เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 131 ความโดดเดี่ยวคือแก่นแท้
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 131 ความโดดเดี่ยวคือแก่นแท้
ฝนยังตกลงมาอย่างหนัก อสรพิษสายฟ้ายังเลื้อยคลายอยู่บนท้องฟ้าและเป็นเช่นนี้ตลอดทั้งคืน
ฟางหยวนเอนกายนอนอยู่บนเตียงและได้ยินเสียงตะโกนของผู้ใช้วิญญาณดังมาจากด้านนอกตลอดเวลา
เวลานี้ภาพเหตุการณ์จากในชีวิตก่อนหน้าปรากฏขึ้นอีกครั้งในหัวของเขา
ในชีวิตก่อนเมื่อคลื่นหมาป่าบุกโจมตี เขายังเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งและเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้สนับสนุนที่รั้งอยู่ภายในหมู่บ้านแต่ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาสามารถรอดชีวิตมาได้
อย่างไรก็ตามครั้งนี้เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองขั้นกลาง เขาครอบครองวิญญาณสุราสี่ฤดูและกำลังมุ่งหน้าสู่ระดับสองขั้นสูง ดังนั้นเขาจึงต้องออกไปต่อต้านฝูงหมาป่าสายฟ้าในคืนที่มืดมนเช่นเดียวกับผู้ใช้วิญญาณระดับสองคนอื่นๆ
'ฝนตกหนักแต่พวกเขายังต้องต่อสู้กับหมาป่าสายฟ้าจำนวนมหาศาล ในสภาพอากาศเช่นนี้ มันเป็นเรื่องทารุณอย่างแท้จริง' ฟางหยวนคิด
เขาไม่ได้นอนอยู่ในห้องเช่า แต่เขาอยู่ในโรงเตี้ยมพักแรม
หากเขายังอยู่ในห้องเช่า เขาจะถูกบังคับให้ออกไปต่อสู้
'กลุ่มชนชั้นสูงประเมินสถานการณ์ครั้งนี้ต่ำเกินไป วิธีการที่ถูกต้องคือการหลบอยู่ในหมู่บ้านและปกป้องพื้นที่เอาไว้ แต่โชคร้ายที่พวกเขาตาบอดเพราะประสบการณ์ในอดีต...' ฟางหยวนพลิกตัวอยู่บนเตียงขณะคิดถึงเรื่องนี้
นอกหน้าต่าง สายฝนยังสาดเทลงมาอย่างหนักหน่วง ไม่ต้องสงสัยว่ามันเป็นพายุอย่างแน่นอน
เสียงฟ้าร้องดังเข้าหูของฟางหยวนเป็นระยะ
บนถนนผู้ใช้วิญญาณเคลื่อนไหวอย่างเร่งร้อน เสียงฝีเท้าราวกับเสียงระฆังที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
เสียงเห่าหอนของหมาป่าดังมาถึงหมู่บ้าน
มันเป็นค่ำคืนที่ถูกกำหนดให้ผู้คนไม่สามารถข่มตาหลับ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้วิญญาณที่กำลังเสี่ยงชีวิตในการต่อสู้หรือมนุษย์ธรรมดาที่ซ่อนตัวอยู่ภายในหมู่บ้าน กระทั่งฟางหยวนยังหลับได้เพียงชั่วครู่ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง
เขาไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงแต่เปิดเปลือกตาอยู่ในความมืด
เสียงจากด้านนอกลอดผ่านช่องหน้าต่างดังเข้าหูเขา การต่อสู้แห่งชีวิตและความตายของมนุษย์เป็นสิ่งที่เขาสามารถจินตนาการได้ ไม่ว่าจะเป็นหมาป่าสายฟ้าหรือผู้ใช้วิญญาณ พวกเขากำลังโลดแล่นอยู่บนเวทีแห่งชีวิต
ชีวิตคือละครและนี่ก็เป็นละครที่ดี แต่ฟางหยวนไม่มีความสนใจเข้าร่วมแสดง
