ตอนที่ 013 – การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์
เจ่าไห่มองไปที่บล๊อคและร๊อคซึ่งก็ยังนิ่งเงียบอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าสองคนนี้จะโง่จริงๆ เพราะทั้งสองนั้นไม่มีความสามารถที่จะโกหกเพื่อนหรือครอบครัวได้เลย ซึ่งสิ่งเดียวที่จะทำได้ตอนนี้คือพาเจ้าสองคนนี้ไปยังมิติด้วย เพราะสุดท้ายแล้วยังไงก็ต้องบอกเรื่องการมีอยู่ของมิตินี้แก่ตระกูลอยู่ดี
เจ่าไห่ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ไม่เป็น ลดดาบลงซะพวกเจ้าตั้งใจจะตามด้วยขนาดนี้แล้วล่ะก็ ข้าพร้อมแล้ว พวกเจ้าเดินเข้ามาหน่อย” ทันทีที่เขาพูดเสร็จ ทั้งสามก็หายไปจากปราสาทและเข้าไปอยู่ในมิติของฟาร์มเรียบร้อยแล้ว
บล๊อคและร๊อคค่อยๆสำรวจพื้นที่โดยรอบๆซึ่งอยู่ในมิติฟาร์ม พวกเขาสนใจหัวไชเท้าที่กำลังโตอยู่ในไร่ ในขณะนั้นเองก็เห็นกระท่อมหลังเล็กๆพร้อมกับกองสิ่งของต่างๆอยู่ข้างหน้า
เมื่อเจ่าไห่มองไปที่สองพี่น้องก็พบว่าพวกนี้ยังคงถือดาบอยู่ในมือ เจ่าไห่จึงปรบมือลงบนบ่าและกล่าวว่า: “ลงดาบลงซะ พวกนายรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือป่าว?”
สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของบล๊อคและร๊อค คือทั้งสองลดดาบลงอย่างไม่รู้ตัว พวกเขารู้สึกว่าไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของเจ่าไห่ เพราะคำพูดของเจ่าไห่ตอนนี้ดูเหมือนมีพลังสำหรับพวกเขาและรู้สึกต้องเชื่อฟัง
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของทั้งสอง เจ่าไห่ก็รู้สึกเหมือนว่าทั้งสองจะยอมรับเขาอย่างแท้จริงและปฏิบัติตามคำสั่งของเขา [ผู้แปล : ก่อนหน้านี้บล๊อคและร๊อคจะเชื่อฟังกรีนเป็นหลักแต่ทำไมอยู่ดีๆ ถึงฟังเจ่าไห่นั้นต้องอ่านต่อไปเรื่อยแล้วคุณจะรู้คำตอบเอง]
แต่อย่างไรก็ตามเจ่าไห่นั้นไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่กับสนใจหัวไชเท้าที่กำลังเติบโตอยู่ เพราะตอนนี้เขาเหลืออยู่ 200 เหรียญทอง เขาจำได้ว่าตัวเกมมักจะปล่อยวัชพืชและแมลงปล่อยออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งออกมาค่อยข้างบ่อยด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวขัดขว้างการเจริญเติบโตของพืช
แต่โชคยังดีเพราะดูเหมือนว่าในตอนนี้จะยังไม่มี แต่เจ่าไห่ก็ยังไม่แน่ใจและคิดว่าต้องเขามาตรวจสอบเป็นระยะ มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปลูกพืชเพราะมิติฟาร์มนั้นจะคอยแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่เจ่าไห่นั้นยังคงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวัชพืชและแมลงที่จะถูกปล่อยออกมา
