ตอนที่ 017 – คนบ้า
ในทวีปอาร์คตอนนี้ไม่เคยมีใครสนใจที่จะพัฒนาหรือสำรวจแดนทมิฬแม้แต่คนเดียว เพราะเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนั้นเคยมีนักเวทย์ไม้ที่มีชื่อเสียงได้เคยร่วมมือกับนักเวทย์น้ำและอเคมิส พร้อมกับเผ่าเอลฟ์ที่มีความรู้เกี่ยวกับพืชมาศึกษาและสำรวจแดนทมิฬแห่งนี้ ด้วยความตั้งใจที่ว่าต้องการที่จะปรับปรุงดินในที่แห่งนี้เพื่อที่จะได้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในทวีป
แต่หลังจากการใช้เวลาศึกษายาวนานถึง 20 ปี พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะปลูกอะไรได้เลยแม้แต่ใบหญ้าในดินแดนแห่งนี้ ทำให้ตัวเขานั้นล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป
ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่มีใครเลยที่มีความคิดที่จะศึกษาและสำรวจแดนทมิฬอีกเลย จึงทำให้ผู้คนนั้นคิดว่าแดนทมิฬนั้นเป็นดินแดนที่ไร้ค่าซึ่งทำให้เสียเวลาเปล่าๆ หากจะปรับปุรงที่แห่งนี้
นี้คือสิ่งผู้คนในทวีปอาร์ครู้โดยทั่วกัน ถึงแม้ว่าจำนวนประชากรของทวีปนั้นจะมีไม่น้อยแต่ ขนาดพื้นที่ก็ยังใหญ่กว่ามาก จึงมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์อื่นอีกมากมายจึงทำให้ปัญหาเรื่องอาหารหรือการทำการเกษตรนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
แต่ปัจจุบันในประเทศนั้นทวีปนั้นไม่ได้มีการทำสงครามมานานมาแล้ว ทำให้จำนวนประชากรนั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ประเทศเล็กๆบางประเทศเริ่มมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหารแล้ว แต่อย่างไรก็ตามสภาพอากาศของจักรวรรดิทั้ง 5 ที่เป็นเสาหลักของทวีปนั้นยังคงไม่มีปัญหาดังกล่าวจึงทำให้ปัญหาเหล่านี้นั้นไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในวงกว้าง
และอย่าลืมว่าในทวีปอาร์คนั้นมีผู้คนบางส่วนมีฐานะเป็นทาส ซึ่งแม้ว่าราคาของอาหารจะเพิ่มขึ้นมาแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขาเพราะ พวกเขาเพียงแค่ให้อาหารแก่พวกทาสน้อยลงตราบเท่าที่ทาสเหล่านั้นไม่อดจนตายก็พอแล้ว
ซึ่งเจ้านายของพวกทาสเหล่านั้นก็จะไม่พูดถึงเรื่องการที่พวกเขาให้อาหารแก่พวกทาสน้อยลงแม้แต่น้อย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเจ้านายเหล่านั้นไม่เคยห่วงใยพวกทาสเหล่านี้อยู่แล้ว พวกเขานั้นพูดคุยกันแต่เรื่องของหญิงงามหรือแม้แต่กระทั่งแสงจันทร์ในค่ำคืน ดังนั้นผู้คนในทวีปนั้นจึงไม่รู้เลยว่าปัญหาเรื่องการคลาดแคลนอาหารนั้นกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ตอนนี้ในทวีปนั้นอยู่กันด้วยความสงบสุขและเศรษฐกิจในทุกๆประเทศนั้นค่อยๆเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นสิ่งของจำเป็นต่างๆจึงมีราคาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจนั้นมีการเติบโตแต่ชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองส่วนใหญ่กลับไม่ดีขึ้นเลยและยังมีแนวโน้มที่จะเลวร้ายลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ ซึ่งความเป็นอยู่ของพวกทาสนั้นไม่ต้องพูดถึงได้เลย
เมื่อเศรษฐกิจนั้นเติบโตขึ้น ราคาสินค้าก็เพิ่มขึ้นตาม แต่รายได้ของประชาชนทั่วไปนั้นกลับไม่ได้เพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชนหลายคนไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องการเป็นทาสซึ่งทำให้เกิดปัญหาแก่สังคมอย่างรุนแรง
