ตอนที่ 006 – แนวทาง
ตอนนี้เขาต้องเก็บตัวให้พ้นจากความสนใจของขุนนาง
เจ่าไห่นั้นได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเดินทางข้ามโลกมานับไม่ถ้วนทำให้เขาเข้าใจว่าหากทำตัวเด่นเกินไป จะเป็นภัย เจ่าไห่คิดว่าการที่นิยายส่วนใหญ่ให้ตัวละครหลักนั้นมีความสามารถในการเรียกลมหรือฝนในต่างโลกได้นั้นเพราะนักเขียนมือทองต้องการเขียนในลักษณะนั้น แต่ในความจริง ในโลกที่อยู่ตัวคนเดียวในสภาวะสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยหากทำตัวไม่ดี จุดจบที่ตามมามักจะไม่สวย
เจ่าไห่อยู่ฐานะทายาทคนสุดท้ายของตระกูลบูดา และในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มคนที่ถูกหมายหัวโดยกลุ่มอำนาจต่างๆในจักรวรรดิอาร์ซู ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาจำเป็นต้องเก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆไม่เช่นนั้นแล้วคนที่จะตายคนแรกคือตัวเขาเอง
แม้ว่าเขาจะสามารถซ่อนตัวในมิติฟาร์มได้ แต่มันมีอีกหลากหลายวิธีมากที่จะฆ่าคน หนึ่งคน และเจ่าไห่ไม่ต้องการให้ใครเอามีดมาจี้ที่คอแม้กระทั่งเวลาที่เขานอนหลับ
ขณะที่เจ่าไห่กำลังคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู เจ่าไห่ตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “เข้ามา”
เม็กเปิดประตูและเดินเข้า เธอก้มหน้าเดินเข้ามาโดยที่ไม่มองเจ่าไห่ก่อนคำนับเขาแล้วพูดว่า “นายน้อย”
เจ่าไห่มองดูรูปร่างหน้าตาของเม็กแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เหตุผลที่เม็กก้มหน้าและไม่มองมาที่เขาก็เพราะอดัมนั้นเคยลวนลามเม็กเพราะความสวยของเธอมาก่อน แต่อดัมก็ทำไม่สำเร็จจนทำให้เม็กต้องค่อยหลบหน้าเขาเรื่อยมา เธอมักจะคำนับเขาและเรียกเขาแค่ “นายน้อย” ก่อนเดินจากไป
เจ่าไห่ถอนหายใจกับปัญหาที่อดัมนั้นก่อไว้แต่นี้คือสิ่งที่เขาต้องจัดการ สวรรค์ช่างสร้างปัญหาที่ยิ่งใหญ่ไว้กับข้าจริงๆ
เจ่าไห่มองที่หน้าของเม็กแล้วถอนหายใจอีกครั้ง: “ฉันไม่เป็นไร เธอไปพักข้างล่างเถอะ ฉันจะหลับอีกสักหน่อย เธอมาเรียกฉันตอนมื้อเย็นแล้วกัน”
เม็กส่งเสียงตอบรับแล้วมองหันไปรอบๆ ก่อนก้าวออกไปข้างนอกห้องแต่เธอยังคงยืนออกนอกประตูเฝ้าห้องเจ่าไห่ไว้ เมื่อเห็นเธอรีบออกจาห้องเพื่อหนีจากเจ่าไห่ ทำให้เขาสะแยยิ้มออกมา
ร่างกายของเขาตอนนี้ปกติดีแล้ว แต่เหตุผลที่เขาต้องการพักผ่อนก็เพื่อเรียบเรียงความทรงจำของอดัมดูว่ามีสิ่งไหนบ้างที่เขายังไม่รู้ พร้อมกับการที่เขามีสเปเทียลฟาร์ม ซึ่งช่วยกอบกู้ตระกูลขึ้นมาได้ เขากำลังคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากสเปเทียลฟาร์มอย่างไรให้มากที่สุด