ในสถานการณ์เช่นนี้เขาใช้เพียงแค่การคาดเดาไม่ได้เพราะมันเกี่ยวพันถึงรายได้ของตระกูล และหากเขาต้องการที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เขาจำเป็นต้องมีเงินจำนวนมหาศาล ฉะนั้นจึงให้เรื่องเหล่านี้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เลย
บล๊อคและร๊อคยังคงติดตามเจ่าไห่อย่างใกล้ชิดเหมือนเดิมแม้ว่ามุมมองของทั้งสองที่มีต่อเจ่าไห่จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งคู่นั้นเชื่อฟังเฉพาะกรีนแต่เมื่อมายังมิติแห่งนี้ สถานะของเจ่าไห่ก็สูงกว่ากรีน นอกจากที่พวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งเจ่าไห่แล้ว พวกเขาก็ยังนับถือเจ่าไห่มากกว่าใครๆ
เจ่าไห่นั้นไม่รู้ว่าในมิติแห่งนี้มีเวทย์มนตร์บางอย่างอยู่ เพราะทุกสิ่งในมิตินี้จะเชื่อฟังคำสั่งของเขาทุกอย่าง แต่จากนี้ไปต้องทำให้มิตินี้เพิ่ม LV ขึ้นก่อน ตอนนี้ LV ของเขานั้นน้อยเกินไป และเจ่าไห่จะสามารถควบคุมสิ่งต่างๆในมิตินี้ได้มากขึ้นเมื่อมี LV ที่สูงขึ้น
ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของมิติฟาร์มแห่งนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เขานำเข้ามาในมิติแห่งนี้จะทำให้สิ่งต่างๆนั้นยกย่องให้เขาเป็นเจ้านายโดยอัตโนมัติ เขาไม่ใช่เป็นเพียงพระเจ้าในมิติแห่งนี้ แต่คำสั่งของเขาคือคำพิพากษาที่ต้องทำตาม ดังนั้นบล๊อคและร๊อคจึงมีทัศนคติต่อเจ่าไห่ที่เปลี่ยนไป
เจ่าไห่ยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ซึ่งเขาได้แต่ตรวจสอบสิ่งต่างๆแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ในตอนนี้นั้นเป็นไปได้ด้วยดี แม้ว่าเขาจะเพิ่ม LV ได้เจ่าไห่ก็ได้เพียงแค่เมล็ดพืชบางชนิด
แต่อย่างไรก็ตามเจ่าไห่นั้นยังอารมณ์ดีอยู่ เพราะแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีเงินไม่มากนักแต่ด้วยเงินจำนวนนี้นั้นเพียงพอที่ซื้อเมล็ดพันธุ์ได้อีกชุดหนึ่ง ถ้าหากกรีนนั้นไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยว เขาจะทำการขายผลผลิตและเก็บเงินบางส่วนไว้สำหรับซื้อเมล็ดเพื่อปลูกผักเพิ่มเติม
เจ่าไห่นั้นยังไม่ต้องการที่จะปลูกพืชชนิดอื่นๆ เนื่องจากตอนนี้เขายังมีความรู้ที่ไม่มากเกี่ยวกับพืชพันธุ์ของโลกแห่งนี้ เขากลัวว่าหากปลูกพืชชนิดอื่นแล้วจะไม่สามารถนำออกไปขายได้ ซึ่งถ้าหากเขาปลูกพืชหลายชนิดจนเกินไป จะทำให้ข้อตกลงที่เขามีจะทำกำไรได้น้อยลง ซึ่งเขาไม่อาจให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นได้กับเขาในตอนนี้
