ตอนที่ 044 – Level Up
[ค้นพบเมล็ดพันธุ์ผัก ระดับ: ต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่มีคุณสมบัติ ไม่ทำการจัดเก็บข้อมูล]
[ค้นพบเมล็ดพันธุ์ผัก ระดับ: ต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่มีคุณสมบัติ ไม่ทำการจัดเก็บข้อมูล]
[ค้นพบเมล็ดพันธุ์ผัก ระดับ: ต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่มีคุณสมบัติ ไม่ทำการจัดเก็บข้อมูล]
……………….
[ค้นพบของเมล็ดพันธุ์พืช ระดับ: ศูนย์ ลักษณะคล้ายกับเมล็ดฟางมิติ ไม่ทำการจัดเก็บข้อมูล เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ไว้]
[ค้นพบเมล็ดพันธุ์ผลไม้ ระดับ: สี่ ทำการจัดเก็บข้อมูล จักเก็บข้อมูลเสร็จสิ้น เมล็ดพันธุ์ได้เปลี่ยนแปลงเป็นข้อมูลดิจิทัลลงในมิติแล้ว คุณสามารถหาซื้อเมล็ดพันธุ์นี้ได้จากร้านค้า]
เมื่อเจ่าไห่นำเมล็ดพันธุ์พืชออกมา ก็มีเสียงเตือนดังออกมา หลังจากนั้นเมล็ดพันธุ์ต่างๆก็หายไป เหลือเพียงเมล็ดหญ้าอัลฟาฟ่าและเมล็ดพันธุ์ผลไม้ “เจ้ามิตินี้เก็บเฉพาะเมล็ดพันธุ์ที่มีเลเวลสูงไว้อย่างเดียว และกำจัดเมล็ดอื่นๆทิ้งจนหมด ช่างเป็นมิติที่เอาแต่ใจเสียจริงๆ โชคดีว่ามันยังพอเหลือเมล็ดอยู่บ้าง”
คนอื่นๆนั้นไม่เข้าใจถึงเสียงเตือนที่ดังขึ้น หรือเกิดอะไรขึ้น เพราะพวกเขานั้นเห็นเพียงเมล็ดพันธุ์พืชเกินครึ่งนั้นหายไป
เมื่อการตรวจสอบเมล็ดพันธุ์นั้นเสร็จสิ้นแล้ว ก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมาอีกว่า [Lv ของมิติเพิ่มขึ้นถึงเลเวล 5 คุณได้รับถุงเมล็ดพันธุ์มะเขือม่วง ซึ่งสามารถปลูกลงในพื้นที่ 2 มู่] [การขยายพื้นที่นั้นระบบต้องการ Lv 5 และเงินจำนวน 1100 เหรียญทอง คุณได้ทำตามความต้องการของระบบ คุณต้องการขยายพื้นที่ทันทีหรือไม่?]
เมื่อเจ่าไห่ได้ยินเสียงนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจ เพราะในที่สุด เขาก็หาข้อสรุปได้แล้วว่า วิธีการที่จะเพิ่ม Lv ของมิติฟาร์มนั้นก็คือการหาสิ่งของเข้ามาในมิติ ไม่เช่นนั้นแล้วการปลูกพืชอย่างเดียวนั้นใช้เวลานานเกินไป จากนั้นเจ่าไห่ก็กล่าวทันทีว่า “ขยายพื้นที่”
เมื่อพูดจบก็มีแสงวาบที่ข้างไร่ข้าวโพดซึ่งปรากฎพื้นที่เพราะปลูกใหม่ขึ้นมา
เจ่าไห่นั้นเข้าใจว่ามิติจะเพิ่มพื้นที่ของเขาให้เรื่อยๆ แต่เขาก็ยังสงสัยเกี่ยวกับสถานที่อื่นๆ อย่างเช่นพื้นหลังของเกมว่าสามารถทำอะไรได้หรือไม่ เขาสงสัยว่าจะสามารถสร้างบางสิ่งบางอย่างใต้ดินได้หรือไม่ซึ่งมันจะดีมากเลยถ้าสามารถที่จะทำได้
จากนั้นก็มีเสียงสะท้อนมาแล้ว [Lv สูงไม่พอ การใช้พื้นที่พื้นหลังนั้น คุณต้องมีมิติฟาร์ม Lv 30]
เจ่าไห่นั้นตัวแข็งทื่อไปสักครู่ เขาจะสามารถใช้แบคกราวนั้นได้จริงๆงั้นเหรอ ถ้าเขามีLv สูงขนาดนั้น สุดยอดไปเลย
เมอร์รินเดินไปข้างๆเจ่าไห่ “นายน้อย ตอนนี้คุณมีพื้นที่เพราะปลูกเพิ่งขึ้นแล้ว คุณจะปลูกพืชอะไรเหรอค่ะ?”
