ตอนที่ 30 – ถังแตก
ในช่วงเย็น เจ่าไห่ปล่อยให้เดซี่นั้นมาร่วมรับประทานอาหารเย้นกับตระกูลบูดา
เขาต้องการที่จะให้เดซี่นั้นเป็นตัวอย่างแก่พวกทาส เพื่อที่พวกเขานั้นจะได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ถ้าหากทาสเหล่านั้นต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาแล้วพวกเขาต้องคิดหาวิธีการที่จะสร้างบางอย่างที่เป็นคุณค่าแก่ตระกูล
ตอนนี้เดซี่ บูดานั้นรู้สึกประหม่า แม้ว่าเธอนั้นจะเคยเป็นสามัญชนมาก่อน แต่เธอนั้นก็รู้ว่าสามัญชนทั่วไปนั้นไม่มีโอกาสได้รับประทานอาหารร่วมกับขุนนาง
แต่เมื่อเมอร์รินนั้นยกอาหารเย็นมาให้กับทุกคน เดซี่นั้นรู้สึกตกใจ ตอนที่เธอนั้นยังเป็นสามัญชนอยู่ ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะไม่เคยเห็นอาหารที่พวกขุนนางได้ทานแต่เธอนั้นก็ได้ยินมาบ้าง ว่าพวกเขากินมากแค่ไหน และกินอะไรบ้าง สิ่งที่เธอได้ยินมานั้นมันรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก เธอนั้นเองก็เคยได้ยินว่าขุนนางบางคนใช้ทองหรือเงินนั้นมาทำจานหรือชามซึ่งเมื่อเจ่าไห่นั้นเชิญเธอมาทานอาหารกับพวกเขา เธอคิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น
แต่เมื่อเธอได้เห็นสิ่งที่เมอร์รินนำออกมานั้น เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาของเธอเลยว่า อาหารของเจ่าไห่นั้นเป็นเพียงขนมปังธรรมา พร้อมกับผัก เนื้อสัตว์และซุป ซึ่งเจ่าไห่นั้นเป็นคนเดียวที่มีเนื้อสัตว์ ดังนั้นอาหารที่พวกเขาได้ทานนั้นไม่ได้ดีกว่าไปพวกทาสเลยแม้แต่น้อย
เจ่าไห่นั้นสังเกตุเห็นท่าทางของเดซี่ ตั้งแต่ที่เธอเขามายังห้องอาหารนั้นเธอนั้นดูประหม่าจนทำได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นและไม่กล้านั่งลง เมื่อมองไปที่เธอ เจ่าไห่ก็หัวเราะหึๆก่อนเรียกเธอ “เดซี่มา นั่งลงซะ ผมให้เจ้าได้ใช้นามสกุลบูดาแล้ว ตามกฎนั้นเจ้าได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลบูดาแล้ว ไม่ต้องกังวล นั่งลงซะ”เจ่าไห่พูดพร้อมขยิบตาให้กับเม็ก
เม็กเข้าใจความหมายของเขา จึงเดินไปหาเดซี่และยิ้ม “เดซี่ นั่งลง นายน้อยนั้นไม่ชอบพิธีรีตรองมากนัก ทุกวันเราจะทานอาหารพร้อมกับนายน้อย ดังนั้นไม่ต้องกังวล ทำให้ใจสบาย”
เดซี่รู้สถานะของเม็กเป็นอย่างดี เธอนั้นคือสาวใช้ของตระกูลบูดา ซึ่งแม้ว่าจะเป็นคนรับใช้แต่พวกเขานั้นก็มีสถานะที่สูงกว่าสามัญชนอย่างมาก แต่หลายวันที่ผ่านมา เธอนั้นได้พบปะกับเธอ ทำให้เดซี่รู้ว่าเม็กนั้นเป็นคนดี แม้ว่าเธอนั้นจะเป็นคุมงานทาส แต่เธอนั้นก็ไม่เคยลงโทษพวกเขาเพราะเธอนั้นแค่มาดูว่าพวกเขานั้นทำงานตามที่สั่ง ดังนั้นความเครียดในตัวเดซี่ก็ค่อยๆลดลง
หลังจากที่เมอร์รินว่าถาดอาหารแล้ว เธอก็มองไปยังเดซี่ที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อย “เจ้าไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น หนูน้อย เจ้าวางใจได้ นายน้อยของพวกเรานั้นเป็นคนดีมาก บอกฉันเรื่องของเจ้าตอนที่เป็นสามัญชนหน่อยได้ไหม? แล้วเจ้านั้นกลายมาเป็นทาสได้อย่างไร?”