แต่เมอร์รินนั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ เธอเพียงรู้แค่ว่าอาหารในทวีปนั้นมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถ้าหากเจ่าไห่นั้นสามารถที่จะปรับปรุงดินในแดนทมิฬแห่งนี้ให้กลายเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ได้ ถึงแม้ว่าตระกูลบูดาไม่ต้องการที่จะเป็นที่รู้จัก มันก็ไม่สามารถที่จะปกปิดเรื่องนี้ได้
เมื่อเจ่าไห่เห็นความตื่นเต้นบนใบหน้าของเมอร์รินก็หัวเราะออกมา “ใช่แล้วยายเมอร์ริน นี้เป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่ผมได้รับมา แต่ผมสามารถปรับปรุงพื้นที่ได้แค่ 10 มู่ต่อวัน ดังนั้นตอนบ่ายคุณช่วยจัดการเรื่องวัดขนาดพื้นที่ให้หน่อย พวกเราจะใช้พื้นที่ประมาณ 1,000 มู่ช่วยทำเครื่องหมายไว้ให้ด้วย และหยุดวัดหลังจากครบ 1,000 มู่” [ผู้แปล : มู่ (mu) คือหน่วยวัดพื้นที่หนึ่งของจีน ซึ่งผมจะลงไว้เหมือนกับต้นฉบับนะครับ]
เมอร์รินพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นและกล่าวว่า “ได้ค่ะ นายน้อย ฉันจะจัดการให้ในทันที” เมื่อเธอพูดจบก็เดินออกไปทันที
เจ่าไห่บอกให้เธอหยุดก่อน “ยายเมอร์ริน ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ รอให้ทานอาหารกันเสร็จก่อน และพวกเราต้องทำไม่ใกล้จากปราสาทมากนัก และต้องไม่ให้มีใครรู้เรื่องความสามารถของผมด้วย เพราะตอนนี้ตระกูลบูดานั้นอ่อนแอเกินไปที่จะต่อกรกับใคร”
เมอร์รินนั้นเป็นคนที่มีประสบการณ์ในชีวิตมาอย่างมากมาย ซึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของเจ่าไห่แล้ว เธอจึงสงบใจลงได้ เธอพยักหน้าก่อนกล่าวว่า “ได้ค่ะ นายน้อย ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องเองเถอะค่ะ”
ทั้งเจ่าไห่และเมอร์รินนั้นไม่ได้สนใจเม็กที่ยืนอยู่หลังเมอร์รินแม้แต่น้อย ซึ่งเม็กนั้นมองไปที่เจ่าไห่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ในอดีตนั้นเมื่อเม็กเจอหน้าเจ่าไห่ เธอจะก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา แต่ตอนนี้เธอนั้นจ้องมองเจ่าไห่อย่างไม่ละสายตาจนลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตกับเจ่าไห่
เม็กนั้นเติบโตมาพร้อมอดัมเพราะอดัมนั้นแก่กว่าเธอเพียงแค่ 2 ปีทำให้ทั้งสองนั้นเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก ในตอนนั้นเม็กตามอดัมไปทุกๆที่ที่เขาอยากไป ซึ่งถ้าหากเธอโดนเด็กคนอื่นรังแก เจ่าไห่จะปกป้องเธอเสมอ ดังนั้นเธอจึงมองเจ่าไห่นั้นเป็นเสมือนพี่ชายของเธอตั้งแต่เด็ก
แต่ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปทำให้พวกเขาเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น เม็กนั้นรู้ว่าอดัมนั้นเป็นเจ้านายของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถที่จะเรียกเขาว่าพี่ชายได้แล้ว และด้วยความที่เธอนั้นเด็กผู้หญิงทำให้อดัมนั้นไม่อยากที่จะเล่นกับเธออีกต่อไป ซึ่งทำให้เธอนั้นรู้สึกเสียใจมาก
เมื่อพวกเขาโตขึ้นอดัมก็ได้เจอกับลูกขุนนางคนอื่นๆและได้เป็นเพื่อนกัน นั้งเป็นช่วงเวลาที่อดัมนั้นได้เรียนรู้สิ่งไม่ดีต่างๆ และดูเหมือนว่าเขาจะลืมเพื่อนในวัยเด็กของเขาจนหมดสิ้น
