ตอนที่ 29 – รางวัล
เจ่าไห่นั้นยืนขึ้นอย่างมีความสุข “พาฉันไปเจอทาสคนนั้นที”
เขาดึงมือของเม็กก่อนจะวิ่งไปยังกลุ่มพวกทาส เม็กนั้นตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะก่อนที่จะมองไปยังมือของเธอที่เจ่าไห่จับอยู่ ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความสุขและหวนนึกถึงอดีต แม้ว่าเธอจะอายอยู่บ้างก็ตาม
แต่เจ่าไห่นั้นก็ไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้และไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย แม้กระทั่งเมอร์รินที่ตามพวกเขาไป
มีทาสหลายคนนั้นอยู่ในนอกปราสาท ตรงบริเวณที่เม็กพบทาสคนนั้น เมื่อมองเห็นทาสคนนั้นดูเหมือนเขาจะเข้าใจบางอย่างผิดไป เพราะกลายคนว่าคนนั้นเป็นผู้หญิง ความคิดแรกของเจ่าไห่นั้นคิดว่าคนที่มีความกล้าขนาดนี้น่าจะเป็นทาสชายจึงไม่คิดว่าเป็นผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย
ทาสหญิงคนนี้นั้นดูตัวเล็กราวกับเด็กอายุ 10 ปีซึ่งน่าจะเป็นเพราะเธอนั้นขาดสารอาหารเธอนั้นดูบอบบางและตัวเล็กมาก ด้วยผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิง และเสื้อผ้าที่หยาบก้านของเธอที่สวมคลุมผิวสีเข้มไว้
ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะกังวลอยู่ไม่น้อย
แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะทาสทุกคนก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัวเหมือนกัน เมื่อพวกเขานั้นเห็นเจ่าไห่ออกมา พวกเขาก็รีบคุกเข่าและไม่กล้าที่จะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
“นายน้อย ชื่อของเธอคือบีน” เม็กกล่าวว่า “เธอนั้นมีอายุครบ 20 ปีในปีนี้ และเธอคือคนที่นำของสิ่งทอนั้นมาให้ฉัน”
เจ่าไห่พยักหน้าตอบ เจ่าไห่รู้ว่าในโลกนี้นั้น ทาสจะไม่มีชื่อจริง ชื่อของพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่คำๆหนึ่ง และคำๆนั้นก็เปลี่ยนเป็นชื่อของพวกเขา เจ่าไห่มองไปยังเด็กสาวที่ชื่อว่าบีนและกล่าวว่า “เงยหน้าของเจ้าขึ้นมา”
บีนนั้นเงยหน้าของเธอ แต่เธอนั้นก็ไม่กล้าที่จะมองไปยังเจ่าไห่ทำได้เพียงแค่จ้องมองไปที่หัวเข่าของเขาแทน
“เจ้าชื่อบีนอย่างงั้นเหรอ?”เจ่าไห่ถาม
บีนโค้งคำนับ “ใช่ค่ะ นายน้อย”
“เจ้าไปเรียนรู้วิธีการทอหญ้านี้มาจากไหนกัน”
“ข้านั้นไม่ได้เป็นทาสมาแต่กำเนิด สองปีที่แล้วนั้น ข้าเป็นสามัญชน ซึ่งครอบครัวของข้านั้นมักจะสานฟางอยู่เสมอ ทำให้ข้าเรียนรู้จากพวกเขา”
เจ่าไห่พยักหน้าตอบ แม้ว่าบีนนั้นจะพูดจาอย่างเหนียมอายแต่ เธอก็พูดเป็นประโยคได้อย่างถูกต้อง ซึ่งดูเหมือนว่าตอนที่เธอนั้นเป็นสามัญชน เธอนั้นได้รับการศึกษาอยู่บ้าง “ไปเอาหญ้ามาหนอ่ย และสานบางอย่างให้ผมหน่อย”
บีนจึงรีบวิ่งออกไปทันที เมื่อเธอกลับมา เธอก็ถือกองหญ้ากลับมา ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะเตรียมการมาพร้อมแล้ว หญ้าเหล่านี้นั้นถูกแช่งน้ำจนทำให้มันดูยืดหยุ่นมากขึ้น