ดังรูปลักษณ์ของเมอร์รินที่ดูใจดี ทำให้ความกังวลของเดซี่หายไป เธอนั้นกระซิบเรื่องของเธอว่าเป็นมาอย่างไรจนกระทั่งเป็นทาสกับเมอร์ริน
เจ่าไห่นั้นไม่พูดอะไรและฟังเดซี่เล่าจนจบ ก่อนจะถอนหายใจ “มันช่างน่าตกใจจริงๆ ที่พวกขุนนางใช้วิธีนี้แล้ว โลกแห่งนี้ยังไม่เกิดการจลาจล เดซี่ ถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นคนรับใช้ของตระกูลบูดา ด้วยฐานของเจ้าที่เป็นสามัญชน เจ้าจะได้รับค่าจ่างรายเดือน พรุ่งนี้เจ้าตามเม็กและคอยเรียนรู้งานจากเธอ”
แม้ว่าเจ่าไห่นั้นจะรู้สึกตื่นเต้นที่เดซี่นั้นสามาถที่จะทอหญ้าพวกนั้นได้ แต่เขาก็รู้ว่างานหัตถกรรมของเธอนั้นไม่สามารถช่วยตระกูลอะไรได้มากนัก แต่เหตุผลที่เจ่าไห่นั้นให้รางวัลเช่นนี้กับเดซี่นั้นไม่ใช่เพราะทักษะของเธอแต่มาจากความกล้าหาญของเธอ เธอกล้าที่จะก้าวออกมาแสดงความสามารถให้เจ่าไห่ได้รับรู้ ซึ่งเขาหวังว่า เดซี่นั้นจะกลายเป็นตัวอย่างให้แก่ทาสคนอื่นๆให้ทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเขาก็เดินไปยังห้องนั่งเล่น
เมื่อเจ่าไห่นั่งลง เขาจึงพูดกับเดซี่ “เดซี่ ข้าจะให้บล๊อคและร๊อคนั้นช่วยนำเตียงและเครื่องนอนต่างๆให้เจ้า จากนั้นเจ้าก็ไปดูแลพี่ชายของเจ้าก่อน แล้วพรุ่งนี้ตอนเช้า ตามเม็กไปและทำตามสั่งที่เธอสั่ง และเมื่อไม่มีงานอื่นแล้ว เจ้าก็ทอพวกหญ้าเป็นเครื่องใช้ต่างๆให้แก่ทาสนอกปราสาทด้วย อากาศจะค่อยหนาวลงเรื่อยแล้ว เสื่อที่ทอนั้นน่าจะช่วยกันลมหนาวได้บาง”
เดซี่ตอบทันทีว่า “ได้ค่ะ เจ้านาย”
เจ่าไห่หัวเราะเล็กน้อย “เดซี่ ตอนนี้เจ้าเป็นคนรับใช้ของตระกูลบูดาแล้ว ไม่ใช่ทาสเช่นเมื่อก่อน เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าเจ้านายเหมือนตอนที่เป็นทาสแล้ว ให้เรียกข้าว่า นายน้อยเหมือนที่เม็กและคนอื่นๆเถอะ” จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาชายสองคน “บล๊อค ร๊อคเจ้าช่วยนำเครื่องนอกไปยังห้องของเดซี่และแอนด้วย เดซี่เจ้ากลับไปดูแลพี่ชายของเจ้า”
