ตอนที่ 31 – หินโม่
เจ่าไห่นั้นกลับเข้าไปในมิติฟาร์มอีกครั้ง แต่คราวนี้เขานั้นไม่ได้พาใครไปด้วย เหตุผลที่เขานั้นอนุญาตเมอร์รินและเม็กเข้าไปยังมิติก็เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้แก่พวกเขาเพื่อให้พวกเขานั้นยังคงดูแลตระกูลบูดาต่อไป
เพราะเมื่อพวกเขานั้นรู้เรื่องมิติฟาร์มแล้ว มันจะสร้างความมั่นใจในอนาคตมากยิ่งขึ้น การที่พวกเขานั้นถูกเนรเทศมายังแดนทมิฬนี้นั้นก็ได้สร้างความโกลาหลให้แก่พวเขามากแล้ว ถ้าตอนนี้พวกเขานั้นสูญเสียความมั่นใจไปอีกละก็ ตระกลูบูดาได้ล่มสลายเป็นแน่
ในมิติฟาร์มนั้น เจ่าไห่ได้ทำการขายหัวไชเท้าของเขาโดยขายเพียงแค่ 3 ใน 4 ของทั้งหมด ซึ่งมันทำให้เขาได้เงินมาถึง 1500 เหรียญทองซึ่งเพิ่มจากเดิน 50 เหรียญทองและถ้าหากเขานำเงินจำนวนนี้ไปซื้อถุงเมล็ดหัวไชเท้าแล้วละก็ เขาสามารถที่จะสามารถปลูกหัวไชเท้าได้ถึง 10 รุ่น
หัวไชเท้านั้นสามารถที่จะสร้างเงินให้แก่เขาได้จำนวนมาก ถ้าหากเขานั้นขายทั้งหมดมันก็ได้เงินมากกว่านี้ แต่เขานั้นตัดสินใจที่จะรอกรีนกลับมาก่อน บางทีเขาอาจจะซื้อหนังสือเกี่ยวกับพืชบางอย่างกลับมาทำให้เขานั้นตัดสินใจได้ว่ามีพืชไหนบ้างที่ให้ผลผลิตได้ดีกว่าในอนาคต เพราะตอนนี้เขานั้นมีความรู้เกี่ยวกับพืชพันธุ์ในทวีปแห่งนี้น้อยมาก
พรุ่งนี้เขาจะปลูกหัวไชเท้าอีกรุ่นหนึ่งก่อน เขานั้นเคยบอกกรีนว่าเขานั้นมีหัวไชเท้าอยู่ 4 ตัน ซึ่งแม้ว่าเขานั้นจะขายไป 3 ส่วน ด้วยการปลูกชุดใหม่นี้ทำให้เขานั้นมีหัวไชเท้าในปริมาณที่เพียงพอ
แม้ว่าการขายหัวไชเท้าจะทำให้เขามีเงินถึง 1500 เหรียญทอง แต่มันก็ยังเป็นเงินเพียงเล็กน้อย เจ่านั้นยังรู้สึกไร้ประโยชน์อยู่เนื่องจาก Lv ของมิติฟาร์มนั้นต่ำเกินไป แม้ว่าเขาอยากจะซื้อพืชระดับสูง ก็ทำไม่ได้ ด้วยความเร็วเช่นนี้นั้น เขาไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเพิ่ม Lv ของเขา
จากนั้นเจ่าไห่ก็ออกไปจากมิติฟาร์มและนอนหลับบนเตียงของเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ่าไห่นั้นตื่นขึ้นเนื่องจากมิตินั้นแจ้งเตือนเขาเรื่องหัวไชเท้าที่โตเต็มที่แล้วแต่มันไม่ใช่เพียงแค่หัวไชเท้าเท่านั้น แต่ข้าวโพดเองก็เกือบพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวแล้วเช่นกัน
เจ่าไห่นั้นจึงทำการเก็บเกี่ยวหัวไชเท้า และซื้อเมล็กหัวไชเท้าอีกถุงทันที เพราะดูเหมือนว่าข้าวโพดนั้นต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่มันจะพร้อม ทำให้เจ่าไห่นั้นยังอยู่ในมิติต่อไป เขาจึงไปล้างหน้ากับบ้วนของของเขาในขณะที่รออยู่
เมื่อมองไปยังทุ่งข้าวโพดเขาก็รู้สึกอยากกินมันขึ้นมา ในอดีตนั้นเขาใช้ชีวิตอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครจะคิดจะกินข้าวโพดเป็นอาหารหลัก แต่บางครั้งเขาก็กินแทนมื้ออาหารซึ่งมันก็รสชาติใช้ได้ เจ่าไห่นั้นก็เคยได้ทานอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเมื่อเขานั้นเดินทางไปชนบทเพื่อเยี่ยมญาติของเขา เขาก็จะได้กินแพนเค้กข้าวโพดซึ่งมันอร่อยมาก