ในทางตรงข้ามเขารู้สึกถึงความโดดเดี่ยวที่ไม่สามารถอธิบาย
นี่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นนักท่องเที่ยวข้ามมิติ ผู้อวตาร หรือความจริงที่ว่าเขาแบกรับความลับเอาไว้มากมายจนเกินไป
แต่เพราะทุกคนเกิดมาอย่างโดดเดี่ยว
มนุษย์ไม่ต่างจากเกาะที่โดดเดี่ยวล่องลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งโชคชะตา
การพบกันของมนุษย์ก็เหมือนเกาะที่โดดเดี่ยวพุ่งชนกัน เมื่อมันเกิดการสัมผัส แน่นอนว่ามันย่อมมีผลกระทบ
บางครั้งเกาะต่างๆก็ยึดเหนี่ยวกันอาไว้ด้วยชื่อของ เครือญาติ มิตรภาพ ความรัก หรือ ความเกลียด แต่ในที่สุดพวกมันก็จะแยกย้ายจากกันไปด้วยความตายและการทำลายล้าง
นี่คือความจริงเบื้องหลังชีวิต
แต่น่าเศร้าที่ผู้คนมักจะเกรงกลัวความโดดเดี่ยว พวกเขาปรารถนาที่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนและปฏิเสธที่จะใช้เวลากับตนเอง
เมื่อเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยว พวกเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดและมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก
มีเพียงผู้ที่สามารถเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด พวกเขาจึงจะได้รับทักษะและความกล้าหาญ ดังนั้นมันจึงกล่าวได้ว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จก็คือผู้โดดเดี่ยว
'นี่คือความโดดเดี่ยว ทุกครั้งที่สัมผัสกับรสชาดชนิดนี้ มันจะทำให้ข้าแข็งแกร่งและสามารถโลดแล่นอยู่บนเส้นทางสายปีศาจได้ต่อไป' ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายและคิดไปถึงมนุษย์คนแรกอีกครั้ง
ตำนานเล่าว่ามนุษย์คนแรกครอบครองวิญญาณทัศนคติ ทัศนคติก็คือหน้ากาก แต่ปราศจากหัวใจ มนุษย์คนแรกจึงไม่สามารถสวมมัน
ทั้งหมดเป็นเพราะก่อนหน้านี้มนุษย์คนแรกได้มอบหัวใจให้กับวิญญาณแห่งความหวังทำให้เขาไม่เคยกลัวต่อความยากลำบาก
แต่หากมนุษย์คนแรกต้องการใช้งานวิญญาณทัศนคติ เขาต้องมีหัวใจ
เมื่อมนุษย์คนแรกพบปัญหา เขาจึงสอบถามวิญญาณทัศนคติ "เจ้าวิญญาณ หลังจากทั้งหมด ตอนนี้ข้ากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่เจ้าก็รู้ ดังนั้นข้าจึงต้องการคำแนะนำของเจ้า"
วิญญาณทัศนคติตอบว่า "นี่กลับไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าไร้หัวใจ ดังนั้นเจ้าก็เพียงต้องค้นหาหัวใจดวงใหม่"
มนุษย์คนแรกสับสนและถามอีกครั้ง "แล้วข้าจะหาหัวใจดวงใหม่ได้จากที่ใด?"
วิญญาณทัศนคติกล่าวเตือน "หัวใจอยู่ที่นี่และอยู่ทุกๆที่ การค้นหาหัวใจ มันทั้งง่ายและยาก แต่ในสถานการณ์ของเจ้า เจ้าสามารถได้รับหัวใจอย่างง่ายดาย"
มนุษย์คนแรกรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนั้น "เร็ว! บอกข้าว่าทำอย่างไร?"