ทั้งสามจึงเดินจากไป เม็กและเมอร์รินที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นก็ได้ยินเสียงเจ่าไห่ถอนหายใจ “ผมหวังว่าเดซี่จะสามารถกระตุ้นพวกทาส แล้วทาสอาจจะทำบางอย่างที่จะช่วยตระกูลบูดาได้จริงๆซักที”
เมอร์รินพยักหน้า เธอนั้นรู้ดีว่าตอนนี้ตระกูลบูดานั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่แค่ไหน แม้ว่าพวกเขานั้นจะนำข้าวของเครื่องใช้ต่างๆมามากมายในแดนทมิฬแห่งนี้ แต่ส่วนมากจะเป็นเสบียงและเสื้อผ้า แต่มีอุปกรณ์เครื่องมือไม่มากนัก ซึ่งมันยังมีสิ่งของต่างๆอีกมากมายที่พวกเขาเองก็ไม่ได้ซื้อมา
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่มีปัญหาเรื่องเสบียงอาหาร แต่มันยังเรื่องกังวลเกี่ยวกับบึงซากศพอยู่อีก
เมอร์รินและเม็กนั้นมั่นใจในความสามารถของเธอ เธอเชื่อว่าถ้ามีสัตว์อสูรบุกมา พวกเธอยังสามารถที่จะจัดการมันได้ เพราะอย่าลืมว่าเธอนั้นเป็นนักเวทย์น้ำระดับแปด และเม็กเองก็เป็นนักเวทย์ลมระดับหกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้แล้วบล๊อคและร๊อคนั้นยังเป็นักรบระดับหกด้วย ดังนั้นพวกเขานั้นก็มีความสามารถพอที่จะจัดการกับสถานการณ์บางอย่างได้
แต่เหตุผลที่นั้นไม่สบายใจ เพราะเธอไม่แน่ใจว่าถ้าสัตว์อสูรนั้นมากจากบึงซากศพ เธอจะจัดการมันได้หรือไม่ เนื่องจากว่ามันเป็นสัตว์อสูรจากแดนต้องห้ามทั้ง 5 ของทวีป เพราะขนาดนักเวทย์ระดับเก้าที่เคยเข้าไป ยังมีโอกาสรอดกลับมาน้อยมากเลย
แม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้ไปยังบึงซากศพ แต่ถ้าพวกเขานั้นถูกโจมตีจากสัตว์อสูรจำนวนมาก เธอนั้นก็พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำว่าจะไล่พวกมันกลับไปได้ นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เมอร์รินนั้นยังไม่รู้สึกสบายใจ
จากนั้นจู่เจ่าไห่ก็ลุกขึ้นยืนและหันไปทางเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน ผมจะเข้าไปในมิติ หัวไชเท้าเวทย์มนตร์นั้นโตเต็มที่แล้ว และผมต้องการที่จะเก็บเกี่ยวพวกมัน คุณอยากจะมากับผมหรือไม่?”
