ตอนที่ 25 – ฉลาดขึ้น
เมื่อออกมาจากถ้ำ เจ่าไห่และเมอร์รินนั้นก็ตกใจกับภาพของหุบเขาตรงหน้า
ตัวหุบเขานั้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1,000 มู่ ซึ่งแน่นอนว่าพื้นดินนั้นก็เป็นดินดำที่พบเห็นได้ในแดนทมิฬ ตรงกลางหุบเขานั้นก็มีแอ่งน้ำใสสะอาดอยู่ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 เมตรและตรงข้ามนั้นก็มีถ้ำเล็กๆ อยู่ตรงหน้าผา
เขาทำได้เพียงแค่ชื่มชมในสถาปัตยกรรมของคนแคระ พวกเขาออกแบบทั้งภูเขาแห่งนี้และสร้างทุกอย่างตามที่พวกเขานั้นต้องการ มันเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะจินตนาการได้ว่าพวกคนแคระนั้นทำได้อย่างไร
หลังจากมองไปรอบๆ เจ่าไห่ก็พยักหน้า “สุดยอด ดีจริงๆ บล๊อค เจ้าเจอถ้ำแห่งนี้ได้ยังไง”
บล๊อคหัวเราะออกมา “นายน้อย ตอนนี้กระผมนั้นพบหุบเขาแห่งนี้ กระผมก็กระโดดลงมาจากหน้าผา จากนั้นกระผมก็พบกับถ้ำสองแห่งนี้ ถ้ำอีกแห่งนั้นเต็มไปด้วยน้ำ แต่ถ้ำอีกอันนั้นคือถ้ำที่ผมใช้เดินออกไป”
เจ่าไห่พยักหน้าทำความเข้าใจ มันไม่หน้าแปลกใจเลยที่บล๊อคจะเจอถ้ำแห่งนี้ เพราะเขานั้นเดินเข้ามาจากทางหุบเขาก่อนนั้นเอง
เมอร์รินมองไปยังพื้นดินดำ มันเป็นไปตามที่บล๊อคบอก พื้นที่ตรงนี้เหมาะที่จะให้พวกเรานั้นสามาถทำฟาร์มได้ แม้ว่ามันต้องใช้เวลาในการปรับปรุงมันสักหน่อย แต่ถ้าจะหาสถานที่ที่ดีกว่านี้คงจะเป็นเรื่องยาก เจ่าไห่เองก็พอใจสถานที่ตรงนี้มาก เมื่อพวกเรามาทำฟาร์มที่แห่งนี้แล้ว การมีบ่อน้ำอยู่ใกล้ๆจะทำให้การทฟาร์มนั้นง่ายขึ้นอย่างมาก และถึงแม้ว่าบ่อน้ำตรงกลางจะไม่พอก็ยังสามารถหาน้ำได้จากถ้ำทั้งสอง
เมื่อบล๊อคเห็นเจ่าไห่พยักหน้า เขาก็พูดต่อไปว่า “นายน้อย คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมหุบเขาแห่งนี้ถึงต่างจากที่อื่น?”
