ตอนที่ 003 – ตื่นขึ้น
เจ่าไห่ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขา ความทรงจำของอดัมในตอนนี้ได้หลอมรวมเข้ากับความทรงจำของเขาเรียบร้อยแล้ว เจ่าไห่รู้แล้วว่าตอนนี้เขาเดินทางข้ามโลกมาแล้วจริงๆ และยังเป็นรูปแบบทั่วไปก็คือการข้ามผ่านทางวิญญาณ
ถ้าหากเขาไม่รู้เรื่องการเดินทางข้ามโลก เจ่าไห่คงไม่ได้ชื่อว่าเป็นเนิร์ดจากโลก เขาแค่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ และเกิดขึ้นกับตัวเขา ที่วิญญาณส่งมาลงในร่างของปีศาจตัวน้อยคนนี้
เจ่าไห่รับรู้สถานการณ์ต่างๆผ่านทางความทรงจำของอดัม แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือสถานที่แห่งนี้เพราะอดัมนั้นหมดสติไป และตัวเขาถูกพาตัวออกจากเมืองหลวง ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิอาร์ซู เมื่อมองไปรอบๆเขารู้ว่านี้ไม่ใช่บ้านที่อดัมเคยอยู่
เจ่าไห่เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขารู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างๆเขา เมื่อเขาหันไปก็พบชายแก่ที่เคยเห็นในช่วงที่เขาตื่นขึ้นมาครั้งแรกยืนอยู่ แม้ว่าท่าทางของชายแก่จะดูเคร่งขรึมแต่ในดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความกังวล
ต่างจากครั้งแรกที่เขาได้ตื่นขึ้นมา เจ่าไห่รู้จักชายแก่คนนี้ เขาคือพ่อบ้านของตระกูลบูดา กรีน บูดา เดิมนั้นกรีนไม่ได้ใช้นามสกุลบูดาแต่ปู่ของเจ่าไห่ได้แต่งตั้งกรีนเนื่องจากความจงรักภักดีของเขาต่อตระกูลบูดาและยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด
แม้ว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างอดัมและกรีนจะไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากอดัมเป็นเด็กที่เสเพล ในขณะที่กรีนเป็นคนที่จริงจัง ซึ่งกรีนจะคอยสั่งสอนและคอยห้ามปราม ซึ่งมันทำให้อดัมค่อยข้างที่จะไม่พอใจกรีน แต่เพราะกรีนเป็นคนเก่าแก่ แม้แต่เขาและพ่อของเขาเองก็ไม่กล้าเสียมารยาทกับกรีน ทำให้เขาทำได้เพียงแค่อดทน
หลังการเกิดใหม่นี้เจ่าไห่นั้นไม่ได้ปัญญาอ่อนแบบอดัม ด้วยการที่เขาอ่านนิยายที่มีเนื้อเรื่องของการข้ามโลกมานับไม่ถ้วนนั้นทำให้เขาสงบใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และด้วยชีวิตที่เจออุปสรรคมากมายของเขา เจ่าไห่นั้นเจนต่อโลกมากกว่าอดัม เขารู้ถึงความสำคัญของกรีนต่อเขา ด้วยการที่เป็นพ่อบ้านที่เก่าแก่ทำให้เขาสามารถมอบหมายงานหลายๆอย่างให้กรีนได้
ในความทรงจำของอดัมนั้นทำให้เจ่าไห่รู้ว่ากรีนนั้นอาจจะเก่งกว่าพ่อของเขาด้วยซ้ำไป ในโลกนี้ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้คุณอยู่รอด