ตอนนี้เขากำลังปลูกหัวไช้เท้าไว้ข้างในมิติ และหากเขาขายหัวไชเท้าเหล่านั้นให้มิติเขาจะได้เงินจำนวนอย่างน้อย 500 เหรียญทอง หรือก็คือจะได้กำไรอยู่ที่ 350 เหรียญทอง
เจ่าไห่สามารถนำหัวไชเท้าออกมานอกมิติเพื่อให้กรีนนำไปขายในพื้นที่ต่างๆในทวีปอาร์คได้ ซึ่งอาจทำให้เขาได้จำนวนเงินที่มากขึ้น
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่าเขาไม่แน่ใจว่าในทวีปอาร์มีหัวไชเท้าอยู่หรือป่าว อดัมเป็นพวกเสเพลนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเคยซื้อผักและกินสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเขา ตัวอดัมคงไม่เคยถามว่าในอาหารนั้นใส่อะไรลงไปบ้างดังนั้นในความทรงจำก็เลยไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับหัวไชเท้านี้เลย
ถ้าไม่สามารถนำหัวไชเท้าออกขายได้แล้วเขาก็คงต้องแปรรูปเป็นอย่างอื่นก่อน หัวไชเท้านั้นสามารถใช้ได้ทุกส่วน แม้กระทั่งใบหัวไชเท้าก็มีค่า เพราะมันมีรสที่อร่อยมากหากนำมันไปหมักไว้ ดังนั้นเขาต้องเก็บเกี่ยวหัวไชเท้าให้ได้เร็วที่สุด
เจ่าไห่นั้นอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของจีน เขาจำได้ว่าแม่ของเขาเคยหมักใบหัวไชเท้าตอนที่เขายังเด็กซึ่งมันให้รสชาติที่อร่อยมาก
นอกจานี้มันอาจใช้เป็นอาหารสัตว์บางชนิดได้ด้วย ซึ่งหากในทวีปอาร์คนี้ไม่มีหัวไชเท้า เขาคงจะขายมันให้กับร้านสเปเทียลแต่เก็บใบไว้ให้สัตว์เวทย์มนตร์อื่นๆได้ ในความทรงจำของอดัมมีสัตว์เวทย์มนตร์ที่เลี้ยงง่ายเพราะมันสามารถกินอะไรก็ได้และเมื่อเวลานั้นที่พวกมันสามารถผสมพันธุ์ได้จนมีสัตว์เวทย์มนตร์จำนวนมาก เราก็หมดกังวลเรื่องเนื้อสัตว์ นอกจากนี้หากเขาสามารถสร้างทุกหญ้าเพื่อทำปศุสัตว์ รายได้ของเขาก็จากมากขึ้น
แต่ถ้าโลกนี้มีหัวไชเท้าแต่ราคาไม่สูง เขาก็แค่ขายมันให้ร้านสเปเทียล และเก็บใบมันไว้ ไม่ว่าจะแบบไหนเขาก็จะไม่ทำให้มันศูนย์เปล่าเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะLVของฟาร์มยังไม่สูงมาก เจ่าไห่จึงไม่สามารถใช้งานทุ่งหญ้าในมิติได้ แต่เขาสามารถสร้างทุ่งหญ้าที่นี่ในทวีปอาร์ก่อนได้ เมื่อฟาร์มเขามีLVมากพอในภายหลัง เขาก็สามารถเปิดทุ่งหญ้าในมิติที่และเลี้ยงสัตว์จากโลกที่เขามาได้
เจ่าไห่คิดทบทวนสิ่งต่างๆจนได้ว่า การพัฒนาของเขานั้นจำเป็นต้องอาศัยการทำฟาร์มเป็นหลัก ถึงแม้ แต่อย่างไรก็ตามตัวมิตินั้นไม่มีทักษะโจมตีเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขามีพื้นดินที่กว้างใหญ่,ภูเขาและบึงมรณะ พื้นที่เหล่านี้ล้วนเป็นของเขาทั้งสิ้นแต่การจะปรับปรุงพื้นที่เหล่านี้ให้ใช้ประโยชน์ได้นั้นจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมาก
เจ่าไห่หวังว่าดินสเปเทียลและน้ำสเปเทียลจะช่วยปรับสภาพดินในแดนทมิฬนี้ได้ ถ้าหากมันสำเร็จเขาสามารถที่จะขยายพื้นที่ที่ใช้ในการเพาะปลูกได้อย่างมากมายมหาศาล เพราะดินแดนแห่งนี้จะเป็นรากฐานให้กับตระกูลบูดา
