ตอนที่ 34 – นักปราชญ์
เมอร์รินนั้นแทบจะไม่เชื่อสายตาของเธอ อดัม? กำลังอ่านหนังสือ? สิ่งที่เธอมั่นใจมากที่สุดในช่วงเวลาที่เธอดูแลอดัมนั้นก็คือเขาเกลียดการอ่านหนังสือ ซึ่งเขาจะทำก็ต่อเมื่อพ่อของเขาบังคับเท่านั้น
แม้ว่าเจ่าไห่จะทำสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่าง แต่เมอร์รินก็คิดว่าเพราะเขานั้นเป็นคนที่พึ่งพาได้มากขึ้น ซึ่งมันไม่เหมือนกับการเรียนหรือชอบอ่านหนังสือ
เพราะสิ่งที่เธอไม่รู้นั้นก็คือชีวิตในอดีตของเจ่าไห่ที่เป็นโอตาคุผู้ชื่นชอบในการอ่านหนังสือ เหตุผลที่เขานั้นไม่ได้อ่านหนังสือในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็เพราะว่าตอนแรกที่ตื่นขึ้นมากนั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆมากมายจนไม่มีอารมณ์ที่จะอ่าน
เจ่าไห่นั้นไม่ได้ทันสังเกตุเห็นเมอร์ริน เนื่องจากเขานั้นกำลังมีสมาธิจดจ่อกับการอ่านหนังสือ แม้ว่าหนังสือเล่นนี้นั้นจะเป็นเรื่องราวของการเดินทางและวัฒนธรรมแต่มันก็มีหลายสิ่งที่ทำให้เขานั้นได้เรียนรู้จึงเป็นประโยชน์กับเจ่าไห่อย่างมาก
อดัมนั้นไม่ใช่คนที่ยึดถือตามแนวทางปฏิบัติและไม่เคยสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับทวีปแห่งนี้ เจ่าไห่จึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย จากคำกล่าวในหนังสือนั้นทวีปแห่งนี้นั้นกว้างใหญ่มากซึ่งจะมีจักรวรรดิใหญ่ๆอยู่ 5 จักรวรรดิซึ่งมีประเทสรวมกันอยู่ 32 ประเทศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับทั้งทวีปแห่งนี้
นอกจากจักรวรรดิอาร์ซูที่เจ่าไห่อยู่แล้วมันยังมีจักรวรรดิโรเซ่น ,จักรวรรดิไลออน ,ศาสนจักร และจักรวรรดิสีคราม
เจ่าไห่ตอนนี้ได้ครอบครองแดนทมิฬซึ่งเป็นดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งติดอยู่กับบึงซากศพซึ่งเป็นหนึ่งในแดนต้องห้ามซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะพูดถึง
ส่วนอีกสี่แดนต้องห้ามที่เหลือนั้นก็คือภูเขาอสูร ,แดนหิมะขั้วโลกเหนือ ,เกาะทะเลเพลิงและที่สุดท้ายหุบเหวปีศาจซึ่งในตำนานกล่าวไว้ว่ามีปีศาจอาศัยอยู่ที่นั้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลืมที่ไม่เคยมีใครพิสูจน์
ซึ่งบึงซากศพแดนต้องห้ามที่ห้าซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่ามีซอมบี้สัตว์อสูรที่มีพิษร้ายแรงที่สุด
ในความทรงจำของอดัมนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย และนอกจากนี้แล้วในบันทึกเองก็มีการพูดถึงเกี่ยวกับแดนต้องห้ามนี้น้อยมากแต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ่าไห่
ในอดีตเขานั้นเป็นโอตาคุคนหนึ่งจึงทำให้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเวทย์มนตร์ ,เอลฟ์ ,มังกร ,คนแคระและอื่นอยู่แล้ว
ซึ่งหลังจากอ่านเสร็จ เจ่าไห่ยิ่งมั่นใจว่าเขานั้นต้องเก็บตัวเป็นอย่างดี เขานั้นไม่รู้ว่านักรบหรือนักเวทย์ระดับแนวหน้าของโลกนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หลังจากเห็นเวทย์น้ำของเมอร์ริน เขาก็พอจะบอกได้ ส่วนจะหาคนที่พลังเท่าเมอร์รินนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