อดัมนั้นมีพฤติกรรมที่เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยในขณะที่เม็กนั้นค่อยๆสวยขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์ ทำให้เธอนั้นอยู่ในเส้นทางที่แตกต่างจากอดัมอย่างสิ้นเชิง แต่เม็กกลับไม่มีความสุขขึ้นเลยที่ได้เป็นอดัมนั้นทำตัวแย่ลงเรื่อยๆในทุกวัน เธอนั้นพยายามที่จะหยุดอดัมแต่มันก็เปล่าประโยชน์เพราะขนาดปู่ของเธอนั้นจะพูดอะไรกับอดัมไป เขานั้นก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เธอนั้นต้องการให้เวลานั้นย้อนกลับไปเป็นวัยเด็กอีกครั้ง ในวันที่เขาเปรียบเสมือนกับพี่ชายที่ค่อยเล่นกับเธอในทุกๆวัน ค่อยปกป้องเธอยามที่เธอโดนรังแก และดูแลเธออยู่เสมอ
เคยมีคนกล่าวว่าความรู้สึกของสตรีนั้นเปรียบได้กับบทกวี ซึ่งความรู้สึกของเม็กเองก็เป็นเช่นนั้น เธอหวังว่าซักวันอดัมจะกลับตัวกลับใจกลายคนในอดีตที่เธอคาดหวัง แต่ความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย ความฝันเหล่านั้นของเธอได้แตกสลายลงเมื่ออดัมนั้นพยายามที่จะข่มขืนเธอ
เมื่ออดัมส่งรอยยิ้มและสายตาที่ลวมลามมายังเธอก่อนที่จะพุ่งตรงใส่เธอ เธอรู้สึกเหมือนโลกของเธอนั้นแตกสลาย และความทรงจำอันสวยงามของเธอนั้นค่อยจางหายออกไป โลกของเธอนั้นค่อยๆมืดมนลงและใช้ชีวิตไปวันๆ
และนั้นเองก็เป็นเวลาที่หายนะนั้นถาโถมเข้าสู่ตระกูลบูดา ทำให้ตระกูลนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความเป็นและความตาย เธอนั้นเฝ้ามองไปยังผู้คนที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับเธอในตระกูลบูดาค่อยๆหายจากไป ได้มองดูบ้านในวัยเด็กที่ถูกพลัดพรากไปจากเธอโดยองค์จักรพรรดิ และได้มองอดัมที่ถูกบังคับให้ดื่มน้ำแห่งความว่างเปล่าก่อนที่จะหมดสติไป เธอมองเห็นครอบครัวที่จากหายไปในเวลาอันสั้น
จากนั้นพวกเขาก็เดินทางมาถึงแดนทมิฬ และอดัมนั้นก็คงยังไม่ได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นปู่กับยายของเธอนั้นพยายามจัดการทุกๆอย่างเพื่อหวังว่าซักวันตระกูลบูดาจะยังคงอยู่ แต่มันก็เป็นเหมือนการกระทำของคนที่เอาชีวิตรอดจากการจมน้ำ
เม็กนั้นเป็นหญิงสาวที่เรียบง่ายซึ่งมีประสบการณ์ชีวิตที่ไม่มากนัก เมื่อเธอเจอเหตุการณ์ต่างๆเข้ามาจึงทำให้เธอนั้นยากที่จะยืนหยัดได้ ซึ่งถ้าหากไม่ได้ปู่และยายนั้นค่อยอยู่เคียงข้างเธอแล้วละก็ เธอคงจะพยายามฆ่าตัวตายไปแล้ว
แต่เมื่อพวกเขามาถึงแดนทมิฬและเจ่าไห่นั้นได้สติขึ้นมา เมอร์รินนั้นสังเกตุเห็นว่านายน้อยนั้นเปลี่ยนไป เขาไม่ใช้นายน้อยคนเดิมที่ค่อยแต่จะสร้างปัญหา แต่ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ใหญ่ที่รู้ว่าจะต้องจัดการปัญหาแบบไหนและรู้ว่าจะต่อสู้เพื่อตระกูลนี้อย่างไร
ครั้งแรกนั้นเป็นหัวไช้เท้าเวทย์มนตร์ ต่อมาก็เป็นบูลอายแรบบิทและตอนนี้ก็การปรับปรุงดิน ทันใดนั้นเองเมอร์รินก็ตระหนักได้ว่านายน้อยตรงหน้าเธอนั้นเปลี่ยนไปราวกับคนแปลกหน้าสำหรับเธอ แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ในหัวใจของเธอนั้นได้เห็นภาพอันเลือนลางของนายน้อยที่จะกอบกู้ตระกูลขึ้นมา
เม็กรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างจากตัวอดัมกำลังดึงดูดเธอ เขาไม่ได้มีกลิ่นอายของคนเจ้าอารมณ์ แต่มันเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายของความสงบของธรรมชาติซึ่งทำให้ผู้คนนั้นอยากจะเข้าใกล้เขามาขึ้น