“โปรดให้อภัยดิฉันด้วยค่ะ นายน้อย” บีนกล่าวก่อนที่นั่งลงบนพื้นก่อนจะเริ่มสานพวกหญ้าด้วยมือของเธอ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอนั้นกำลังจะสานเสื่อออกมา เธอทำงานด้วยความรวดเร็วจนได้เสื่อผืนเล็กออกมา พื้นผิวของมันนั้นค่อนข้างเรียบ แม้ว่าจะดูไม่แข็งแรงมากนักแต่ก็สวยงามพอดู
เจ่าไห่มองไปที่บีนที่คุกเข่าลงทันทีหลังจากที่เธอทักเสื่อเสร็จ “ดีมาก บีน ตระกูลบูดาจะตอบแทนรางวัลเจ่าอย่างงาม จากนี้ต่อไป เจ้าไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเจ่าไม่ต้องคุกเข่าต่อหน้าข้าอีกต่อไป เพียงทำความเคารพก็พอ และนอกจากนี้เจ่าจะได้ห้องส่วนตัวและได้รับเงินค่าจ้างในการทำงานของเจ้า ไม่เพียงเท่านี้ เจ่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลบูดาแล้ว จากนี้ไปเจ่าชื่อ บีน บูดา ไม่สิ ชื่อของเจ่านั้นไม่เหมาะกับผู้หญิงสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าจากนี้ไปเจ้าชื่อ เดซี่ บูดา”
เมื่อทุกคนได้ยินเจ่าไห่พูด พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่ทักษะงานหัถกรรมง่ายๆอย่างการทอหญ้านั้นจะทำให้เธอนั้นกลายเป็นสามัญชนได้ นอกจากนี้เธอยังได้รับค่าจ้างและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอนั้นได้รับชื่อและสกุลจากเจ่าไห่ เพราะสามัญชนทั่วไปนั้นน้อยคนจะมีโอกาสที่จะได้ใช้นามสกุลของขุนนางเช่นนี้
บีน ไม่สิ ตอนนี้เธอคือเดซี่แล้ว เธอนั้นรู้สึกตื่นเต้นจนร่างกายของเธอสั่นไปทั้งตัว เธอนั้นไม่เคยคิดเลยว่าจะได้กลับกลายเป็นสามัญชนอีกครั้ง เรื่องทั้งหมดนี้มันราวกับเป็นความฝัน
เหตุผลที่เดซี่ บูดานั้นมีความกล้าหาญที่จะแสดงออกถึงความสามารถของเธอก็เพราะว่าเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน ครอบครัวของเธอนั้นเคยมีที่ดินอยู่แม้ว่ามันจะเป็นพื้นดินเล็กๆก็ตาม ถ้าหากพวกเขานั้นไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร พวกเขาก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ขัดสนอะไร ร่วมทั้งพ่อของเธอที่เป็นช่างก่อสร้าง ทำให้พวกเขานั้นไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า
แต่แล้วที่ดินของพวกเขานั้นก็โดยแมลงบุกทำลาย และมันไม่ได้เป็นเพียงแค่พวกเขาอย่างเดียว มีหลายคนต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันนี้ เมื่อไม่มีผลผลิต มันส่งผลให้ราคาอาหารแพงขึ้น ครอบครัวของพวกเขานั้นถูกผลักดันจนไม่เหลืออะไรแล้ว เพื่อที่จะให้ครอบครัวนั้นมีกินได้ พ่อของเธอจึงทำงานอย่างหนักจนกระทั่งได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถที่จะทำงานต่อได้
เพื่อที่จะพาพ่อของเธอไปหาหมอ พวกเขาต้องขายที่ดินและบ้านที่พวกเขาอยู่ แต่เงินเหล่านั้นก็ไม่พอค่ารักษา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกและไปกู้เงินมาจากพวกขุนนางแต่พ่อของเธอนั้นก็ไม่สามารถทนอาการเจ็บป่วยนี้ได้และจากไปในที่สุด พวกเธอนั้นไม่สามารถที่จะจ่ายเงินกู้ที่ยืมมาได้ ขุนนางจึงนำแม่พี่ชายและเธอมาเป็นทาส แต่เพราะความโศกเศร้าจากการตายของพ่อ แม่ของเธอจึงตายตามไปอีกคน ก่อนที่แม่ของเธอจะตาย แม่ของเธอหวังไว้ว่าครอบครัวของเธอนั้นจะสามารถมีฐานะจากทาสกลายเป็นสามัญชนได้อีกครั้ง