แพนเค้กข้าวโพดที่เขาได้ทานนั้นแตกต่างจากที่ซื้อในเมืองอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่ามันทำมาจากข้าวโพดเหมือนกัน แต่แพนเค้กของญาติเขานั้นจะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำซุปอันหอมหวานและข้าวแดงทอดกรอบ เมื่อกินด้วยกันมันทำให้ระเบิดกลิ่นให้เย้ายวนออกมา
เมื่อคิดแล้วเจ่าไห่ก็รู้สึกน้ำลายไหล ก่อนที่จะยิ้มแล้วกลืนน้ำไหลของเขาเข้าไป
ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะได้เคยได้กินอาหารเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่รู้วิธีทำมันอยู๋ดี และดูเหมือนว่ากระบวนการที่จะทำให้ข้าวโพดนั้นกลายเป็นแป้งข้าวโพดเพื่อที่จะทำแพนเค้กนั้นดูค่อนข้างยาก
ถ้าเป็นชีวิตในอดีตของเขานั้น กระบวนการนั้นจะง่ายดายมาก เพราะเพียงแค่คุณนั้นหาโรงงานและอุปกรณ์ที่ถูกต้องก็สามารถทำได้แล้ว แต่เมื่อคิดถึงตอนนี้มันก็คงจะยากอย่างที่บอก เพราะเขานั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปเครื่องมือพวกนั้นได้ที่ไหน
เจ่าไห่ถอนไห่ใจแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนขึ้นมา ว่าข้าวโพดนั้นพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว เจ่าไห่จึงทำการเก็บเกี่ยวทันทีก่อนที่จะปลูกข้าวโพดชุดใหม่ ในขณะที่มองไปยังทุ่งข้าวโพด เขาเองก็ยังคิดถึงกระบวนการทำข้าวโพดให้เป็นแป้งอยู่
แต่ทันใดนั้นเจ่าไห่ก็ค้นพบบางอย่าง ผู้คนนั้นต้องการที่จะบดข้าวโพดมาก่อนหน้านั้นหลายปีก่อนที่จะมีเครื่องจักรออกมา ในตอนนั้นผู้คนก็คงไม่ได้โง่ถูกไหม ดังนั้นเขาทำอย่างไรกับมันละ?
เจ่าไห่นั้นเดินวนไปวนมาพร้อมกับครุ่นคิดว่าบรรพบุรุษของเขานั้นทำแป้งข้าวโพดอย่างไร
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ถึงบางอย่างตอนที่เขานั้นดูทีวีอยู่ มันเป็นบางอย่างที่ไม่ได้ใช้กันมานานมากแล้ว แต่เขานั้นยังเห็นอยู่บางครั้งในชนบท
หินโม่ยังไงล่ะ!
ใช่แล้ว ตอนนี้เจ่าไห่นั้นไปหาญาติของเขา เขาเคยเห็นแผ่นหินกลมๆนั้น ซึ่งแผ่นหินนั้นแม้ว่าจะไม่ได้ใช่แล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงเก็บไว้อยู่ ด้วยความสงสัยเขาจึงถามเรื่องของแผ่นหินนั้น เขานั้นเคยถามญาติว่ามันคืออะไร จากนั้นพวกเขาก็สาทิตโดยการนำข้าวหรือข้าวโพดนั้นใส่เข้าไปก่อนที่จะหมุนแผ่นหินข้าวบนเพื่อที่จะบดมันลง
สิ่งสำคัยของเขานั้นคือเขานั้นต้องการหินและไม้บางส่วนเพื่อที่จะสร้างมัน แม้ว่าพวกเขานั้นจะมีหินไม่มากนักในถูเขาแล้ว แต่มันก็เพียงพอที่จะสร้างมัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เจ่าไห่ก็ออกจากมิติและมองไปยังท้องฟ้าข้างนอก ซึ่งดูเหมือนว่าเม็กน่าจะตื่นแล้ว เจ่าไห่จึงผลักประตูและออกจากห้องของเขา
เจ่าไห่นั้นก็เห็นเม็กและเดซี่กำลังแบกอ่างน้ำทองแดงมายังห้องเขา เมื่อพวกเขาเห็นเจ่าไห่ เม็กก็ตกใจ “นายน้อยค่ะ คุณเพิ่งตื่นอย่างงั้นหรือ? คุณล้างหน้าแล้วหรือยัง?”