เธอนั้นชอบท่าทางที่มั่นใจในตัวเองของอดัมในตอนนี้เช่นเดียวกับรอยยิ้นที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเขา นอกจากนี้เธอยังชอบใบหน้าของอดัมที่มองมายังเธอ ด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เธอนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้หัวใจของเธอนั้นได้ผูกพันกับอดัมอีกครั้งเหมือนตอนวัยเด็ก
เมอร์รินนั้นไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเม็กเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหลังจากที่เธอพูดกับเจ่าไห่เสร็จก็รีบตรงไปยังห้องครัวทันที ซึ่งนั้นทำให้เม็กได้สติขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะก้มหน้าแล้วตามยายเมอร์รินไปยังห้องครัวและนำอาหารออกมา
พวกเขาทานอาหารด้วยกันเหมือนครั้งก่อนๆ แต่วันนี้เมอร์รินและเม็กนั้นรีบทานอาหารอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พกวเธอจะออกไปข้างนอกและสั่งงานพวกทาสเหล่านั้นไปวัดพื้นที่ตามที่สั่ง
เจ่าไห่นั้นสังเกตใบหน้าของเมอร์รินแล้วก็อดขำไม่ได้ เขานั้นเข้าใจความรู้สึกของเมอร์รินดีเลยว่า พวกเขาคิดมาตลอดว่าแดนทมิฬนั้นเป็นเพียงดินแดนแห่งความตายเท่านั้น และตอนนี้มีใครบางคนบอกกับพวกเขาว่าจะเปลี่ยนดินแดนแห่งความตายนี้เป็นแดนสวรรค์ที่อุดมสมบูรณ์ มันก็เหมือนบอกกับคนไข้ที่ใกล้ตายว่าโรคนั้นสามารถรักษาได้ จะมีใครที่จะสามารถสงบจิตสงบใจได้เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้?
เจ่าไห่นั้นลิ้มรสอาหารอย่างช้าก่อนที่จะพาบล๊อคและร๊อคออกจากปราสาท เมื่อพวกเขาออกมาแล้วก็เห็นเมอร์รินและเม็กพาทาสไปวัดที่ดินแล้ว
พวกทาสเหล่านี้นั้นไม่เคยมีทักษะหรือความสามารถใดๆมาก่อน แต่พวกเขาก็พอจะรู้ถึงวิธีการพรวนดินมาก่อน ซึ่งหากพวกเขานั้นถูกสั่งให้ไปทำงานอย่างอื่น พวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะทำได้ แต่การวัดที่ดินและการพรวนดินนั้น เป็นสิ่งที่ทาสเหล่านี้สามารถทำได้
พื้นที่ขนาด 10 มู่จะถูกวัดเสร็จในไม่ช้า เมอร์รินและเม็กนั้นเลือกที่จะไม่อยู่ดูว่าเจ่าไห่จะสามารถที่จะปรับปรุงดินได้จริงๆหรือป่าว
เจ่าไห่มองพื้นที่ 10 มู่ที่ถูกวัดไว้เขาก็รู้สึกได้ถึงความกว้างใหญ่จนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เขาเคยเห็นพื้นที่ขนาดนี้ในมิติฟาร์มมาแล้ว แต่ในมิติฟาร์มนั้นไม่ว่าเขาจะต้องการเก็บเกี่ยว พรวนดินหรือปลูกพืช เขานั้นเพียงแค่นึกคิดถึงสิ่งนั้นงานต่างๆก็เสร็จตามที่เขาคิดโดยที่ไม่จำเป็นต้องกระดิกนิ้วแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องปรับปรุงพื้นที่ถึง 10 มู่นี้ เขาไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นยังไงดี
เมื่อตอนที่เขาอยู่ในมิติฟาร์มนั้น เขาแค่ใช้ความนึกคิดถึงอัตราส่วนสิ่งต่างๆก็จัดการให้เสร็จสรรพ แต่มันจะทำได้บนพื้นที่แห่งนี้งั้นหรือ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถที่จะค่อยๆใส่ดินสเปเทียลหรือน้ำสเปเทียลลงบนดินทีละนิดได้
นั้นขณะที่เจ่าไห่นั้นครุนคิดด้วยความมึนงง ก็มีการแจ้งเตือนจากมิติขึ้นมา “คุณต้องการที่จะปรับปรุงที่ดินแห่งนี้หรือไม่?” ซึ่งตามด้วยปุ่มสองปุ่มที่ปรากฎต่อหน้าเขาว่า ‘ใช่’ และ ‘ไม่’
เจ่าไห่รู้สึกปลื้มกับหน้าต่างที่แสดงขึ้นมา ก่อนที่จะเอื้อมมือกดลงบนปุ่ม ‘ใช่’ แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามือของเขาทะลุลงไปบนหน้าต่างที่แสดงขึ้นมา แต่หน้าจอก็ยังคงลอยอยู่เหมือนเดิมทำให้เขานั้นเหมือนกับคนบ้าที่ทำท่าทางแปลกประหลาด