ตอนที่ 23 – ความนับถือ
หลังอาหารเช้าเม็กออกไปดูพวกทาสที่ทำงานในเหมือง
บางส่วนนั้นเดินสำรวจพื้นที่ต่างๆในภูเขาเพื่อหาต้นไม้ซึ่งจะนำมันมาสร้างเรือเพราะพวกเขาต้องการที่จะสำรวจทะเลสาบใต้ดินนั้นมันจะไปสิ้นสุดที่ไหน
เมอร์รินนั้นพร้อมที่จะเดินทางเพื่อหาพื้นที่ตามที่เจ่าไห่นั้นต้องการเพื่อสร้างเป็นฐานในการพัฒนาตระกูล เธอเชื่อว่าการปรับปรุงที่ดินนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ ตราบใดที่พื้นดินนั้นสามารถที่จะใช้เพาะปลูกได้แล้วละก็ พวกเขาสามารถที่จะปักหลักอยู่ที่นี้ได้และดำรงชีวิตได้ด้วยความหวัง
แม้ว่าเธอนั้นจะไม่รู้เรื่องมิติฟาร์มของเจ่าไห่ แต่หลังจากที่เจ่าไห่นั้นสามารถที่จะสามารถปรับปรุงพื้นที่ในแดนทมิฬได้และมีหัวไชเท้าถึง 4 ตันได้นั้นทำให้เธอนั้นคิดว่าความสามารถของเจ่าไห่นั้นต้องเกี่ยวกับการเกษตรอย่าแน่นอน เมอร์รินนั้นเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมและมีประสบการณ์ชีวิตมายาวนานทำให้การคาดเดาของเธอนั้นค่อนข้างจะแม่นยำแต่เธอเองก็ตัดสินใจรอนายน้อยบอกเรื่องนี้กับเธอเอง
เจ่าไห่เดินทางไปพร้อมกับเมอร์รินในการสำรวจพื้นที่โดยรอบครั้งนี้ด้วย ซึ่งปกติแล้วบล๊อคและร๊อคจะต้องตามเจ่าไห่ไปด้วย แต่ครั้งนี้เจ่าไห่พาแค่บล๊อคไปกับเขา และให้ร๊อคไปช่วยงานเม็กแทน เม็กนั้นไม่ควรอยู่คนเดียวในขณะที่เธอต้องควบคุมทาสถึง 100 คน
เจ่าไห่ เมอร์รินและบล๊อคนั้นเดินไปตามทางของภูเขา
เมอร์รินนั้นมีอายุมากและเป็นนักเวทย์ทำให้เธอนั้นมีร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ ซึ่งเหมือนกับเจ่าไห่ ทำให้ทั้งสองนั้นเดินไปทางไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งสิ่งที่พวกเขากลัวมาที่สุดคือพวกเขานั้นจะหมดแรงจนขยับตัวไม่ได้
นี้เป็นครั้งแรกที่เมอร์รินและเจ่าไห่นั้นต้องเดินทางออกจากปราสาทไกลขนาดนี้ แดนทมิฬนั้นเป็นดินแดนที่แปลกจากที่อื่นเพราะมันไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากความแห้งแล้ง พวกเขาได้เดินตามทางในภูเขาได้ประมาณ 3 ชั่วโมงแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่พบอะไรเลยนอกจากความรกร้างตามที่คาดไว้ ดินดำก็ยังดินสนิท ส่วนพื้นดินที่แห้งแล้งอย่างไรก็แห้งแล้งอย่างนั้น
เมื่อมองไปยังรอบๆ เจ่าไห่ก็หันหน้าไปทางเมอร์รินพร้อมกับพูดว่า “ยายเมอร์ริน พวกเราพักกันก่อนเถอะ ผมรู้สึกว่าเหนื่อยมากแล้ว”
เมอร์รินนั้นเองก็เหนื่อยเหมือนกันเพราะเธอนั้นเป็นนักเวทย์ไม่ใช่นักรอบจึงทำให้ร่างกายของเธอนั้นสามารถทำงานบ้านโดยไม่เหนื่อยแค่นั้นเอง
พวกเขานั้นเจอหินสองก้อนซึ่งพอที่จะใช้เป็นที่นั่งได้จึงนั่งลงตรงนั้น จากนั้นบล๊อคจึงเดินมาที่เจ่าไห่ “นายน้อยพักตรงนี้ก่อน ผมจะไปสำรวจพื้นที่รอบๆก่อน”
เจ่าไห่พยักหน้า “โอเค เจ้าไปสำรวจพื้นที่รอบๆก่อน แต่ระวังตัวด้วยละ”
บล๊อคจึงหันหน้าและวิ่งขึ้นไปบนภูเขาทันที ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะไม่เหนื่อยเลยสักนิดเดียว