เมอร์รินส่ายหัวของเธอ “ไม่ล่ะค่ะนายน้อย ดิฉันมีงานที่ต้องทำอีก ฉันต้องไปทำความสะอาดห้องครัวก่อน ให้เม็กไปกับคุณเถอะค่ะ”
เจ่าไห่พยักหน้าและหันไปเม็ก “เม็ก เจ้าต้องการที่จะไปสถานที่บางอย่างกับข้าไหมสถานที่แห่งนี้เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของตระกูลบูดา มีเพียงแค่ฉัน ยายเมอร์ริน บล๊อคและร๊อคเท่านั้นที่รู้ แม้แต่ปู่กรีนก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ฉะนั้นเจ้าต้องเก็บมันเป็นความลับด้วย”
เม็กเห็นน่าตาที่จริงจังของเจ่าไห่ เธอนั้นจึงแอบบมาไปยังเมอร์ริน ซึ่งกล่าวขึ้นมาว่า “เม็ก เจ้าเชื่อฟังนายน้อยเถอะ”
เม็กพยักหน้าของเธอทันที “ได้เลยค่ะ นายน้อย คุณมั่นใจได้เลยว่าข้าจะไม่บอกกับใคร”
จากนั้นพวกเขาทั้งสองจึงไปยังมิติฟาร์ม ปฏิกิริยาของเม็กนั้นเกือบจะเหมือนเมอร์ริน เธอนั้นส่ายหัวของเธอ ก่อนที่เธอมองไปที่หัวไชเท้าและต้นข้าวโพดที่กำลังเติบโตอยู่
เธอนั้นมองไปยังรอบมิติเวทย์มนตร์แห่งนี้ เธอเขาใจทันทีว่าทำไมมันจึงเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลบูดา เพราะมันคือความหวังเดียวที่จะสามารถฟื้นฟูตระกูลบูดาขึ้นมาได้
เจ่าไห่อธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับมิติแห่งนี้ในขณะที่เขากำลังเก็บหัวไชเท้าและใบของมันแยกออกจากกัน
หลังจากทำการเก็บเกี่ยวหัวไช้เท้าแล้ว เขาก็เปิดหน้าตาร้านค้าก่อนจะซื้อถุงเมล็ดหัวไชเท้าอีกรอบ ตอนนี้เขาเหลือเงินเพียง 50 เหรียญทอง แน่นอนว่าเขานั้นสามารถที่จะปลูกพืชอย่างอื่นได้ แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่จะปลูกพืชชนิดอื่นนั้นเอง
เมื่อเสร็จแล้ว เจ่าไห่หันไปเม็กและกล่าวว่า “เม็ก ที่นี้คือมิติที่เป็นความหวังของตระกูลบูดา ดังนั้นช่วยเก็บมันเป็นความลับห้ามบอกคนอื่นด้วย”
เม็กจึงตอบกลับว่า “นายน้อย ไม่ต้องเป็นห่วง ดิฉันเข้าใจดีถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ดิฉันจะเก็บรักษาความลับนี้ไว้อย่างดี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ่าไห่ก็พยักหน้า “งั้นพวกเรากลับกันเถอะ”
จากนั้นทั้งสองก็กลับไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งบล๊อคและร๊อคนั้นก็กลับมาแล้ว แต่พวกเขาทั้งสองนั้นก็ไม่ตกใจที่จู่เจ่าไห่และเม็กก็ปรากฎตัวขึ้นมา เพราะพวกเขานั้นเคยไปยังมิตินั้นแล้ว จึงรู้ว่ามันมีการทำงานอย่างไร
“ดีละ พวกเราไปพักผ่อนกันเถอะ” เจ่าไห่บอกกับทุกคน “พรุ่งนี้นั้นยังมีอีกหลายสิ่งที่จะต้องทำ เม็กอย่าลืมสอนงานต่างๆให้กับเดซี่ด้วย” จากนั้นเจ่าไห่ก็ค่อยๆเดินกับไปยังห้องของเขา
เจ่าไห่เอนตัวลงบนเตียงก่อนที่จะคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไป ตอนนี้เขานั้นถังแตกและมีเงินเหลืออีกแค่ 50 เหรียญทองซึ่งถ้าหากเขาต้องการจะขายสิ่งไหนในมิติ มันก็คงจะเป็นหัวไชเท้านั้น ก่อนที่ปู่กรีนจะกลับมา หัวไชเท้าพกวนี้นั้นยังไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักยกเว้นใบหัวไชเท้า แม้ว่าเขาจะตัดสินใจที่จะขายหัวไชเท้า แต่เขานั้นก็ไม่หมดกังวลเรื่องอาหารของบูลอายแรบบิท
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังมีข้าวโพดซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารได้อยู่ ดังนั้นเจ่าไห่จึงตั้งใจว่าจะไม่ขายข้าวโพดเหล่านั้น