วิญญาณทัศนคติกล่าวเตือนอีกครั้ง "หัวใจดวงนี้เรียกว่าความโดดเดี่ยว มนุษย์ เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการมัน? เพราะหลังจากที่เจ้าครอบครองมัน เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงความเหงาและความหวาดกลัว"
มนุษย์คนแรกไม่ได้ฟังคำเตือนของวิญญาณทัศนคติและยังถามต่อ
วิญญาณทัศนคติไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งของมนุษย์คนแรก ดังนั้นมันจึงต้องตอบคำถาม "เจ้าจงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวและอย่าได้กล่าวสิ่งใดกระทั่งถึงเช้าวันใหม่ เวลานั้นเจ้าจะได้รับหัวใจแห่งความโดดเดี่ยว"
ในคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
มนุษย์คนแรกนั่งอยู่บนยอดเขาและจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามคำแนะนำของวิญญาณทัศนคติ
ก่อนหน้านี้ชีวิตของเขาเป็นเรื่องยากลำบาก เขาต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เขาไม่มีเวลาชื่นชมท้องฟ้าที่งดงามและลึกลับเช่นนี้
แต่ตอนนี้เมื่อเขาเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ความคิดของเขาก็เริ่มล่องลอยออกไป เขาคิดถึงตัวเขาเอง สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอและเปราะบางเช่นเขามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและไม่มั่นคง
'เห้อ...แม้ข้าจะมีวิญญาณแห่งความหวัง วิญญาณความแข็งแกร่ง วิญญาณกฎระเบียบ รวมถึงวิญญาณทัศนคติ การใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งนี้ยังเป็นเรื่องยากลำบากเสมอ แม้ข้าจะตายในวันพรุ่งนี้ ข้าก็ไม่ประหลาดใจ แต่หากข้าตายไป โลกจะจดจำข้าได้หรือไม่? จะมีผู้ใดชื่นชมยินดีกับการมีชีวิตอยู่ของข้าหรือผู้ใดจะเสียใจกับความตายของข้า?' คิดถึงเรื่องนี้ มนุษย์คนแรกจึงส่ายศีรษะ
ในโลกใบนี้เขาเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วจะมีมนุษย์คนอื่นอยู่ได้อย่างไร?
แม้จะมีวิญญาณเป็นสหาย เขายังรู้สึก...
โดดเดี่ยว!
หัวใจแห่งความโดดเดี่ยว!
ในจังหวะที่มนุษย์คนแรกรู้สึกโดดเดี่ยว ร่างกายของเขาได้รับหัวใจดวงใหม่ทันที
ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าและส่องแสงลงมาปะทะใบหน้าของเขา แต่มนุษย์คนแรกกลับไม่มีความสุข ตรงข้ามเขารู้สึกเจ็บปวด สิ้นหวัง สับสน และหวาดกลัว
เขาไม่สามารถทนต่อความโดดเดี่ยวและรู้สึกถึงการกำเนิดขึ้นของความมืดมิดบางอย่าง
เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและใช้นิ้วมือควักลูกตาของตนเองออกมา
ดวงตาข้างซ้ายของเขาหล่นลงบนพื้นและเปลี่ยนสภาพเป็นเด็กหนุ่ม เด็กผู้นี้มีเส้นผมสีทองกับร่างกายที่ดูแข็งแรง เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น เขาคุกเข่าอยู่แทบเท้าของมนุษย์คนแรกและกล่าวว่า "ท่านพ่อ ข้าเป็นบุตรชายคนโตของท่าน หยางเมิ้ง"