หัวไชเท้านั้นค่อนข้างที่จะขายได้ดีในโลกแห่งนี้ ดังนั้นตอนนี้การปลูกหัวไชเท้าจึงวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ เจ่าไห่นั้นไม่สามารถที่จะให้เกิดเรื่องผิดพลาดได้เพราะผลกระทบที่เกิดนั้นไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว แต่มันกระทบต่ออนาคตของตระกูลบูดาทั้งหมด
เจ่าไห่เข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงสืบทอดร่างของอดัมหัวหน้าตระกูลบูดาแต่เขายังมีภาระที่ยิ่งใหญ่ด้วย ด้วยความจริงของนี้เขาจำเป็นต้องเข้มแข็งและทำตัวอย่างลับๆ เขานั้นไม่ต้องการที่จะทำพลาดจนเปิดโปงเรื่องต่างๆ เพราะหากศัตรูของเขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาคงตายเป็นแน่
เจ่าไห่นั้นไม่แน่ใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงของบล๊อคและร๊อคก่อนจะกล่าวว่า“ไม่มีอะไรที่นี้แล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
ทั้งบล๊อคและร๊อคนั้นตอนนี้เชื่อฟังคำสั่งของเขาแล้วและพวกเขาไม่คิดจะต่อต้านด้วย พวกเขากล่าวว่าพร้อมกัน: “ได้ครับนายน้อย!” เจ่าไห่นั้นรู้สึกประหลาดใจกับการตอบของบล๊อคและร๊อคเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เจ้าพวกนี้ตอบแบบนี้กับเขา ซึ่งเจ่าไห่นั้นก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้จึงไม่พบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับทั้งสองคน เมื่อเจ่าไห่คิดว่าจะออกจะมิติทันใดนั้นพวกเขาก็กลับมาอยู่ที่ห้องแล้ว
เมื่ออยู่ในห้อง เจ่าไห่มองดูรอบๆก็พบว่าประตูนั้นยังปิดอยู่ซึ่งแสดงว่าไม่มีใครเขามาในห้องนี้ เมื่อเจ่าไห่รู้เรื่องนี้ก็ถอนหายใจก่อนที่จะพูดกับบล๊อคและร๊อค “ไปกันเถอะ พวกเราไปดูรอบๆปราสาทกัน ผมต้องการที่จะเห็นดินในแดนทมิฬและคูน้ำสักหน่อยเพื่อว่าจะสามารถเลี้ยงปลาได้” เจ่าไห่พูดขณะเดินไปพวกกับสองพี่น้อง
ในอดีตบล๊อคและร๊อคคงจะหยุดเขาไว้เพราะคำสั่งของกรีนที่ไม่ให้เจ่าไห่นั้นออกจากปราสาท แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ
เมื่อทั้งสามเดินไปยังลานของปราสาท เมื่อเจ่าไห่เห็นกองสิ่งของที่ยังไม่ได้เก็บเข้าไปในปราสาท เขาก็ทำการเก็บของทั้งหมดเข้าไปในมิติฟาร์ม ในขณะเดียวกันเมื่อคิดถึงสิ่งของเหล่าในมิติก็พบว่าสิ่งของทั้งหมดถูกจัดสรรและแบ่งหมวดหมู่อย่างชัดเจนรวมทั้งปริมาณของสิ่งของด้วย เจ่าไห่นั้นรู้สึกเป็นที่พอใจอย่างมาก
เจ่าไห่นั้นค้นพบว่าเขาสามารถที่จะควบคุมฟาร์มได้แม้ว่าจะไม่ได้อยู๋ในมิติก็ตาม ในขณะนั้นเมื่อเขาต้องการจะสังเกตการณ์ใดๆในมิติก็จะมีภาพฉายขึ้นหน้าต่อหน้าเขา นอกจากนี้ดูเหมือนว่าบล๊อค ร๊อคและคนอื่นๆจะไม่เห็นภาพฉายนี้ซึ่งดูจะสะดวกสบายมาก