เจ่าไห่นั้นมองไปยังพื้นที่ใหม่และพื้นที่เดิมที่เขาเพิ่งเก็บหัวไชเท้าเสร็จไป “ยายเมอร์ริน ผมคิดว่าจะปลูกข้าวโพดลงในพื้นที่ใหม่ ส่วนที่เหลือ เราปลูกพืชที่ให้ผลล่ะ คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
เมอร์รินลังเลที่จะตอบคำถามนี้ก่อนที่จะมองไปยังพื้นที่เดิม เธอรู้ดีว่าพื้นที่ตรงนี้นั้นเคยปลูกหัวไชเท้า ซึ่งเธอนั้นตกใจว่าทำไมนายน้อยถึงไม่ปลูกหัวไชเท้าต่อ
เจ่าไห่เห็นเมอร์รินลังเลที่จะตอบจึงยิ้มขึ้นมา “ตอนนี้ผมมีหัวไชเท้าอยู่120ตันแล้ว แม้ว่าจะมีคู่ค้าที่ดีแค่ไหน ถ้าเราขายมากจนเกินไปก็จะทำให้ราคาหัวไชเท้านั้นตกลง แต่ผลน้ำมันนั้นไม่เหมือนกัน น้ำมันเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของทุกคนในทวีป แม้ว่าผมจะขายเป็น ล้านกก. มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว เมอร์รินก็ตอบตกลง “ดิฉันเห็นด้วยค่ะนายน้อย การปลูกสวนผลไม้น้ำมัน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้”
เจ่าไห่พยักหน้า “ปลูกเมล็ดผลไม้ พื้นที่ 1 มู่”
เมื่อสิ้นสุดเสียงลง พลั่วและถังน้ำก็ลอยขึ้นออกไปทำงานจนกระทั่งเมล็ดทั้งหมดถูกเพราะปลูกลงในดินจนเรียบร้อย เจ่าไห่นั้นคำนวณแล้วว่า พื้นที่นี้จะมีต้นผลน้ำมันถึง 300 ต้น
ซึ่งเมื่อปลูกเสร็จแล้ว เจ่าไห่ก็เก็บเมล็ดที่เหลือลงในโรงนา ซึ่งตอนนี้ เขานั้นไม่ต้องการที่จะปลูกข้าวโพดเพิ่ม เขานั้นจึงตัดสินใจรอจนข้าวโพดชุดก่อนหน้านี้จะเก็บผลผลิตได้ก่อนเพราะเขานั้นต้องการที่จะปลูกเมล็ดข้าวโพดพร้อมกันเพื่อจะที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทีเดียวทั้งหมด
ทุกคนนั้นตะลึงกับแผนงานและการทำงานของเจ่าไห่ เพราะมิตินั้นเชื่อฟังคำสั่งของเจ่าไห่ทุกอย่าง ราวกับว่าเขานั้นเป็นพระเจ้าของโลกแห่งนี้
พวกทาสนั้นเชิดชูเคารพเขา ซึ่งแม้กระทั่งเมอร์รินเองก็เช่นกัน ทุกอย่างในมิตินั้นดูตื่นตาตื่นใจอย่างมากซึ่งเมอร์รินนั้นไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นพวกทาสก็ไม่ต้องพูดถึงเลย พวกเขานั้นไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้อยู่ในโลกของพวกเขา
เมื่อทุกคนมองมาที่เขา เจ่าไห่ก็รู้สึกอาย แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำตระกูลบูดาอยู่ในตอนนี้ แต่ในอดีตเขาก็เป็นเพียงแค่โอตาคุคนหนึ่งซึ่งเป็นธรรมดาที่จะอายเมื่อมีคนจ้องมาที่เขา
เจ่าไห่จึงพูดแก้เขินว่า “ยายเมอร์ริน ผมกลับเข้าไปดูสถานการณ์ข้างนอกในกระท่อมก่อนนะครับ” จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในกระท่อมและปิดประตูลง
เมื่อเห็นเจ่าไห่เดินจากไป เมอร์รินและเม็กก็ขำออกมาเล็กน้อย พวกเขานั้นรู้ว่าเจ่าไห่นั้นกำลังอาย แต่นี้ก็สร้างความประหลาดใจพวกเขาไม่น้อย เพราะพวกเขารู้ว่าอดัมนั้นคนก่อนนั้นไม่ใช่คนขึ้อายเช่นนี้ แต่อดัมและเจ่าไห่นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะเจ่าไห่นั้นพบปะกับพูดคนน้อยจึงทำให้เขานั้นประหม่าและอาย ซึ่งมันทำให้เขานั้นแสดงท่าทางตลกกับเมอร์รินและเม็ก
เมื่อเจ่าไห่นั้นเข้าไปในกระท่อมแล้ว เขาก็หายใจเข้าออกเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะบ่นเมอร์รินและเม็ก จากนั้นเขาก็เปิดหน้าจอเพื่อดูปราสาทและมองดูสัตว์อสูร ซึ่งเขานั้นเอียงลงบนเตียงไปด้วย