แต่การที่จะเปลี่ยนฐานะจากทาสกลายเป็นสามัญชนอีกครั้งเป็นเรื่องที่ยากมาก ก่อนที่เธอจะถูกขายมายังตระกูลบูดา เดซี่นั้นเห็นทาสหลายคนพยายามที่จะคืนฐานะของตัว เคยมีชายคนหนึ่งที่มีลูกเป็นทาส พวกเขานั้นต้องการคืนฐานะให้กับเธอโดยกายขายบ้านให้กับขุนนางแต่ลูกสาวของเธอก็ยังไม่ได้ฐานะสามัญชนของเธอกลับคืนมา จนท้ายที่สุด เด็กสาวคนนั้นก็ถูกทรมานจนตาย
หลังจากที่เธอเห็นเช่นนั้นแล้ว เดซี่นั้นพยายามที่จะไม่ทำตัวเป็นที่สังเกตและคอยดูแลพี่ชายของเธอเพราะเขาคือญาติคนสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่
ต่อมาเจ้าของเดิมของเธอนั้นขายเธอให้กับผู้ค้าทาส ต่อมากรีนก็มาซื้อพวกเขาต่อไปอีกครั้งเพื่อมาแดนทมิฬแห่งนี้
ตอนแรกที่เธอนั้นได้ยินนายน้อยพูดว่าถ้าพวกทาสสามารถสร้างคุณประโยชน์ให้กับตระกูลบูดาได้มากพอ พวกเขาจะคืนฐานสามัญชนให้มันทำให้หัวใจของเดซี่นั้นพองโตขึ้นอีกครั้ง ในตอนแรกนั้นเธอไม่ต้องการที่จะแสดงตัวออกมาและกลัวว่าทักษะงานหัตกรรมของเธอนั้นจะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับนายน้อยเจ่าไห่ได้มากพอ เนื่องจากเธอนั้นทำได้เพียงแค่ทอหญ้าเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่เธอนั้นเฝ้าสังเกตุมาหลายวัน เธอก็พบว่าเจ่าไห่แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางแต่เขานั้นก็ไม่เหมือนกับคนอื่นๆที่เธอเคยเจอมา เขานั้นทำตัวง่ายๆและทุกๆวันพวกเขาก็ได้กินอาหารจนอิ่มท้องและยังเตรียมฟืนบางส่วนไว้สำหรับเผาไฟเพื่อให้ความอบอุ่นตอนกลางคืนด้วย
วันนี้เดซี่จึงตัดสินใจลองที่จะแสดงความสามารถของเธอเพราะว่าตอนนี้พี่ชายของเธอนั้นป่วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะเป็นอันตรายอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นทาส เธอจึงไม่มีหนทางใดๆเลยที่จะช่วยเขาเลยนอกจากจะเสี่ยงดูกับการกระทำในครั้งนี้
เดซี่นั้นตัวแข็งทื่อไปช่วงขณะกับสิ่งที่เจ่าไห่นั้นประกาศออกไปราวกับวิญญาณของเธอนั้นได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว “นายน้อย ข้าไม่สามารถรับรางวัลเช่นนี้ได้ ข้าแค่อยากจะช่วยพี่ชายของข้า ตอนนี้เขาป่วยอย่างมาก”
“โอ้ว เจ้ามีพี่ชายด้วยงั้นหรือ? ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ยึดรางวัลนี้กลับคืนเพียงเพราะเจ้านั้นมีพี่ชายหรอก เอาเป็นว่าข้าจะให้พี่ชายของเจ้าได้อยู่กับเจ้าด้วยเป็นอย่างไรล่ะ? พวกเจ้าทั้งสองจะได้ฐานะกลับมาเป็นสามัญชนและได้ใช้ชื่อตระกูลบูดา ถ้าอย่างนั้นแล้วพี่ชายของเจ้าชื่ออะไรละ? แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? แล้วตอนนี้เขาเป็นโรคอะไรอยู่?”
