ตอนที่ 32 – ปลูกพืช
เจ่าไห่นั้นขึ้นบันไดไปยังห้องหนังสือโดยที่มีคนอื่นๆตามไปด้วย ที่ห้องหนังสือนั้นกรีนได้เตรียมหนังสือบางอย่างไว้ด้วย แม้ว่ามันจะไม่มีหนังสืออยู่มากมาก แต่มันก็มีปากกาและกระดาษเพียงพอ
เมื่อเห็นปากกา เจ่าไห่นั้นก็รู้สึกประหลาดใจ มันเป็นสิ่งที่ดูแปลกตาสำหรับเขาเพราะมันทำมาจากกระดูกสัตว์ ส่วนที่ปลายนั้นทำมาจากโลหะ ซึ่งมันดูเหมือนกันการผสมกันระว่างของโบราณและของสมัยใหม่เข้าด้วยกัน ส่วนกระดาษนั้นก็เป็นสิ่งที่พอจะเห็นได้ทั่วไปเจ่าไห่นั้นคิดว่ากระดาษนั้นจะเป็นสีขาว แต่ว่าเมื่อมองดูใกล้ๆแล้วมันออกสีเหลืองๆ ซึ่งมันเหมือนกับกระดาษคราฟท์ที่เจ่าไห่นั้นเคยเห็นตอนเด็กๆ
ในความทรงจำของอดัมนั้น ก็มีช่วงที่เขาทำตัวดีๆอยู่บางแม้ว่ามันจะมีความรู้เรื่องการเขียนอยู่เพียงน้อยนิดทำให้รู้เลยว่าเจ่าไห่นั้นขยันแค่ไหน
เจ่าไห่จึงหยิบปาการขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มวาดรูปบางอย่างบนกระดาษ หลังจากที่วาดเสร็จแล้วเขาก็มอบมันให้แอน
เมื่อแอนมองไปที่ภาพนั้นก็ตอบเจ่าไห่ว่า “นายน้อย กระผมนั้นสามารถสร้างสิ่งนี้ได้ แม้ว่ามันอาจจะไม่เหมือนเป๊ะก็ตาม แต่ข้าก็เคยสร้างของประเภทนี้มาแล้ว”
คำพูดของแอนทำให้เจ่าไห่นั้นรู้สึกมั่นใจมากขึ้น “ดีมาก ทำงานนี้ให้ดีๆล่ะ” จากนั้นเขาก็หันไปหาเม็ก “เม็ก เจ้าช่วยจัดหาคนซัก 40 คนตามแอนไปยังภูเขาด้วย ส่วนคนที่เหลือนั้นให้ช่วยกันหาพวกหญ้าวัชพืช ในขณะที่พวกทาสผู้หญิงก็เรียนการทอหญ้าจากเดซี่ หวังว่าพวกเขานั้นจะสามารถที่จะทอเสื่อมากพอที่จะใช้แขวนที่หน้าต่างของห้อง และถ้าหากพวกทานนั้นรู้สึกหนาวเวลานอนกับพื้นแล้วล่ะก็ เจ้าก็ให้พวกเขานั้นใช้พวกก้านข้าวโพดที่มีอยู่นั้นนำไปรองพื้น มันน่าจะสร้างเป็นเตียงให้พอจะนอนได้บ้างเพราะพวกนั้นมีจำนวนเตียงไม่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาอาจจะป่วยได้”
จากนั้นเจ่าไห่ก็พยายามนึกว่าเขานั้นลืมเรื่องอะไรอีกบ้าง “นอกจากนี้แล้วถ้ามีทาสคนไหนที่กล้าจะแสดงความสามารถและทักษะของพวกเขาออกมา เจ้าช่วยบอกข้าด้วย”
หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น เจ่าไห่และคนอื่นๆก็ออกมาจากห้องหนังสือ พวกเขานั้นเดินไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งก็พบกับเมอร์รินซึ่งบอกพวกเขาว่าอาหารเช้านั้นพร้อมแล้ว ที่โต๊ะอาหาร เจ่าไห่บอกเมอร์รินเรื่องที่เขาจัดการในวันนี้ ซึ่งเมอร์รินนั้นก็ไม่มีสิ่งใดคัดค้าน เธอเชื่อว่าสิ่งที่เจ่าไห่ต้องการนั้นคือการที่ทำให้พวกเขานั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เม็กก็ดำเนินการตามที่เจ่าไห่นั้นสั่งทันที เธอนั้นรวบรวมทาสผู้หญิงที่จะทำเสื่อจากหญ้าในขณะที่ทาสผู้ชายนั้นตามแอนไปหาหินที่ใช้สำหรับทำเครื่องโม่