เจ่าไห่นั้นตกใจชั่วขณะ เมื่อมองดูไปรอบๆอีกครั้ง เขาก็ไม่เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากสถานที่อื่นๆ ก่อนที่จะตอบไปด้วยความสงสัยว่า “ผมไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างจากที่อื่นเลย”
บล๊อคยิ้ม “นายน้อย คุณไม่รู้สึกหรือว่า ที่หุบแขาแห่งนี้นั้นจะอุ่นกว่าบริเวณอื่นของภูเขาลูกนี้ นอกจากนี้วัชพืชต่างๆนั้นก็ยังโตกว่าที่อื่น แม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่พวกวัชพืชเหล่านี้นั้นก็ไม่ควรที่จะสูงในระดับนี้จนทำให้ยากต่อการเดินมาถึงที่นี้ นั้นแสดงว่าหุบเขาแห่งนี้นั้นไม่น่าจะมีลมเย็นเข้ามาถึงได้ และมีสภาพอากาศที่เป็นแบบนี้ตลอดเวลา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็หุบเขานี้นั้นจะสามารถปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี”
ทิศทางที่บล๊อคชี้ไปนั้นก็คือวัชพืชที่เราเจอตรงเนินเขาก็หน้านี้ เจ่าไห่นั้นลืมคิดไปว่าวัชพืชเหล่านี้นั้นโตกว่าวัชพืชที่เคยเจอมากทั้งหมดบนภูเขาแห่งนี้
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าเด็กโงนี้จะสังเกตุเห็นิส่งเหล่านี้” เมอรืรินกล่าวต่อไปว่า “เจ้ากลายเป็นคนฉลาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลังจากที่เมอร์รินพูดถึงเรื่องนี้ทั้งเจ่าไห่และบล๊อคนั้นก็รู้สึกตกใจ เจ่าไห่เองก็คิดว่ามันแปลก ในความทรงจำของอดัมนั้น บล๊อคนั้นไม่เคยฉลาดแบบนี้ แล้วทำไมเขาถึงสังเกตุเห็นถึงความผิดปกตินี้ได้ละ
แม้แต่บล๊อคเองก็ยังสงสัย เขาไม่เข้าใจตัวเองแม้แต่น้อย ตั้งแต่ที่เขานั้นเข้าไปยังมิติประหลาดของนายน้อย มันเหมือนว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาแก่เขา เขาเริ่มสังเกตุเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นและคิดเรื่องราวต่างๆมากขึ้น
เมอร์รินจึงยืนมือออกไป หลังจากที่ทั้งสองนั้นไม่ตอบอะไรออกมา “นายน้อย มันเป็นไปอย่างที่บล๊อคพูดจริงๆ หุบเขาแห่งนี้นั้นจะคงสภาพอากาศแบบนี้ไว้ตลอดทั้งปี ทำให้เราสามารถปลูกพืชได้ทั้งปีเช่นกัน และมันยังมีธาตุน้ำเป็นจำนวนมากด้วย ตราบเท่าที่เราสามารถปรับปรุงพืชที่ให้สามารถเพาะปลูกได้ หุบเขาแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด”
“ยายเมอร์รินพูดถูกแล้ว” เจ่าไห่กล่าวว่า “ที่ตรงนี้ช่างเหมาะสมจริงๆ แต่มันยังมีปัญหาบางอย่างอยู่ หุบเขาแห่งนี้นั้นค่อนข้างที่จะไกลจากตัวปราสาท แม้ว่าพวกทาสจะสามารถเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ได้แต่มันก็ใช้เวลาพอสมควร และเราจะทำสิ่งต่างๆได้ยากลำบากขึ้นหากจำเป็นต้องเดินทางมาไกลขนาดนี้”
เมอร์รินยิ้ม “นายน้อย ท่านลืมไปได้อย่างไรว่ภูเขาแห่งนี้นั้นมีทะเลสาบใต้ดินอยู่ ซึ่งถ้าหากมันเชื่อมถึงกันแล้วละก็ เราสามารถใช้เรือเดินทางมาที่นี้ได้ นอกจากจะประหยัดเวลาแล้ว มันยังสามารถเก็บงำความลับของเราได้เป็นอย่างดี”
เจ่าไห่นั้นนั่งคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ถ้าหากพวกเราใช้ทะเลสาบเป็นเส้นทางในการเดินทางมายังที่นี้นอกจากจะเร็วกว่าการเดินแล้วยังสามารถปกปิดความลับได้ง่ายกว่าด้วย เขาพยักหน้า“เอาล่ะเอาตามนี้ละกัน ถ้าอย่างนั้นผมจะปรับปรุงดินตั้งแต่วันนี้เลย” เพียงแค่ช่วงความคิดเดียว ก็ปรากฎรูมิติขึ้นต่อหน้าเจ่าไไห่ และเปลี่ยนแปลงพื้นดินตรงหน้าจนทำให้มันดีขึ้น