จากนั้นเจ่าไห่ก็ปิดหนังสือ แม้ว่าจะมีหลายสิ่งที่เขาไม่ได้ใช้แต่มันก็ทำให้เขานั้นเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้มากขึ้น
โลกแห่งนี้นั้นต่างจากนิยายที่เขาเคยอ่านในอดีตอย่างเช่นนักเวทย์ที่ไม่สามารถต่อสู้ระยะประชิดหรือนักรบที่ไม่สามารถโจมตีระยะไกลได้ ในโลกนี้นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าร่างกายของนักเวทย์จะไม่แข็งแกร่งอย่างนักรบ แต่พวกเขาก็สามารถใช้เวทย์อย่างง่ายอย่างเวทย์สามขั้นแรกซึ่งแทบจะไม่ต้องร่าย จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องร่ายคาถา ดังนั้นนักรบจึงไม่กล้าที่จะฉวยโอกาสในการต่อสู้อย่างง่ายๆ
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ใช่ว่านักรบนั้นจะแพ้ได้อย่างง่ายๆ เพราะอย่าลืมว่านักรบส่วนใหญ่นั้นก็สามารถใช้ธนู หรือหอก และอาวุธระยะไกลชนิดอื่นๆได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นนักรบก็ไม่อาจมองข้ามได้
เจ่าไห่ลุกขึ้นยืนก่อนจะสูดหายใจเข้า หลังจากที่เขานั้นอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปนี้แล้ว เขาคิดว่าการตัดสินใจที่จะเก็บตัวอย่างเงียบๆนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เขาไม่เคยจิตนาการได้เลยว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งขนาดไหนในโลกแห่งนี้บ้าง
เมื่อเขาเดินไปที่หน้าต่างของห้องเรียน ซึ่งปิดโดยหน้าต่างที่ทำจากกระดาษ สามัญชนส่วนน้อยในทวีปที่จะมีหน้าต่างกระดาษในขณะที่ขุนนางนั้นใช้หน้าต่างกระจก แต่หน้าต่างกระจกนั้นค่อนข้างมีราคาแพง กรีนจึงไม่ซื้อมันมา
เจ่าไห่นั้นเปิดหน้าต่างออกและมองไปยังข้างนอก ห้องเรียนนั้นอยู่ที่ขั้นที่สามซึ่งมีแสงสว่างเข้ามาอย่างพอเหมาะ จากตรงนี้นั้นสามารถเห็นลานกว้างของปราสาทซึ่งมีทาสหญิงมากมายกำลังสานหญ้ากันอยู่
เมื่อมองไปยังผู้คนที่กำลังทำงานกันอย่างหนัก เจ่าไห่ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ คนเหล่านี้นั้นมีความสุขและพอใจในชีวิตตอนนี้แม้ว่าพวกเขานั้นกำลังเผชิญอยู่กับวิกฤตที่ยิ่งใหญ่
ตอนนี้เจ่าไห่นั้นเกลียดตัวเองที่ไม่มีพลังมากพอที่จะปกป้องคนเหล่านี้ได้ สิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดนั้นก็คือพาพวกเขาหลบหนีเข้าไปในมิติฟาร์ม แต่เขานั้นก็ไม่สามารถที่จะหลบหนีได้ทุกสิ่งอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะมาจากประตู ซึ่งก็คือเมอร์รินนั้นเอง “นายน้อยถึงเวลาสำหรับมื้อกลางวันแล้วค่ะ”
เจ่าไห่นั้นตัวแข็งทื่อไปสักครู่ เขาไม่คิดเลยว่าเวลานั้นผ่านไปเร็วๆจริงๆ แต่เมื่อมองไปยังข้างนอกอีกครั้งก็เห็นมีคนนั้นเดินกลับเข้ามาเพื่อทานอาหารกันแล้ว
เมื่อเขาเปิดประตู ก็เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน ทำไมยายถึงมีความสุขขนาดนั้นล่ะ”
“ไม่มีอะไรค่ะ นายน้อย ถึงเวลาทานอาหารแล้ว”
เจ่าไห่พยักหน้าก่อนที่จะตามเมอร์รินลงไป ซึ่งเม็กและคนอื่นๆก็รอเขาแล้วที่ห้องอาหาร