ดวงตาข้างขวาของเขาเปลี่ยนเป็นเด็กหญิง เธอจับมือของมนุษย์คนแรกเอาไว้ก่อนกล่าว "ท่านพ่อ ข้าเป็นบุตรสาวคนรองของท่าน อวี๋หยินฮวง"
มนุษย์คนแรกหัวเราะเสียงดัง น้ำตาของเขาไหลออกมาจากเป้าตาที่ว่างเปล่า เขากล่าวว่า "ดี" ถึงสามครั้งก่อนกล่าวต่อ "ตอนนี้ข้ามีลูกแล้ว ข้าสามารถทนต่อความเจ็บปวดจากความโดดเดี่ยวได้ในที่สุด จากนี้ไปจะมีบางคนชื่นชมยินดีกับการมีชีวิตอยู่ของข้าและยังมีบางคนเสียใจกับความตายของข้า แม้ข้าจะตายไปตอนนี้ก็ยังมีบางคนจดจำข้าได้"
"เพียงแต่..." มนุษย์คนแรกถอนหายใจ "ข้าสูญเสียดวงตาทั้งสองและไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างได้อีก ตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าทั้งสองจะเป็นโลกทั้งใบของข้า"
ฝนตกทั้งคืน แต่มันยังหยุดลงในยามเช้า
ฟางหยวนออกจากโรงเตี้ยม บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่เผยให้เห็นถึงความโศกเศร้าและทุกข์ใจ
คืนที่ผ่านมาตระกูลประสบกับความสูญเสียเป็นอย่างมาก
ความจริงก็คือทั้งสามตระกูลบนภูเขาชิงเหมาไม่มีตระกูลใดรอดพ้นชะตากรรมเดียวกันนี้ พวกเขาต่างได้รับความเดือดร้อนและความสูญเสียอย่างหนัก
ฟางหยวนจ้องมองไปยังหอคอยเกียรติยศและบอกได้ว่าคืนที่ผ่านมามียี่สิบห้ากลุ่มถูกสังเวยในสงครามคลื่นหมาป่า แม้จะมีผู้รอดชีวิตอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือกระทั่งพิการ
กลุ่มของอวี๋เพิงเป็นหนึ่งในนั้น
หลายสิบวันหลังจากนี้ สถานการณ์ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
ประการแรก ราชาร้อยอสูร หมาป่าสายฟ้าเดือดจะปรากฏตัว หลังจากนั้นไม่นาน ราชาพันอสูร มหาป่าสายฟ้าคลั่งจะตามมา
นี่เป็นข้อมูลที่สามารถสร้างความโกลาหลในหมู่ผู้ใช้วิญญาณระดับสอง
หากพวกเขาเผชิญหน้ากับราชาพันอสูร หมาป่าสายฟ้าคลั่ง พวกเขาจำเป็นต้องรวมกลุ่มอย่างน้อยสามกลุ่มเพื่อต่อสู้กับมัน นี่ยังไม่นับรวมฝูงหมาป่าสายฟ้าทั่วไปที่มากับมัน
ทั้งสามตระกูลต้องส่งผู้อาวุโสผู้ใช้วิญญาณระดับสามออกไปรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
ในสถานการณ์เช่นนี้ ชีวิตในแต่ละวันของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยอันตรายและดูเหมือนยาวนานกว่าปกติ
แม้จะครอบครองวิญญาณเกล็ดลี้ลับ ฟางหยวนก็ยังต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ทั้งหมดก็คือเขาอาจพบกับราชันหมาป่าที่ครอบครองวิญญาณดวงตาสายฟ้า
เคราะห์ดีที่เขาครอบครองวิญญาณหญ้าใบหูปฐพี ขอบเขตการตรวจสอบของมันค่อนข้างกว้าง นี่จึงทำให้เขาสามารถหลบเลี่ยงฝูงหมาป่าขนาดใหญ่ไปได้อย่างทันท่วงที
ในที่สุดมันก็เข้าสู่เดือนกรกฎาคมที่อบอุ่น แต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามภายใต้ความร่วมมือของสามตระกูล พวกเขายังพอควบคุมความรุนแรงได้เล็กน้อย