ส่วนเรื่องกำลังคนนั้นเจ่าไห่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เพราะในโลกนี้มีทาสอยู่ซึ่งในโลกที่เขาอยู่นั้นไม่มี
ตราบใดที่คุณมีเงิน คุณก็สามารถที่จะซื้อทาสได้อย่างไม่จำกัดและชีวิตของพวกทาสก็จะตกเป็นของผู้ชื้อโดยทันที พวกเขาจะซื่อสัตย์ต่อคุณโดยไม่ขัดขืนและไม่สามารถหนีไปไหนได้เนื่องจากทาสแต่ละคนจะถูกตราสัญลักษณ์ของตระกูลไว้ที่หน้าผากเสมอ ซึ่งหากพวกทาสพบว่าเป็นพวกไร้นายหรือแอบหนีออกไป ผลที่ตามนั้นแย่เสียยิ่งกว่าตาย
ดังนั้นหากเขาสามารถทำฟาร์มจนมีเงิน เรื่องกำลังคนจึงไม่ใช่ปัญหา ในทวีปนี้มีทาสจำนวนมากแม้ว่าอาจจะไม่ใช่ทาสโดยดั้งเดิมแต่หากให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับพวกขุนนางแล้วละก็ เรื่องหาทาสก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร
ขุนนางครอบงำทุกสิ่ง เป็นคติง่ายๆของโลกแห่งนี้
แต่สถานการณ์ปัจจุบันหากเจ่าไห่นั้นซื้อทาสไปเป็นจำนวนมาก มันจะเป็นจุดสนใจจนเกินไป ดังนั้นตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเก็บตัวให้พ้นจากสายตาของเหล่าขุนนาง และพัฒนาฟาร์มนี้คือแนวหลักในการกอบกู้ตระกูล
เมื่อเจ่าไห่คิดเรื่องนี้ก็ถอนหายใจก่อนจะเอนตัวลงนอน เขารู้สึกราวกับว่ากำลังฝันอยู่ เขาเป็นเพียงแค่เนิร์ดจากโลก แม้ว่าจะชอบอ่านนิยายมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะมาอีกโลกหนึ่ง แต่ใครจะคาดคิดละว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเขา
พระเจ้าการที่แยกเนิร์ดออกจากคอมพิวเตอร์ มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปแล้ว
เจ่าไห่ถอนหายใจพร้อมคลุกอยู่บนเตียงก่อนมองไปยังเพดานก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ โลกนี้คงจะไม่มีสถานที่พักผ่อนอื่น แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร นิยายของฉัน ไม่นะ ม่ายยยยย
อาจเป็นเพราะเจ่าไห่ได้รับความทรงจำที่มากมายและการมีสเปเทียลฟาร์ม ทำให้เขาตื่นเต้นเกินไปจนร่างกายนั้นเหนื่อยล้า จนทำให้เขาเผลอหลับไป
สิ่งที่เจ่าไห่ไม่รู้ก็คือเมื่อเขาหลับไปประตูห้องของเขาก็เปิดออกก่อนที่เม็กจะเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเจ่าไห่หลับอยู่ เธอก็เอาผ้าห่มมาคลุมเจ่าไห่ เธอยืนอยู่ข้างเตียงก่อนที่จะพูดว่า “นายน้อย สู้เข้านะค่ะ อนาคตรของตระกูลบูดาอยู๋ในมือของคุณแล้ว”
เมื่อพูดจบเธอออกเดินไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเม็กออกจากห้องเจ่าไห่ กรีนก็เดินขึ้นมาและพูดว่า: “เม็กนายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง? เขาทำอะไรอยู่ตอนนี้?”