หลังจากที่ทุกคนนั่งลง เจ่าไห่ก็แบ่งงาน โดยเริ่มจากบล๊อค “บล๊อคเนื่องจากที่ข้านั้นสั่งให้เม็กนั้นไปช่วยสร้างเรือฟางแล้ว ข้าต้องให้เจ้านั้นพาคนไปหาพวกหญ้ามาเพิ่มเนื่องจากเม็กนั้นทำคนเดียวไม่ไหวอย่างแน่นอน”
บล๊อคพยักหน้า จากนั้นเจ่าไห่ก็หันหน้าไปยังร๊อค “ร๊อคส่วนเจ้านั้นคอยรวมรวบหินในเหมือง เมื่อเจ้าได้จำนวนหินที่มากพอแล้วก็ให้เรียกข้า ข้าจะจัดการขนหินพวกนี้เองเพราะมันสะดวกกว่ามาก”
ร๊อคพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นเจ่าไห่ก็สั่งงานให้กับแอน “แอนเจ้ามีหน้าที่ในการขุดเหมืองอย่างระมัดระวังและเลือกหินที่ใช้ได้ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน”
จากนั้นเจ่าไห่ก็สั่งงานกับเดซี่ต่อ “เดซี่เจ้าก็จัดการเรื่องแบ่งเสื่อฟางให้กับทุกคน จากนั้นก็นำทาสผู้หญิงนั้นไปช่วยเมอร์รินสร้างเรือฟางที่ใหญ่พอที่จะบรรจุคนหลายคน อย่ากลัวที่มันจะพลาดและเสียหญ้าพวกนั้นไป บนภูเขานั้นยังมีหญ้าพอที่จะทำมันได้สำเร็จ”
เดซี่พยักหน้า จากนั้นเจ่าไห่ก็หันไปคุยกับเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน คุณพูดว่าจะสร้างหอสังเกตุการณ์บนภูเขาเพื่อดูสถานการณ์รอบๆบึงซากศพ นอกจากจะช่วยให้เรารู้การเคลื่อนไหวรอบๆปราสาทแล้ว มันยังช่วยให้เรามีเวลาเตรียมตัวรับมือกับซอมบี้สัตว์อสูรอีกด้วย”
เมอร์รินพยักหน้าของเธอ “ใช่ค่ะนายน้อย เราคอยที่จะสร้างหอสังเกตุการณ์ไว้ แต่คุณไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณควรหาเวลาอ่านหนังสือมากกว่าเดิมเถอะค่ะ”
เจ่าไห่นั้นไม่คาดคิดว่าเมอร์รินจะพูดแบบนั้นกับเขา “ไม่ต้องเป็นห่วงยายเมอร์ริน ก่อนหน้านี้นั้นมีหลายเรื่องที่ผมต้องจัดการ หลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมจะอ่านมันอย่างแน่นอน”
เมอร์รินนั้นพยักหน้าตอบกลับ แต่เม็ก ,บล๊อคและร๊อคนั้นกลับช๊อคกับคำพูดนั้น พวกเขานั้นเติบโตมาด้วยกันกับอดัมแต่เด็กดังนั้นพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีความคิดที่จะอ่านหนังสือ
เมื่อประชุมงานกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็เริ่มทานอาหาร หลังจากที่เจ่าไห่นั้นทานอาหรเสร็จ เขาก็รีบตรงไปยังห้องหนังสืออีกครั้ง เขานั้นต้องการที่จะรู้จักโลกแห่งนี้มากขึ้นอีก
เมื่อเมอร์รินนั้นเห็นเจ่าไห่ไปห้องหนังสือ ดวงตาของเธอนั้นก็ประกายขึ้นมา แม้ว่าโลกแห่งนี้จะเคารพในความแข็งแกร่งของผู้คน แต่สำหรับผู้มีความรู้นั้นน่าเคารพยิ่งกว่า ขนาดในจักรวรรดิอาร์ซูนั้นมีงานหลายงานที่ให้พวกนักปราชญ์ช่วยงานเพราะจักรพรรดินั้นอาจทำพลาดได้
นั้นคือเหตุผลว่าทำไมเมอร์รินถึงมีความสุขขนาดนั้น เพราะเจ่าไห่นั้นดื่มน้ำแห่งความว่างเปล่าเข้าไปทำให้เขานั้นไม่สามารถที่จึงเรียนเวทย์มนตร์หรือวรยุทธใดๆได้ ส่วนมิติของเขานั้นเพียงใช้แค่หลบหนีเพื่อรักษาชีวิตของเขา ซึ่งมันอาจจะไม่เพียงพอ
เขานั้นยังต้องให้คนอื่นนั้นเคารพในตัวของเขาด้วย ถ้าเจ่าไห่นั้นไม่สามารถที่จะเรียนรู้เวทย์มนตร์หรือวรยุทธได้ ดังนั้นวิธีการเดียวที่เขานั้นจะทำให้คนอื่นเคารพตัวเขานั้นก็คือการเป็นนักปราชญ์