บางแห่งบนภูเขาชิงเหมา
ผู้ใช้วิญญาณสามคนที่พี่งผ่านการต่อสู้รุนแรงกำลังเผชิญหน้ากับราชาร้อยอสูร หมาป่าสายฟ้าเดือด
กลิ่นอายแห่งความตายลอยคละคลุ้งไปทั่ว
"บัดซบ! หากข้ามีพลังวิญญาณเหลืออยู่หกสิบส่วนไม่ใช่สามสิบส่วน พวกเราจะไม่ถูกไล่ต้อนเช่นนี้" หัวหน้ากลุ่มซ่งซานจ้องมองไปยังหมาป่าสายฟ้าเดือดที่ค่อยๆก้าวเดินราวกับแมวกำลังไล่ล่าหนู ขณะที่เลือดไหลออกมาจากปากของซ่งซานราวกับสายน้ำ
"อีกด้านหนึ่งเป็นหน้าผา พวกเราไม่มีทางหนี แล้วพวกเราควรทำอย่างไร?" สมาชิกกลุ่มเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ซีดขาว
"พวกเราควรทำอย่างไรงั้นหรือ? พวกเราทำได้เพียงหวังว่ากำลังเสริมจะมาถึงอย่างรวดเร็ว ข้าได้ยินมาว่าท่านไป่หนิงปิงของตระกูลข้าออกจากการปิดประตูฝึกตนและกำลังจะเข้าสู่สนามรบ"
เดิมทีมันเป็นสองกลุ่มจากตระกูลซ่งและตระกูลไป่ แต่หลังจากทั้งหมด พวกเขาจึงมีสมาชิกเหลืออยู่เพียงสามคนในเวลานี้
"ข้ายินดีที่จะต่อสู้ถวายชีวิตดีกว่ารอคอยไป่หนิงปิงที่ไม่รู้ว่าเวลานี้อยู่ที่ใด" ซ่งซานกัดฟันแน่น "เหตุผลที่ราชันอสูรแข็งแกร่งก็เพราะพวกมันมีวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกาย ข้ามีวิญญาณหัวขโมย มันสามารถบังคับให้วิญญาณออกจากร่างกายของศัตรู แต่มันต้องอาศัยเวลาและไม่สามารถเคลื่อนไหว ระหว่างนี้พวกเจ้าต้องปกป้องข้า"
"ตกลง" อีกสองคนมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า
แม้พวกเขาจะรู้ว่ามีโอกาสน้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดต้องการตาย
"หากการปล้นประสบความสำเร็จ พวกเราจะมีโอกาสรอดชีวิต สวรรค์โปรดอวยพรพวกเราด้วย" ใบหน้าของซ่งซานเปลี่ยนเป็นจริงจังก่อนจะยกมือขวาขึ้น
ชีวิตหรือความตายขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
อย่างไรก็ตามมนุษย์สามคนกับหมาป่าหนึ่งตัวไม่รู้ตัวเลยว่ามีบุรุษผิวขาวในชุดคลุมขาวจ้องมองเหตุการณ์นี้อยู่บนเนินเขาที่สูงขึ้นไป
'ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย...' เขานั่งอยู่บนพื้น มือข้างหนึ่งของเขายกร่างของตนเองขึ้น ขณะที่มืออีกข้างรินของเหลวจากไหสุราเข้าปาก
ของเหลวชนิดนี้ไม่ใช่สุรา แต่มันเป็นน้ำพุธรรมชาติที่มีรสหวาน
'ต่อสู้และตาย ชีวิตเช่นนี้น่าเบื่อหน่ายเกินไป มีเพียงการต่อสู้ที่รุนแรงจึงจะน่าตื่นเต้นและมีสีสัน นี่จึงจะทำให้ชีวิตมีความหมาย'
เขาหัวเราะเบาๆอยู่ในหัวใจและไม่มีความคิดที่จะให้ความช่วยเหลืออยู่แม้แต่น้อย
แม้เขาจะมีความสามารถ แม้สมาชิกตระกูลไป่จะอยู่ที่นี่ แล้วอย่างไร?
สำหรับเขา ความโดดเดี่ยวคือแก่นแท้ สายสัมพันธ์เป็นเพียงเปลือกนอก
เขา ไป่หนิงปิง ไม่ใช่บางคนที่จะทำเรื่องน่าเบื่อหน่ายเช่นการช่วยเหลือสมาชิกของตระกูล