การดำเนินงานภายในมิตินั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เขานั้นต้องการจะรู้ว่ามิติแห่งนี้นั้นสามารถช่วยอะไรเขาได้บ้างนอกจากการปลูกพืช ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างสะดวกสบายและมันก็ทำให้เขานั้นรู้สึกเบื่อเช่นกัน
ข้างนอกกระท่อม นั้นก็มีเสียงของเมอร์รินกำลังสอนพวกทาสอ่านหนังสือ เสียงนี้ทำให้เขานั้นรู้สึกสงบใจ เขารู้สึกเหมือนอยู่ในบทกลอนของลูชิหมิงเกี่ยวกับขุนนางที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม จู่ๆเจ่าไห่ก็รู้สึกอยากอ่านหนังสือก่อนที่จะเรียกหนังสือออกมาจากโรงนา
เวลาผ่านไปสองชั่วโมง ข้าวโพดก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว เจ่าไห่จึงออกไปจากกระท่อมก่อนจะทำการเก็บเกี่ยวข้าวโพดทั้งหมดและปลูกชุดใหม่ทั้งหมด ซึ่งหลังจากที่ปลูกข้าวโพดเสร็จแล้ว เขาก็กลับมาที่กระท่อมและอ่านหนังสือต่อ
เจ่าไห่นั้นรู้ว่า ผลน้ำมันนั้นเติบโตช้าไม่เหมือนกับพืชชนิดอื่น เพราะมันใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะเติบโตเต็มที่ในโลกข้างนอก ซึ่งตอนนี้เมล็ดพันธุ์นั้นก็กลายเป็นข้อมูลดิจิทัลแล้ว ซึ่งเขาคาดการณ์ไว้ว่าผลน้ำมันจะจะเริ่มโตในมิติแห่งนี้ได้ก็คงจะใช้เวลา 3 – 4 วัน
ซึ่งแน่นอนว่าในอีกสองวัน ข้าวโพดก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้อีกแล้วซึ่งต้นน้ำมันก็ลงจะเพิ่งเริ่มงอก
ซึ่งในช่วงสองวันนี้ เจ่าไห่ก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์ในปราสาท โดยตอนนี้ เขานั้นไม่เห็นพวกซอมบี้สัตว์อสูรแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ให้เมอร์รินนั้นออกไปอยู่ดี เพราะเขานั้นกลัวว่าในปราสาทนั้นยังมีสัตว์อสูรที่อยู่เกินระยะการมองเห็นของเขาอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถที่จะทำร้ายเธอได้ แต่มันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี
แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในมิติแห่งนี้ไปตลอดได้ เพราะปราสาทแห่งนี้ก็คือบ้านหลังหนึ่งของเขา ไม่ช้าหรือเร็วเขาก็ต้องออกไป
แต่ในช่วงนี้ เจ่าไห่ก็สังเกตุเห็นว่าพวกทาสนั้นมีอารมณ์ที่ไม่ดี แม้ว่าพวกเขาจะได้เรียนการอ่านและเขียน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล พวกเขานั้นทำได้เพียงแค่กินและพัฒนาความรู้ของพวกเขา พวกเขานั้นไม่คุ้นเคยกับการไม่ได้ทำงาน และด้วยเหตุผลบางอย่างนั้นพวกทาสนั้นรู้สึกผิดกับเจ่าไห่
ทุกๆวันพวกเขาได้กินข้าวกับน้ำซุปเป็นอาหาร ซึ่งสำหรับพวกทาสแล้วที่นี้เหมือนกับสวรรค์ของพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกขอบคุณเจ่าไห่ แต่มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกผิดกับเขามากเช่นกัน
แต่เจ่าไห่นั้นก็ยังไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้ เขานั้นไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากอ่านหนังสือซึ่งเมอร์รินนั้นเป็นผู้สอนพวกทาส แต่หลังจากผ่านไปแล้วสองวัน เจ่าไห่ก็สังเกตุเห็นอารมณ์และท่าทางของพวกทาสที่ผิดปกติ
เมอร์รินนั้นไม่รู้ถึงสาเหตุ ดังนั้นเธอจึงให้เดซี่นั้นไปถามพวกทาสว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากพวกทาสจะคุ้นเคยกับเดซี่มากกว่า
เมื่อทาสอาหารเย็นแล้ว เดซี่ก็ถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อเมอร์รินและเจ่าไห่ได้ยิน พวกเขาก็ตะลึงเป็นไก่ตาแตก