เม็กกล่าวว่า“นายน้อยไม่เป็นอะไร ตอนนี้เขากำลังหลับอยู่”
กรีนพยักหน้า: “ไปช่วยย่าเตรียมอาหารเย็นเถอะ เสร็จแล้วก็มาเรียกนายน้อยด้วยละ เฮ้อ เมื่อเรามาที่แห่งนี้แล้วก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนักก็ได้” กรีนส่ายหัวก่อนจะเดินกลับไป
เม็กมองไปที่ปู่ของเธอ เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่ากรีนกำลังคิดอะไรอยู่ ชีวิตนี้ของกรีนนั้นยกให้ตระกูลบูดาไปแล้ว และไม่เคยคิดว่าตระกูลบูดาจะตกอับในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ นี้เป็นทำให้กรีนนั้นรู้สึกแย่
เม็กเดินตามกรีนไปยังห้องครัว แม้ว่าเมอร์รินจะเป็นแม่ครัวเพียงคนเดียวในปราสาทแห่งนี้ แต่เธอก็ทำอาหารแค่เฉพาะคนในตระกูลบูดาเท่านั้น ส่วนทาสจะทำอย่างไรนั้นเธอไม่ได้สนใจเพราะกรีนได้ให้อาหารไปแล้วจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกทาส
เม็กเข้าใจในสิ่งที่กรีนจัดการกับเรื่องนี้ แม้ว่าทาสเหล่านี้จะน่าสงสารแต่ก็ยังดีเหมือนเทียบกับที่อื่น แม้ว่าอาหารจะไม่ได้หรูหรามากนักแต่อย่างน้อยพวกเขาก็กินอิ่มท้อง นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากเมื่ออยู่กับขุนนางคนอื่น
เม็กเข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่า ตอนนี้ตระกูลบูกดานั้นต้องการปู่กรีน ส่วนอดัมนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้เลยตอนนี้เธอได้หวังแต่ว่าอดัมจะฉลาดพอที่จะคิดได้ว่าต้องทำอะไรไม่อย่างงั้นแล้วตระกูลบูดาคงจะหมดหวังและไม่อาจคงอยู่ต่อไปได้
ถึงแม้ว่าอดัมจะคิดได้แต่เขาก็ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ก่อนหน้านี้นั้นอดัมเป็นคนเสเพลที่ขาดการอบรมและทักษะซึ่งทำให้เขาไม่มีความรู้ในการบริหารจักการตระกูลเลย ถ้าเขาคิดได้แล้วเรียนรู้มันก็จะดี แต่ถ้าเขาไม่เรียนรู้แล้วให้คำสั่งผิดๆ พวกเขาคงมีโอกาสที่จะอยู่รอดเพียงไม่กี่ปี
แม้ว่าตระกูลบูดาจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากแต่เขาก็เป็นขุนนางมาก่อน แม้ว่าจะถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากร แต่ทรัพย์สินก็ไม่ได้ถูกยึดทำให้เขายังพอมีเงินจำนวนหนึ่งประมาณ 100,000 เหรียญทองซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยเลย
แต่ตอนนี้กรีนเอาเงินปซื้อข้าวของที่จำเป็นทำให้เหลืออยู่เพียงประมาณ 100 เหรียญทอง ซึ่งหากตระกูลบูดายังใช้เงินอย่างเมื่อก่อน คนเหล่านี้คงได้แต่ผูกคอตายหรือไม่ก็อดอยากจนตาย
ตอนนี้อดัมคือคนจะตัดสินชะตากรรมของตระกูลบูดา