เขาใช้ชีวิตเป็นเนิร์ดมานานกว่าที่จะจินตนาการได้ และด้วยความทรงจำของอดัมในหัวของเขา ทำให้เจ่าไห่ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มีเพียงสองสิ่งที่เขารู้สึกไม่มีความสุขเลยก็คือ หนึ่งมันไม่มีคอมพิวเตอร์ที่นี้ทำให้เขาออนไลน์ไม่ได้ การที่เนิร์ดนั้นไม่สามารถเข้าเว็บไซต์ได้นั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าความตายเสียอีก สองคือการที่เขาดื่มน้ำแห่งความว่างเปล่า ทำให้ไม่สามารถฝึกฝนพลังฉีหรือเวทย์มนตร์ได้เลย ทำให้ความฝันของเจ่าไห่ที่จะครองโลกนั้นแตกสลาย
เจ่าไห่นั้นไม่ได้ทันสังเกตเลยว่าตัวเขานั้นหลอมรวมความทรงจำของอดัมจนเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ตื่นตระหนกเพราะเขานั้นรู้สึกคุ้นเคยกับการอาศัยอยู่ในทวีปอาร์ค เมื่อมองไปที่สองสิ่งที่ทำให้เขาไม่มีความสุขแล้วสิ่งหนึ่งนั้นเกิดจากตัวเจ่าไห่และอีกส่วนเกิดจากอดัม
ทำให้เจ่าไห่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่นี้และพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อมาถึงจุดๆนี้แล้วเขาต้องอยู่ต่อไปในชื่อของอดัม บูดา
นั้นคือความคิดในตอนนี้ของเจ่าไห่ และเขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ เพื่อที่จะช่วยให้จิตใจของเขานั้นได้ปล่อยวาง มันไม่น่าแปลกใจที่เขาจะยอมรับในตัวตนของอดัมได้ง่ายขนาดนั้น เพราะบนโลกเขาไม่มีครอบครัวและชีวิตส่วนใหญ่ก็ใช้อยู่กับบ้านทำให้เขามีเพื่อนไม่มากนัก จึงไม่ต้องกังวลสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลก การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพราะอย่างน้อยตอนนี้ยังมีคนที่ห่วงใยเขาอยู่ข้างๆ
ตอนนี้กรีนรู้แล้วว่าตอนนี้เจ่าไห่นั้นตื่นขึ้นมาแล้วจึงรีบเดินไปยังด้านข้างและกล่าวว่า “นายน้อย เป็นอย่างไรบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือป่าว? หรือนายน้อยยังปวดหัวอยู่อีกหรือไม่?”
เจ่าไห่ไม่ได้ยินคำพูดที่ดูห่วงใยเขามานานมากแล้ว เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ทำให้ในใจของเขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ขาดหายไปนาน เมื่อตรวจดูร่างกายของเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหน จึงลุกขึ้นนั่งและส่ายหัวไปที่กรีนแล้วพูดออกไปว่า “ผมไม่เป็นไร ปู่กรีนที่นี้คือที่ไหน?”
กรีนจ้องไปที่อดัมแล้วรู้สึกเหม่อลอยไปสักพัก ก่อนหน้านี้อดัมนั้นไม่เคยสุภาพแบบนี้มาก่อน ทำให้กรีนนั้นแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เมื่อได้สติกรีนจึงตอบอดัมไปว่า “นายน้อย พวกเรามาถึงดินแดนทมิฬแล้ว”
เจ่าไห่มองไปยังรอบๆ และพยักหน้าเพื่อถามว่า “นี้คือดินแดนทมิฬจริงๆเหรอ”
กรีนรู้สึกประหลาดใจกับอดัมที่ดูสงบอย่างผิดปกติ แต่เขาก็ตอบกลับไปว่า “ใช่แล้วนายน้อย ที่นี้คือดินแดนทมิฬ”
เจ่าไห่พยักหน้า “ถ้าอย่างงั้นแล้วตอนนี้เราอยู่ส่วนไหนของดินแดนทมิฬ? แล้วสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? เรามีจำนวนคนอยู่เท่าไหร่? แล้วมีพื้นที่มากแค่ไหน?”