เมื่อเห็นทุกๆคนทำงานกันอย่างหนักที่ปราสาท เจ่าไห่และเมอร์รินนั้นก็ไปยังทะเลสาบใต้ดินและเดินทางไปยังหุบเขา ซึ่งคราวนี้พวกเขาเดินทางกันเพียงแค่สองคน เนื่องจากว่ามันไม่มีอันตรายใดๆ เมอร์รินจึงคิดว่าการที่มีคนน้อยลงไปหนึ่งคนน่าจะเป็นการดีกว่า
เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงหุบเขา
แม้ว่าเจ่าไห่นั้นจะปรับปรุงพื้นที่แล้วเมื่อวานนี้ แต่มันก็ยังคงเปลี่ยนแปลงไปไม่มากเนื่องจากว่าเขานั้นสามารถเปลี่ยนพื้นที่ได้แค่หนึ่งมู่ต่อวันเท่าไหร่
หลังจากที่เขาทำการปรับปรุงพื้นที่วันนี้เสร็จแล้ว เมอร์รินก็พูดขึ้นว่า “นายน้อย พรุ่งนี้พวกเราควรจะนำทาสมาทำการพรวนดินเตรียมไว้สำหรับการปลูกพืชบางอย่างนะค่ะ”
เจ่าไห่ส่ายหัว เขานั้นต้องการที่จะใช้พื้นที่แห่งนี้ทำการทดสอบบางอย่าง เขานั้นยังไม่ลืมการแจ้งเตือนของพลั่วในมิติว่ามันสามารถนำมาใช้ข้างนอกมิติได้ เขานั้นต้องการจะเห็นว่าเมื่อมันอยู่นอกมิติแล้วเขานั้นจะยังสามารถควบคุมมันได้เช่นเดียวกับในมิติหรือไม่ ซึ่งถ้าหากทำได้เขาก็สามารถจัดการพรวนดินเองได้ในทุกวัน
เมื่อเมอร์รินเห็นเจ่าไห่ส่ายหัว เธอก็รู้ทันทีว่าเขานั้นจะต้องการทำอะไรบ้างอย่างด้วยตัวเองแน่ๆ
จากนั้นเจ่าไห่จึงสั่งให้พลั่วนั้นออกมาจากมิติ จากนั้นมันก็ทำการขุดหลุมอย่างต่อเนื่องจากนั้นเขาก็สั่งให้เมล็ดข้าวโพดนั้นถูกปลูกลงไปในหลุมที่ขุด ซึ่งเมล็ดข้าวโพดก็ค่อยๆลอยออกมาจากมิติลงไปในหลุมที่ทำการขุดไว้ เจ่าไห่นั้นรู้สึกมั่นใจว่าของในมิติที่นำออกมานั้นเขายังสามารถควบคุมได้เหมือนเดิมเมื่อเห็นเมล็ดข้าวโพดนั้นถูกฝังกลบลงไปในดิน
แต่แล้วเขาก็พบปัญหาบางอย่าง ซึ่งก็คือพลั่วและเมล็ดพืชนั้นไม่สามารถลอยออกไปได้เกินขอบเขตของตัวฟาร์ม นอกจากนี้มันยังไม่สามารถรับคำสั่งที่ซ้ำซ้อนจนเกินไปได้ ยกตัวอย่างเช่น พลั่วนั้นจะทำได้เพียงแค่ทำการขุดดิน และเมล็ดพืชนั้นก็ทำได้แค่ลอยลงไปในดินเท่านั้น เขานั้นยังอยากจะรู้ว่าน้ำมิตินั้นสามารถทำอย่างอื่นได้ไหมนอกจากรดน้ำบนพื้นดินซึ่งไม่สามารถทำอย่างอื่นได้อีก
เจ่าไห่นั้นรู้ไม่พอใจเล็กน้อย ถ้าหากเขานั้นสามารถที่จะบังคับน้ำได้ดั่งใจจริงๆ มันน่าจะสามารถใช้เป็นอาวุธโจมตีได้ แต่น่าเสียดายที่ว่ามันไมได้เป็นดั่งเช่นที่เขาคิด
แม้ว่าเจ่าไห่นั้นจะไม่พอใจ แต่เมอร์รินนั้นตกใจอย่างมาก เธอไม่เคยคิดเลยว่าเจ่าไห่นั้นจะมีวิธีการทำฟาร์มเช่นนี้ ซึ่งการทำงานของพลั่วนั้นดูเหมือนกับว่าเขานั้นเป็นพระเจ้า
หลังจากนั้นสองชั่วโมง พื้นที่ทั้งหมดก็ทำการปลูกพืชจนเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นพลั่วของเขาก็กลับเข้าไปในมิติอีกครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นพื้นที่เล็กๆแต่มันก็ทำให้เจ่าไห่นั้นรู้สึกพอใจอย่างมาก
เขานั้นสงสัยบางอย่างจึงหันไปถามเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน คุณสามารถใช้เวทย์มนตร์รดน้ำที่แห่งนี้ได้หรือไม่?”