“ฉันตื่นมาซักพักแล้วก็ล้างหน้าแล้วด้วย เดซี่พี่ชายของเจ้าอาหารดีขึ้นหรือไม่”
เดซี่ซึ่งยืนอยู่หลังเม็กตอบทันทีว่า “นายน้อยค่ะ พี่ของข้านั้นอาหารดีขึ้นแล้ว เขานั้นรออยู่ข้างนอกเพื่อที่จะพบคุณอยู่”
เจ่าไห่ยิ้ม “นั้นไม่ใช่สถานที่สำหรับรับรองผู้คน ไปเรียกแอนและบอกเขาไปเข้าไปในห้องนั่งเล่น ผมมีบางอย่างจะถามเขาเล็กน้อย”
เม็กนั้นตะลึงอยู่เล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เธอนั้นเดินตามเจ่าไห่ไปยังห้องนั่งเล่น ในขณะที่เดซี่นั้นไปตามพี่ชายของเธอข้างนอกปราสาท
ส่วนหลักของปราสาทกับห้องพักคนรับใช้นั้นไม่ได้อยู่ติดกัน คนรับใช้ของเดซี่และแอนนั้นจะพักอาศัยอยู่ที่ตึกเล็กๆข้างหลังของปราสาท แม้ว่าพวกเขานั้นจะได้กลายเป็นสามัญชนและได้ใช้นามสกุลบูดา แต่สถานะของพวกเขานั้นก็ยังห่างไกลจากเม็กเป็นอย่างมากพวกเขานั้นถึอว่าเป็นคนรับใช้ทั่วไป
จากนั้นไม่นานเดซึ่ก็กลับมาพร้อมกับแอน ซึ่งเขานั้นดูดีขึ้นมาก แม้ว่าดูจะตัวบางไปหน่อย แต่ก็ยังแข็งแรงอย่างมาก แม้ว่าเขานั้นจะไม่ดูเหมือนคนที่กำลังจะตาย แต่เขานั้นก็ยังก้มหน้าและไม่กล้าที่จะพูดคุยด้วย
เดซี่เดินเข้าไปหาและหยุดอยู่ตรงหน้าเจ่าไห่ “นายน้อย ข้าพาแอนมาพบท่านแล้ว”
เจ่าไห่พยักหน้า “เรียกเขาเข้ามา ผมมีบางอย่างจะถามเขาเล็กน้อย”
เดซี่นั้นเรียกเขาเข้ามา และเมื่อแอนเข้ามา เขาก็คุกเข่าและโค้งคำนับ “ยินดีที่ได้พบครับนายน้อย ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านครับ นายน้อย”
ดูเหมือนว่าเดซี่จะบอกเรื่องราวต่างๆกับเขาแล้ว จึงทำให้เขานั้นรู้ว่าเจ่าไห่นั้นให้เรียกเขาอย่างไร
“เจ้าไม่ต้องสุภาพกับข้าเช่นนั้นก็ได้” เจ่าไห่กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลบูดาแล้ว ลุกขึ้นยืนและตอบคำถามของข้าหน่อย”
แอนก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ครับนายน้อย” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน แต่เขานั้นก็ยังก้มโค้งอยู่และไม่กล้ามองไปยังเจ่าไห่
เจ่าไห่นั้นรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นแอนทำเช่นนั้น เขานั้นไม่ชอบที่จะมีใครมาทำกับเขาเช่นนี้ แม้ว่าแอนนั้นจะไม่ได้เป็นทาสแล้ว แต่เขานั้นก็ทำไปเพราะสัญชาตญาณของเขา “แอนเงยหน้าขึ้นมา เจ้าจงจำไว้ว่า ตอนนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลบูดาแล้ว เจ้าได้กลายเป็นสามัญชนแล้ว ในภายหลังถ้าเจ้ายังทำเช่นนี้อีก มันจะทำให้ตระกูลของเรานั้นเสียหน้าอย่าคุกเข่าอย่างเช่นพวกทาส มันจะทำให้พวกเขานั้นดูถูกตระกูลบูดาของพวกเรา”
เมื่อเห็นว่าเจ่าไห่จะโกรธ เดซี่และแอนจึงคุกเข่าลงในขณะที่โค้งคำนับ “นายน้อย ได้โปรดลงโทษพวกเราด้วย”
เจ่าไห่ถอนหายใจ เมื่อกี้ข้าเพิ่งสั่งว่าไม่ต้องคุกเข่าไม่ใช่เหรอ? “ลุกขึ้นยืน ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว” ทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนและเจ่าไห่สังเกตเห็นว่าแอนนั้นพยายามยืนตัวตรงมากที่สุด “แอน ข้าอยากถามเจ้าหน่อยว่า เจ้ามีทักษะในการก่อสร้างบางหรือไม่”
แอนตอบอย่างรวดเร็วว่า “ใช่ครับนายน้อย พ่อของข้านั้นเป็นคนก่อสร้าง ข้าได้เรียนรู้มาจากเขาเล็กน้อยแม้ว่าข้าจะไม่เชี่ยวชาญเท่าพ่อของเขา แต่ข้าก็พอจะสร้างบางอย่างได้”
เจ่าไห่พยักหน้า “ยอดเยี่ยม ข้าจะวาดภาพบางอย่างให้กับเจ้า เจ้าดูว่าตัวเจ้าสามารถสร้างมันขึ้นมาได้หรือไม่ ถ้าหากเจ้าสามารถทำได้ ก็ให้หาคนไปในเหมืองหิน ข้าต้องการที่จะสร้างมันให้เร็วที่สุด”
แม้ว่าหัวใจของแอนนั้นพยายามยึดมั่นในศักดิ์ศรีของการเป็นสามัญชนอย่างที่เจ่าไห่ต้องการ แต่เขาก็ยังโค้งคำนับ “ได้ครับนายน้อย”