ในความทรงจำของอดัมนั้นมีความรู้เกี่ยวกับประวัติของดินแดนทมิฬเพียงเล็กน้อย เพราะว่ามันอยู่ใกล้กับบึงซากศพ และไม่สามารถปลูกพืชได้ สิ่งที่เจ่าไห่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการถาม ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ตอนนี้เขาไม่ใช่อดัมและต่อจากนี้เขาจำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่นี้ ในดินแดนทมิฬดังนั้นเขาจำเป็นต้องเข้าใจถึงสถานการณ์ของที่นี้
กรีนจ้องมองไปที่อดัม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูแลอดัมอยู่ตลอดเวลาแต่ตอนนี้กรีนคิดว่าอดัมในตอนนี้ถูกสลับตัวไปกับคนแปลกหน้า
“หรือว่าเพราะเหตุการณ์นี้ทำให้อดัมเติบโตขึ้น?” แม้ว่ากรีนจะสงสัย แต่เขากลับมองว่านี้อาจเป็นผลจากการเติบโต
แต่พฤติกรรมเจ่าไห่ทำให้กรีนมีความสุขมาก “นายน้อยตอนนี้เราอยู่ที่ปราสาทบนภูเขาเหล็กในดินแดนทมิฬ ภูเขาเหล็กนั้นเคยเป็นที่อยู่ของคนแคระ และพื้นที่บางส่วนสามารถเพาะปลูกต้นไม้ได้ น้อยนายโปรดลงโทษกระผมด้วย ที่กระผมใช้ทรัพย์สมบัติโดยไม่ได้รับอนุญาติ และขายทุกอย่างที่อยู่ในบ้านเพื่อซื้อสิ่งของจำเป็นและทาสทั้งหมด 100 คน ตอนนี้เรามีเงินน้อยกว่า 100 เหรียญทอง ผู้คนที่มาด้วยมีกระผม ภรรยา หลานสาว รวมถึงบล๊อคและร๊อค และทาสอีก 100 คนส่วนคนอื่นๆไม่อยู่แล้ว”
เจ่าไห่พยักหน้าและวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน ตอนนี้เราอยู่ในดินแดนแห่งความตาย แต่ก็ยังมีที่พักอาศัย ส่วนตัวภูเขายังปลูกพืชได้บ้าง ทาสอีก 100 คน รวมทั้ง 5 คนสนิทที่ไว้ใจได้
เจ่าไห่พยักหน้า “ปู่กรีนตัดสินใจถูกแล้ว เงินนั้นเปล่าประโยชน์สำหรับที่แห่งนี้ มีเฉพาะเสบียงที่มีประโยชน์กับเรา ปู่ทำได้ดีแล้ว ผมไม่ติดใจในเรื่องนี้ ปู่กรีน คุณช่วยเป็นธุระในเรื่องต่างๆด้วย แล้วตอนนี้บนภูเขาเหล็กมีพื้นดินส่วนไหนพอที่จะปลูกต้นไม้ได้บ้าง เพราะหลังจากนี้เราจำเป็นต้องมีอาหารไว้ให้กิน”
กรีนพยักหน้า
“รับทราบครับ นายน้อยพักผ่อนไปก่อน เดี๋ยวกระผมจะให้เมกมาคอยดูแลในช่วงนี้”
เมื่อกรีนกล่าวถึงเมก ในหัวของเจ่าไห่นึกถึงเด็กตัวเล็กผมสีหน้าดูน่ารักโผล่ขึ้นมา นั้นคือหลานสาวของกรีน
หลักจากนั้นเจ่าไห่ก็ยิ้นกรุมกริ้ม เพราะอดัมในอดีตอยากที่จะลวนลามเมก แต่เมกนั้นนักเวทย์ระดับ 6 ถึงแม้ด้านนอกเธอดูจะอ่อนแอ แต่เธอเป็นคนที่หัวรั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่กล้าทำอะไรเขาก็ตาม แต่หากอดัมทำแบบนั้นกลับเธอ เธอคงจะฆ่าตัวตาย ทำให้อดัมนั้นไม่กล้าที่จะอะไรกับเธอ
เจ่าไห่นั้นแอบแช่งอดัมในใจ นี้เป็นปัญหาหนึ่งที่อดัมทิ้งไว้ให้เขาจัดการกับมัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ่าไห่นั้นรู้สึกอาย และบอกกรีนว่า “ปู่กรีนไม่ต้องก็ได้ ผมอยากจะพักผ่อนและไม่ต้องการให้ใครรวบกวน แค่เรียกผมเมื่อถือเวลามื้อเย็นแล้วกันครับ”