เมอร์รินั้นเมื่อเธอได้สติขึ้นมาก็พยักหน้ากับคำถามของเจ่าไห่ ก่อนที่เธอจะเดินไปยังบ่อน้ำ ด้วยการร่ายคาถาไอน้ำจำนวนมากก็ลอยขึ้นมาจากบ่อรวมตัวกันในอากาศ จากนั้นมันก็ตกลงมาเป็นฝน
เจ่าไห่นั้นรู้สึกแปลกกับเวทย์มนตร์พวกนี้ เขานั้นรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นมันสามารถสร้างฝนเทียมได้
ในความเป็นจริงนั้นเจ่าไห่นั้นไม่รู้ว่านักเวทย์หลายคนนั้นไม่สามารถทำได้อย่างเมอร์รินเวทย์นี้นั้นจะมีเฉพาะเมอร์รินและนักเวทย์อาวุโสเท่านั้นที่สามารถทำได้ เนื่องจากมันเป็นเวทย์ที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ ซึ่งเวทย์มนตร์ที่ใช้ในการต่อสู้นั้นใช้ง่ายกว่ามาก
ภายใต้การควบคุมของเมอร์ริน เมื่อพื้นดินชุ่มชื้นแล้วเธอก็ทำการหยุดเวทย์ของเธอ
เจ่าไห่นั้นมองไปยังฟาร์มแล้วรู้สึกถึงความสำเร็จบางอย่าง จากนั้นก็หันหน้าไปยังเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน ที่นี้นั้นไม่เหมือนในมิติที่พืชนั้นเติมโตได้อย่างรดวเร็ว ดังนั้นนี้เป็นสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ พวกเราควรจะกลับกันได้แล้ว นี้คือสิ่งที่ผมสามารถทำได้มากที่สุดในการพัฒนาฟาร์มในหนึ่งวัน”
เมอร์รินพยักหน้าก่อนจะเดิมตามเจ่าไห่ไปยังถ้ำที่ออกมา
ขณะที่พวกเขานั้นเดินทางผ่านทางน้ำ เจ่าไห่หวังว่าซักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถเดินทางโดยใช้เรือได้แต่เนื่องจากพวกเขานั้นมีเครื่องไม้เครื่องมือและวัสดุไม่พอที่จะสร้างมันได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่หวัง
เมื่อพวกเขาทั้งสองนั้นมาถึงอีกฝั่งของทะเลสาบพวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง เจ่าไห่และเมอร์รินจึงเดินไปตรวจสอบก็พบทาสนั้นพยายามที่จะยกหินออกจากเหมือง
เจ่าไห่จึงรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ครั้งแรกที่เขาเห็นก้อนหิน แน่นอนว่าเขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นก้อนหินที่ดีหรือไม่ เขาแค่อยากจะรู้ให้แน่ชัดว่าก้อนหินนั้นมีขนาดใหญ่มากพอ
หินนั้นมีความสูงประมาณ 5 เมตรและความกว้างอยู่ที่ 3 – 5 เมตร เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรู้ได้ทันทีเลยว่าน้ำหนักมันไม่เบาเลยทีเดียว พวกเขานั้นใช้เชือกจำนวนมากมัดมันไว้และพยายามยกมันออกไปจากเหมือง
เจ่าไห่สั่งอย่างรวดเร็ว “วางหินลง ข้าจะนำมันกลับไปที่ปราสาทเอง พวกเจ้าไปสำรวจหาหินต่อไปว่ามีอีกหรือไม่”
ทาสนั้นมองงงด้วยความสงสัย พวกเขานั้นรู้ดีว่าหินนี้หนักแค่ไหน แล้วเขาจะยกมันกลับไปได้อย่างไร? ซึ่งเจ่าไห่เองนั้นก็ไม่อธิบายให้แก่พวกทาสฟังเพราะเขานั้นจะใช้มิติในการเก็บหินนี้เข้าไป
แม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งเช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงวางหินลงและเก็บเชือกต่างๆอยากไป
เมื่อเชื่อนั้นถูกคลายออกไป เจ่าไห่ก็สะบัดมือและส่งหินเข้าไปในมิติของเขา
พวกทาสนั้นตะลึงกับความสามารถของเขา แม้ว่ามันจะมีอุปกรณ์ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ในทวีปแต่มันก็มีแค่เฉพาะในหมู่ขุนนางชั้นสูง ขุนนางทั่วไปไม่สามารถครอบครองมันได้แม้ว่าพวกทาสจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้วแต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง
พวกเขานั้นคิดว่าเจ่าไห่คงใช้เวทย์บางอย่าง ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รู้ว่า “เจ้านายของพวกเขานั้นเป็นนักเวทย์ที่เก่งกล้า”
เจ่าไห่นั้นไม่อยู่ต่อดูทาสพวกนั้นแต่เดินไปยังปราสาททันทีโดยมีเมอร์รินติดตามไปด้วยในระหว่างทางพวกเขานั้นเห็นทาสจำนวนหนึ่งนั้นกำลังตัดหญ้าบนภูเขาอยู่ แต่เจ่าไห่นั้นไม่ได้ช่วยคนเหล่านี้ขนหญ้ากลับไป เนื่องจากว่ามันมีขนาดเบา และสามารถนำมันกลับไปได้ด้วยตัวเอง
ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางกลับมาถึงปราสาท บริเวณลานนกว้างของปราสาท พวกเขานั้นเห็นกลุ่มทาสผู้หญิงนั้นนั่งลงทอเสื่ออยู่กับเม็กและเดซี่