ในขณะที่นั่งอยู่นั้นเองเมอร์รินก็มองออกไปในแดนทมิฬก่อนที่จะถอนหายใจ “ตอนที่พวกเขาถูกไล่ออกมาจากอาณาจักรมาที่นี้ พวกเขานั้นรู้สึกหมดหวังจริงๆ ทุกคนรู้ดีว่าแดนทมิฬนั้นเป็นดินแดนของความตาย มันไม่มีอะไรเลยในที่แห่งนี้ และมันยังติดกับบึงซากศพอีกด้วย เมื่อพวกเขาถูกเนรเทศออกมาแล้ว พวกเขาทำได้เพียงแค่ยอมรับในชะตากรรมนั้น พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากตายที่นี้” เมอร์รินนั้นนึกถึงความทรงจำตอนนี้กรีนได้ยินข่าวเรื่องนี้ซึ่งทำให้เขานั้นรีบนำเงินของตระกูลไปซื้อเสบียงและสิ่งของจำเป็นต่างๆเขานั้นต้องการให้พวกเรายังพอมีความหวังอยู่บ้าง กรีนเชื่อว่าถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไปจะสามารถคิดวิธีหาเงินมาได้ เพราะกรีนนั้นไม่อยากให้ตระกูลบูดาต้องจบสิ้นในมือของเขาเอง
เมอร์รินนั้นนั่งนึกถึงอดีตอยู่ทำให้เจ่าไห่นั้นไม่กล้าจะพูดอะไรออกไป
เมอร์รินนั้นหายใจเข้าก่อนจะหันไปมองเจ่าไห่ “โชคดีที่นายน้อยตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสามารถที่ปรับปรุงที่ดินได้ ตอนนี้ความหวังที่จะฟื้นฟูตระกูลบูดาได้นั้นมีเพียงนายน้อยคนเดียวที่ทำได้”
กรีนนั้นก็บอกแบบนี้กับเจ่าไห่เช่นกัน แม้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่กรีนและเมอร์รินคาดหวังในตัวเขา แต่เจ่าไห่รู้ดีว่าการที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหากเขาต้องการที่จะทำให้ตระกูลบูดากลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง นั้นหมายความว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิและขุนนางของจักรวรรดิอาร์ซู
แต่เขาก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเพียงพยักหน้าและให้คำมั่นสัญญาว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงยายเมอร์ริน ผมจะพยายามทำให้มันสำเร็จให้ได้”
เมอร์รินยิ้มให้เจ่าไห่ “พระเจ้ายังไม่ทอดทิ้งตระกูลบูดา ท่านให้ความสามารถที่แสนมหัศจรรย์นี้กับนายน้อยซึ่งนั้นแสดงว่า พระเจ้ายังคอยคุ้มครองพวกเราและหวังว่าตระกูลเราจะฟื้นคืนกลับมาได้”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นเจ่าไห่ก็หัวเราะออกมา “ยายเมอร์ริน ผมจะแสดงอะไรบ้างอย่างให้คุณดู”
จากนั้นทั้งสองก็ถูกส่งไปยังมิติฟาร์ม
เจ่าไห่นั้นไม่เคยพาเมอร์รินมายังมิติฟาร์มมาก่อน ไม่ใช่เพราะว่าเจ่าไห่ไม่ไว้ใจพวกเขาแต่เพื่อความปลอดภัยต่างหากละ เพราะเขาเองมีมีหลายสิ่งในมิติฟาร์มนั้นไม่สามารถที่จะอธิบายแก่เมอร์รินได้ นอกจากนี้เจ่าไห่ยังกลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่ามีใครบางคนนั้นสิงอยู่ในร่างของอดัมและพยายามที่จะสังหารเขาแทน
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เมอร์รินและกรีนนั้นไม่สงสัยในตัวเขาแม้แต่น้อย เพราะเขานั้นเป็นความหวังสุดท้ายของตระกูลบูดา นอกจากนี้เขาเองก็ยังเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลด้วย ถ้าหากทั้งสองฆ่าเขา นั้นก็หมายความว่าตระกูลบูดาถึงจุดจบสิ้นแล้ว ถ้าหากตระกูลไม่มีทายาทแล้ว ยศถาบรรดาศักดิ์ต่างก็จะถูกจักรวรรดิยึดคืนทั้งหมด
เมอร์รินนั้นตกใจอยู่สักพักเมื่อเธอนั้นมาในมิติฟาร์ม เธอนั้นมองไปรอบๆและสังเกตทุกๆสิ่ง รวมทั้งหน่อหัวไชเท้าและข้าวโพดที่เกือบจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว
“ยายเมอร์ริน นี้คือความสามารถพิเศษของผม ที่แห่งนี้นั้นสามารถใช้ปลูกพืชและผักต่างๆได้ นอกจากนี้ พืชต่างๆนั้นจะเติบโตได้เร็วกว่าพืชที่อยู่ข้างนอกนั้น นั้นเป็นที่มาของหัวไชเท้าเวทย์มนตร์ 4 ตันที่ผมมีอยู่นั้นเอง”
ในตอนที่เมอร์รินจ้องมาที่เจ่าไห่เธอก็ถามว่า “นายน้อย หัวไชเท้าเวทย์มนตร์ที่คุณมีอยู่นั้น มันอยู่ที่ไหนล่ะ”
เจ่าไห่ชี้ไปที่โรงนา “มันอยู่ที่นั้น ในห้องนั้นมันเป็นเหมือนกับอุปกรณ์มิติ ใช้ในการเก็บสิ่งของต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่หัวไชเท้าเวทย์มนตร์ ไม่ว่าจะอะไรผมก็สามารถเก็บมันได้ และยังเก็บมากเท่าไหร่ก็ได้ตราบเท่าที่ผมต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถนำออกมาเมื่อไหร่ก็ได้”
ดวงตาของเมอร์รินก็ส่องประกาย เพียงแค่ความสามารถในการเก็บสิ่งของในโรงนานั้นก็สามารถทำให้เธอตกใจได้แล้ว
เจ่าไห่นั้นก็พูดต่อไปว่า “มิติแห่งนี้นั้นสามารถที่จะปรับปรุงดินดำข้างนอกได้โดยใช้ดินสเปเทียลและน้ำสเปเทียลในมิติแห่งนี้” จากนั้นเขาก็เดินไปข้าวโพดที่ปลูกไว้ “นี้คือพืชที่ผมกำลังปลูกอยู่ มันเรียกว่าข้าวโพด เมื่อมันโตเต็มที่แล้ว มันจะสร้างเมล็ดจำนวนมหาศาล พอที่จะสามารถนำไปปลูกได้หลายแปลง แต่ว่าผมเองนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่ามิติแห่งนี้นั้นจะสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเหล่านี้ได้หรือป่าว ผมยังทดลองเรื่องนี้อยู่นอกจากนี้เรายังใช้ซังข้าวโพดนั้นเป็นฟืนได้ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นพืชที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้”
เมอร์รินมองไปยังทุ่งข้าวโพด เธอเองเขาใจสิ่งที่เจ่าไห่พูดอย่างดี เมื่อข้าวโพดนั้นโตเต็มที่แล้วนอกจากมันจะแก้ปัญหาเรื่องอาหารของพวกเขาได้ มันยังสามารถเป็นฟืนไว้ใช้ในฤดูหนาวได้ด้วย
“เมื่อเราหาสถานที่ได้แล้ว พวกเราจะปรับปรุงพื้นดินห่งนั้นสัก 1000 มู่ ไว้ใช้ในการปลูกข้าวโพด เมื่อข้าวโพดเก็บเกี่ยวได้แล้ว พวกเราจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและฟืนอีกต่อไป นอกจากนี้พวกเรายังสามารถหาเงินได้จากการขายหัวไชเท้าเวทย์มนตร์ ด้วยวิธีนี้ตระกูลบูดาของเราจะค่อยๆเติบโตขึ้นทีละนิดอย่างมั่นคง”
เมอร์รินพูดกับเจ่าไห่ “นายน้อย คุณต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับห้ามบอกใครโดยเด็ดขาด ตอนนี้มีคนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กี่คนแล้ว?”
เจ่าไห่จึงตอบกลับไปว่า “มีเพียงบล๊อค ร๊อคและก็คุณที่รู้เกี่ยวกับมิติแห่งนี้ส่วนปู่กรีนกับเม็กนั้นยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้”
เมอร์รินพยักหน้าด้วยความพอใจ “มีเพียงไม่กี่คนที่พวกเราจะไว้ใจได้ ถ้าหากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปละก็ นายน้อยจะต้องอยู่ในอันตราย ฉะนั้นโปรดระวังเรื่องนี้ด้วย”
“ไม่ต้องเป็นห่วงยายเมอร์ริน ผมไม่บอกเรื่องนี้กับใครแน่ พวกเราออกไปจากที่นี้ก่อนดีกว่าถ้าบล๊อคกลับมา เขาจะเป็นกังวลถ้าหาพกวเราไม่เจอ” จากนั้นทั้งสองก็กลับไปยังภูเขาเหมือนเดิม