู่นี้เอาดาบนั้นจ่อคอตัวเองไว้
เจ่าไห่ถอนหายใจ “ได้ ข้าจะกลับไปยังปราสาท แต่เจ้าจำไว้ด้วยละต้องพาทุกคนกลับมาให้ปลอดภัยที่สุด”
เมื่อร๊อคได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยตัวเขา
จากนั้นคนที่วิ่งลงมาจากเขาก็มาถึงก่อนจะคุกเข่าลงรายงานว่า “เจ้านาย มีซอมบี้สัตว์อสูรจำนวนมากกำลังปีนเขาขึ้นมา”
“มีใครอยู่ในเพิงนั้นไหม?”เจ่าไห่ถาม
“มีอยู่คนหนึ่งครับ” ชายคนนั้นตอบทันที “จะต้องมีใครคนหนึ่งคอยดูสถานการณ์ไว้”
เจ่าไห่นั้นรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “เจ้าโง่! ทำไมถึงปล่อยเขาไว้อย่างนั้น? ร๊อคไปเรียกอีกคนลงมาจากเขาทันที”
เมื่อร๊อคได้ยินเช่นนั้นจึงวิ่งออกไปทันที
จากนั้นเจ่าไห่ก็หันไปทางทาสคุกเข่าอยู่ “เจ้าชื่ออะไร?”
“เจ้านายคนก่อนหน้านี้เรียกข้าว่าหลิน”
“หลินกลับไปที่ปราสาทและหายายเมอร์ริน ถ้าหาเธอไม่เจอก็ให้บอกทุกว่าให้กลับไปทอเสือในปราสาท นี้คือคำสั่งไปเร็วแล้วอย่าพึ่งบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครนอกจากยายเมอร์ริน” [ผู้แปล : หลายคนจะงงว่าทำไมสั่งให้คนเข้าไปทอเสือในปราสาท คือเจ่าไห่ต้องการจะลดความตึงเครียดของสถานการณ์ให้พวกทาสไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่]
หลินนั้นเชื่อฟังอย่างง่ายได้ และวิ่งไปยังปราสาทันที เจ่าไห่นั้นจักร่างกายของตัวเองดี ว่าเขานั้นไม่สามารถที่จะวิ่งได้เร็วเท่าคนทั่วไปจึงสั่งให้ทาสนี้ส่งข้อความแทน
เจ่าไห่นั้นแค่เริ่มวิ่งไม่นาน แต่เขาก็เหนื่อยจนแทบจะขาดใจแล้ว
ในที่สุดเจ่าไห่ก็ถึงปราสาท เขานั้นเห็นพวกทาสนั้นกำลังทอเสือกันอยู่ข้างใน ทุกคนนั้นรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อมองไปรอบๆเจ่าไห่ก็เห็นเมอร์รินยืนอยู่
เมื่อเมอร์รินนั้นเห็นเจ่าไห่เธอก็วิ่งตรงมาหาเขาทันที “นายน้อยเราควรทำอย่างไรดี?”
เจ่าไห่นั้นก็ค่อยสูดหายใจเข้าก่อนจะตอบ “ยายเมอร์ริน ก่อนอื่นนับจำนวนคนที่นี้ก่อน และตรวจให้แน่ใจว่าอยู่ครบทุกคนจากนั้นค่อยปิดประตู”
เมอร์รินจึงตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ได้ค่ะ นายน้อย แต่คุณควรอยู่ที่นี้เพื่อนับจำนวน ส่วนฉันจะไปที่ประตู” เธอนั้นเดินออกไปโดยที่เจ่าไห่นั้นไม่มีโอกาสที่จะแย้งอะไรเธอเลยแม้แต่น้อย
เจ่าไห่เห็นเมอร์รินที่กลับจากไป เธอนั้นจะคอยดูแลเขาเสมอโดยให้เขานั้นอยู่ในส่วนที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งเขานั้นอยากจะเถียงเรื่องนี้ แต่เจ่าไห่ก็รู้ดีว่าพวกเขานั้นไม่มีพลังที่จะปกป้องตัวเองได้ รังแต่จะเป็นตัวถ่วงซะเปล่าๆ
จากนั้นเขาก็มองไปยังกลุ่มทาสซึ่งเป็นทาสหญิงประมาณ 30 คน เจ่าไห่จึงตะโกนว่า “เรียงแถว”
พวกทาสจึงยืนเรียงแถวกันอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เจ่าไห่นั้นคาดเดาไว้