ทั้งสามคนนั้นค่อยเดินออกจากปราสาทผ่านประตูหน้า ส่วนเมอร์รินและเม็กนั้นคอยดูแลพวกทาสที่กำลังจัดการเรื่องที่ได้รับมอบหมายในเหมืองร้าง
ในความเป็นจริง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สังเกตการณ์พวกทาสเหล่านั้นก็ไม่เกียจคร้านเลยแม้แต่น้อย เจ่าไห่ได้มอบเป้าหมายให้พวกเขา ให้พวกเขาพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้พวกเขาพ้นจากความเป็นทาส เพราะสำหรับพวกทาสแล้วเป้าหมายนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้ดีทีเดียว
เมอร์รินและเม็กนั้นสังเกตุเห็นว่าพวกทาสนั้นดูมีความกระตือรือร้นมากกว่าปกติ พวกเขาทำงานอย่างหนักแม้ว่างานที่ต้องใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงถึงจะทำเสร็จแต่ตอนนี้พวกเขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เจ่าไห่ไม่ค่อยจะมาที่นี้แม้ว่าเขาจะมีคนที่ไว้ใจได้เพียงไม่กี่คน ซึ่งเมอร์รินคือหนึ่งในนั้น และทาสในตอนนี้ก็เชื่อในคำสัตย์สาบานของเขาเพราะว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะไปที่นั่น ในตอนนี้พวกเขาต้องการที่จะเข้าใจสภาพพื้นที่ของแดนทมิฬเพื่อที่จะดูว่ามิติฟาร์มนั้นพอที่จะพัฒนาดินแดนแห่งนี้ได้หรือไม่
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งแรกเลยคือเขาต้องการที่จะดูคือคูน้ำ ซึ่งคูน้ำที่มีนั้นไม่ได้กว้างมากแต่ถูกสร้างมาอย่างปราณีต และสร้างมาจากหิน ขนาดไม่มีคนมาอยู่ที่นี้หลายปีแล้วแต่น้ำก็คงยังใสสะอาดจนสามารถมองเห็นก้นของสระน้ำได้
เมื่อเจ่าไห่ตรวจสอบเส้นทางน้ำก็พบว่า มันนั้นถูกสร้างโดยใช้แหล่งน้ำจากสองแหล่งทำให้ถูกถ่ายเทไปมา ซึ่งส่วนแรกนั้นมาจากน้ำพุซึ่งไหลมาจากภูเขา อีกส่วนนั้นมาจากน้ำใต้ดิน
โดยทั่วไปแล้วมันแปลกที่คูน้ำมันเชื่อมต่อกับน้ำใต้ดิน แต่อย่างไรก็ตามน้ำใตดินนั้นไหลมายังคูน้ำด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านนั้นเป็นทางระบายน้ำ ดังนั้นคูน้ำนี้เป็นน้ำที่มีการถ่ายเททำให้สามารถเลี้ยงปลาได้
แต่การจะเลี้ยงปลาได้นั้นจำเป็นต้องทำการปรับปรุงคูน้ำนี้ก่อนเพราะไม่อย่างนั้นปลาที่เลี้ยงก็จะหนีออกไปทางระบายน้ำซึ่งเลี้ยงไปอย่างเปล่าประโยชน์
แต่มันก็มีมีปัญหาเพราะว่าคูน้ำนี้นั้นเชื่อมต่อกับระบบระบายน้ำของปราสาท การปรับปรุงคูน้ำทำให้ต้องเปลี่ยนระบบระบายน้ำของปราสาทด้วย ดังนั้นมันยิ่งจะทำให้ปัญหาเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก
เจ่าไห่ขมวดคิ้ว ก่อนที่จะปล่อยวางเรื่องคูน้ำทิ้งไว้ก่อน ต่อไปคือตรวจดูสิ่งต่างๆในแดนทมิฬ ถ้าหากสามารถที่จะพัฒนาพื้นดินได้ เขาจะเรื่องให้คิดมากกว่านี้อีกเพราะ จะต้องคิดถึง การทำเกษตรกรรม การทำชลประทาน การเก็บเกี่ยวรวมถึงการวางแผนต่างๆอย่างรอบคอบ