กรีนโค้งคำนับ: “ได้ครับนายน้อย ผมขอตัวก่อน” เมื่อกรีนพูดจบ เขาก็ค่อยๆเดินออกไปจากห้อง
เจ่าไห่ถอนหายใจจากนั้นก็ค่อยๆก้าวออกจากเตียงถึงแม้เขาจะได้นอนพักผ่อนอยู่บนเตียงนอนเป็นเวลานานแล้วแต่เขากลับรู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรงมากนัก เขาจึงยืดเส้นยืดสายและเดินไปที่หน้าต่าง พร้อมกับผลักมันออกไปอย่างช้าๆและมองไปยังข้างนอก
สิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือโครงสร้างของปราสาทขนาดเล็กและเขาอยู่ชั้นบนสุดที่ทำให้เห็นทุกๆอย่าง ปราสาทนั้นเป็นสไตล์ตะวันตก ข้างหน้านั้นเป็นลานสี่เหลี่ยมและล้อมด้วยกำแพงและข้างนอกปราสาทนั้นเป็นพื้นดินสีดำราวกับน้ำมัน ซึ่งมันให้ความรู้สึกถึงดินที่ไร้ชีวิตชีวา
ที่ลานกว้างนั้นมีสิ่งของกองอยู่มากมาย เมื่อมองดูดีๆ มันคือสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันและกลุ่มคนที่กำลังเร่งรีบ
คนเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง ที่สวมเสื้อที่ทำมาจากผ้าฝ้ายหยาบๆแต่ที่หัวของผู้ชายนั้นมีเครื่องหมายบางอย่างอยู่ที่หน้าผา มันสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลซึ่งเจ่าไห่รู้ว่านั้นคือเครื่องหมายของตระกูลบูดา นี้คือการแสดงสัญลักษณ์ว่าทาสคนนี้เป็นทาสของตระกูลบูดา
เมื่อมองไกลออกไปจะเห็นเนินเขาที่แห้งแล้ง ซึ่งต้นไม้ที่เติบโตนั้นผิดแปลกไปจากทั่วไป ต้นไม้เหล่านี้เติบโตได้ไม่ดีและแต่ละต้นก็มีอาการป่วย ขนาดวัชพืชที่เติบโตบริเวณนั้นยังเติบโตได้ไม่ดีและแสดงอาการของการขาดสารอาหารออกมาอีกด้วย
เขากลับมามองยังปราสาทที่เป็นของเขาอีกครั้ง ปราสาทนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร เพราะมันสามารถมีบ้านพอที่จะให้คนถึง 1,000 คนพักอาศัยได้โดยไม่มีปัญหา ซึ่งปราสาทนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนอยู่อาศัยมาเป็นเวลานานมากแล้ว ตะไคร่เติบโตบนกำแพง มีหญ้าขึ้นออกมาตามซอกหินและดูทรุดโทรมอย่างมาก เมื่อมองมาที่หน้าต่างกระดาษนั้นจะเห็นว่ามันเพิ่งถูกใส่เขามาใหม่ๆ และหน้าต่างอื่นๆยังว่างเปล่าอยู่
เจ่าไห่นั้นยิ้มออกมาในใจ ในความทรงจำของอดัมนั้นคฤหาสน์ของตระกูลบูดาในเมืองหลวงนั้นใช้กระจกแต่ที่นั้นใช้กระดาษซึ่งมันต่างกันมาก
แต่มันให้ความกล้าหาญกับเจ่าไห่ไม่ว่าที่นี้จะเป็นอย่างไร และไม่ว่าใครจะว่าเขายังไง เขาไม่เชื่อว่าพื้นดินที่มีสีเป็นน้ำมันแบบนี้จะไม่สามารถปลูกอะไรได้เลย เขาจะต้องอยู่รอดและแสดงให้คนที่ต้องการจะทำร้ายเขา นี้เป็นสิ่งเดียวที่จะตอบแทนร่างของอดัมได้
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงก้องในหัวของเขา….