เดซี่ตกใจ เธอไม่เคยคิดเลยว่าเจ่าไห่นั้นจะอนุญาตให้พี่ชายของเธอนั้นมีฐานะกลับเป็นสามัญชนด้วย เมื่อความปรารถนาของแม่เธอนั้นเป็นจริงจู่น้ำตาของเธอก็เอ่อล้นออกมาเธอร้องไห้เสียงดัง “นายน้อย พะ..พี่ชายของข้าชื่อแอน ตะ…ตอน..นี้เขาอยู่ที่บ้านของข้า”
เจ่าไห่พยักหน้า “เอาล่ะ เจ้าลุกขึ้นเถอะ ตอนนี้เจ้ากลายเป็นสามัญชนแล้ว เจ้าไม่ต้องคุกเข่าต่อหน้าข้าอีกต่อไป เอาล่ะพาข้าไปหาพี่ชายของเจ้าที”
เดซี่ยืนขึ้นมาทันทีและพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ท่ามกลางสายของพวกทาสทั้งหลาย เดซี่พาเจ่าไห่ไปยังที่พักของเธอ มันเป็นบ้านหินที่มีขนาดประมาณ 20 ตารางเมตรซึ่งสามารถอาศัยอยู่ได้ประมาณ 4 คน พวกเขานั้นนอนลงบนพื้นโดยมีพวกหญ้าต่างๆ ปูไว้เพียงแค่นั้นเอง ตอนนี้มีชายคนหนึ่งนั้นนอนอยู่บนกองหญ้านั้น
ชายที่นอนอยู่นั้นดูเหมือนจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นซึ่งมีร่างกายที่ก่ำยัน และสวมเสื้อผ้าที่ค่อยข้างหยาบกร้านเช่นเดียวกับเดซี่ ซึ่งแน่นอนว่าที่หน้าผากของเขานั้นมีตาของตระกูลบูดาอยู่ที่หน้าผาก แต่ดูเหมือนว่าสุขภาพของเขาในตอนนี้ไม่ดีนัก เขายังหลับตาอยู่
เมื่อเจ่าไห่มองไปยังแอนก็สังเกตุเห็นบางอย่างก่อนจะถามเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน ทำไมหน้าของเขาจึงเป็นเขียวอย่างนั้นได้ละ?”
“นายน้อย ดูเหมือนว่าชายคนนึ้จะถูกพิษจากวัชพืชพิษที่เราเจอก่อนหน้านี้ เขาต้องพบวัชพืชนี้โดยไม่ได้ทั้งใจแน่ๆเพราะดูจากร่างกายแล้วตอนที่เขายังแข็งแรงนั้นพิษยังไม่ออกฤทธิ์มากจนกระทั่งเขากลับมามันถึงออกฤทธิ์เต็มที่
ใครจะรู้ว่าพิษของวัชพืชนั้นจะรุนแรงขนาดนี้ได้ เจ่าไห่จึงรีบถามยายเมอร์ริน “มันสามารถรักษาได้หรือไม่?”
เมอร์รินยิ้ม “ได้แน่นอนค่ะนายน้อย มันสามารถรักษาได้” เธอจึงร่ายคาถาจากนั้นก็มีแสงสีฟ้าปรากฎที่มือของเธอก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปยังร่างของแอน
จากนั้นตัวของแอนก็เริ่มเปล่งสีฟ้าจากนั้นก็มีควันสีเขียวถูกขับออกมาจากร่างกายของเขา จนในที่สุดสีผิวของเขาก็ค่อยๆกลับกลายเป็นปกติก่อนที่แสงที่เปล่งออกมาจะหายไป
เจ่าไห่นั้นไม่เคยคิดเลยว่าเวทย์มนตร์นั้นสามาถใช้ในการถอนพิษได้่ ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินความสามารถของเวทย์มนตร์ในโลกนี้ต่ำไป ตั้งแต่ที่โลกนี้นั้นมีการศึกษาเรื่องเวทย์มนตร์พวกเขานั้นก็พยายามพัฒนามันจนถึงขีดสุด มันจึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นความเขาใช้ทำสิ่งต่างๆได้
“นายน้อย ตอนนี้เขาปลอดภัยแล้ว” เมอร์รินกล่าวว่า “ตอนนี้ปล่อยให้เขานั้นหลับไปก่อนพรุ่งนี้เขาจะกลับมาเป็นปกติโดยสมบูรณ์”
เจ่าไห่พยักหน้าก่อนจะหันไปทางเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน พรุ่งนี้ช่วยจัดเตรียมห้องในปราสาทสำหรับเดซี่และพี่ชายของเขาด้วย ตอนนี้พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลบูดาแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ควรปฏิบัติกับเขาเช่นทาสคนอื่น”