การทำการเกษตรกรรมนั้นดูเหมือนง่ายแต่ในความจริงนั้นมันยากมากเลยที่จะทำให้ได้ผลผลิตที่ดี พร้อมกับการที่เจ่าไห่นั้นเป็นเพียงแค่เด็กเนิร์ดที่ไม่เคยรู้เรื่องการเกษตรเลย แต่อย่างไรก็ตามเขาก็พอจะมีความรู้เกี่ยวกับการเกษตรบ้าง เขาเคยเห็นคนทำฟาร์มมาก่อนและประเทศที่เขาอยู่ยังให้ความสำคัญกับการเกษตร ทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับการทำฟาร์ม ภัยแล้งและน้ำท่วมมากมาย นอกจากนี้เขายังชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ เพราะสิ่งเหล่านี้เองทำให้เจ่าไห่เข้าใจถึงความยากลำบากในการทำการเกษตร
นอกจากนี้เขายังเคยได้ยินเรื่องการอนุรักษ์น้ำ ซึ่งมันถูกกล่าวถึงบ่อยในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะราชวงศ์ไหนก็จะมีความกังวลในเรื่องนี้ แต่แดนทมิฬนั้นไม่มีการทำระบบชลประทานไว้เลย
ซึ่งมันแปลกที่ไม่มีพืชอะไรเลยที่ขึ้นในแดนทมิฬและดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว มีบางอย่างทำลายทุกสิ่งที่นี้ในอดีต เห็นได้ชัดว่าเจ่าไห่นั้นรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแดนทมิฬนั้นน้อยเกินไป
เจ่าไห่นั้นพาบล๊อคและร๊อคไปกับเขา ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงพื้นที่ที่เป็นดินดำ เจ่าไห่นั่งลงอย่างช้าก่อนที่กำดินขึ้นมา ตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ
ก่อนหน้านี้เจ่าไห่นั้นอาศัยอยู่ในเมืองบ่อน้ำมันทางตอนเหนือของจีน มีสิ่งที่คล้ายกับดินดำนี้ คือดินน้ำมัน ดินน้ำมันนั้นเป็นส่วนผสมของทรายและน้ำมัน ถึงเนื้อสัมผัสจะต่างกันแต่สีของมันเหมือนกันคือสีดำและนอกจากนี้ยังให้ความรู้สึกที่เหมือนกัน
หัวใจของเขานั้นสั่นสะท้านเพราะหากมันเป็นดินน้ำมันจริง นั้นคือทางตันสำหรับเขา เขาคงไม่สามารถที่จะปลูกอะไรได้ เขาหวังว่ามันจะเหมือนกันแค่สัมผัสและความรู้สึกเพียงแค่นั้น
เจ่าไห่พูดกับบล๊อค “บล๊อคขุดดินขึ้นมาซะ พวกเราจะนำมันไปวิจัย” บล๊อคตกลงแล้วเอาดาบปักลงดินเพื่อขุดดินบางส่วนออกมา
เจ่าไห่ผยักหน้าก่อนจะบอกว่า “พอแล้ว” หลังจากที่พูดเขาก็นำก้อนดินดำนั้นส่งไปยังโรงนาในมิติฟาร์มซึ่งเขาจะนำไม่วิเคราะห์ภายหลัง
หลังจากที่เขาได้ดินดำที่มาพอ เจ่าไห่มองไปยังดินแดนของแดนทมิฬที่กว้างสุดลูกหูลูกตาก่อนที่จะถอนหายใจ ซึ่งมันกว้างใหญ่มาก แต่ไม่สามารถที่จะปลูกพืชอะไรได้เลยช่างน่าเสียดายจริงๆ เจ่าไห่หวังว่าน้ำและดินในมิติฟาร์มของเขาจะสามารถปรับปรุงมันได้ ไม่งั้นแล้วถึงแม้ว่าเขาจะสามารถปลูกสิ่งต่างๆได้ มันก็ไม่เพียงพอและจะทำให้ทุกคนรู้เรื่องความลับของเขา ซึ่งนั้นจะทำให้ตระกูลบูดาพังพินาศ