แม้ว่าบล๊อคและเมอร์รินจะเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนแต่พวกเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เมื่อเห็นมันอีกครั้ง ในทวีปแห่งนี้ ความสามารถของเจ่าไห่นั้นเป็นเอกลักษณ์อย่างมากแม้ว่ามันจะไม่สามารถใช้สังหารใครได้ แต่มันเป็นสิ่งที่พวกเขานั้นต้องการมากที่สุด
เมื่อพื้นดินทั้งหมดเปลี่ยนสี เจ่าไห่ก็หันไปยังเมอร์ริน “พวกเรากลับกันเถอะ ยายเมอร์รินโชคไม่ดีเลยที่พวกเรานั้นไม่มีเรือ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะกลับไปยังปราสาทผ่านทางทะเลสาบได้แล้ว”
“นายน้อยคุณลืมอีกแล้วเหรอว่า ฉันเป็นนักเวทย์น้ำ” เมอร์รินหัวเราะ “ฉันสามารถพาคนสองถึงสามคนลอยไปตามน้ำได้ ดังนั้นนายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเรือในตอนนี้”
เจ่าไห่นั้นตะลึงไปชั่วขณะ แม้ว่าเขานั้นมาอยู่ในทวีปอาร์คได้หลายวันแล้วแต่เขานั้นก็ยังไม่ชินเรื่องที่ผู้คนในโลกแห่งนี้นั้นสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้ เขามักจะสับสนกับชีวิตบนโลกของเขา ซึ่งไม่สามารถใช้เวทย์มนตร์น้ำได้เหมือนผู้คนที่นี้
เจ่าไห่พยักหน้าตอบ ก่อนที่เขายิ้มให้เมอร์ริน “ถ้าอย่างนั้นก็กลับปราสาทกันเถอะยายเมอร์ริน ผมกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปล่อยร๊อคไว้คนเดียวนานเกินไป”
เมื่อเมอร์รินมองไปยังรอบหุบเขาอีกรอบซึ่งเมื่อไม่เจออะไรน่าสงสัยจึงพูดว่า “กลับเถอะค่ะ นายน้อย”
เมื่อพูดแบบนั้นแล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง
ภายในถ้ำนั้น เมอร์รินเป็นคนเดินนำหน้าพร้อมกับใช้เวทย์บอลแสงของเธอ ตอนนี้ทั้งสามเดินไปในอุโมงค์และตรงไปยังทางที่มีเสียงของน้ำไหล
หลังจากเดินไปประมาณ 15 นาทีพวกเขาก็เห็นทะเลสาบใต้ดิน การเดินทางผ่านทะเลสาบนี้นั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการที่จะเดินผ่านทางภูเขา โดยเฉพาะการที่คนภายนอกจะไม่เห็นถึงเส้นทางการเดินทางนี้เลย
ตอนนี้พวกเขาอยู่เหนือจากทะเลสาบของ 3 เมตรซึ่งมันมีทางลาดที่พวกเขาสามารถใช้เดินลงไปได้ ซึ่งคาดไว้คนแคระนั้นไว้ใช้สำหรับการขนส่งแร่ ด้วยการปูพื้นด้วยหิน แต่เพราะว่ามีน้ำขึ้นมาถึงจึงทำให้มีพวกตระไคร่น้ำเกาะอยู่ทำให้มันค่อนข้างลื่น
เจ่าไห่นั้นมองไปที่ทะเลสาบก่อนจะถอนหายใจ “ใครจะไปคิดละว่าในแดนทมิฬแห่งนี้นั้นจะมีสถานที่แบบนี้ซ่อนอยู่ถ้าหากเราสามารถใช้ทะเลสาบนี้เลี้ยงปลาได้ละก็”
เมอร์รินพยักหน้า “ใช้แล้วค่ะนายน้อย ถ้าหากพวกเราสามารถเลี้ยงปลาในทะเลสาบนี้ได้ละก็ มันจะกลายเป็นแหล่งรายได้อีกทางให้กับตระกูลบูดา”
เจ่าไห่มองไปยังเมอร์ริน “ยายเมอร์ริน ตอนที่เรากลับไปแล้วถ้าเจอพวกสัตว์อสูรในน้ำ คุณแน่ใจนะว่าพวกเราจะผ่านมันไปได้?”
เมอร์รินยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่มั่นใจ “นายน้อย คุณมั่นใจได้เลยว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน”
จากนั้นเธอก็พาทุกคนไปยังทะเลสาบ แม้ว่าพื้นจะลื่นแต่เจ่าไห่และบล๊อคก็ตามเธอไปอย่างระมัดระวัง