บทที่ 86 เหวินเฟย*
(*อักษรเหิน)
“ทุกท่าน สบายดี” จั่วม่อยกมือทักทาย
เอี้ยนหมิงจื่อกับหูซานสีหน้าน่าเกลียดอยู่บ้าง ดี? ดี? จะเอาอะไรมาดี? ตั้งแต่พวกมันกลับไปยังพรรค สิ่งที่พวกมันได้รับก็มีแต่การดูถูกเหยียดหยาม เถาซูเอ๋อร์ปิดปากหัวร่อคิกคัก ด้านข้างนาง ศิษย์ร่วมพรรคอีกสองคนที่มาด้วยกันก็แย้มยิ้มอยู่ในสีหน้า แต่โชคดีที่พวกมันยังพยายามยับยั้งตัวเองบ้าง
พรรคอัจฉริยะปราณมีจำนวนศิษย์ฝ่ายในมากที่สุดในตงฝู ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากขาดผู้นำที่เข้มแข็ง เหล่าศิษย์จึงแบ่งพรรคแบ่งพวกวุ่นวาย จนกระทั่งเรื่องความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างเหล่าศิษย์ฝ่ายใน ก็ยังคงรั้งลำดับแรกในตงฝูด้วยเช่นกัน
เถาซูเอ๋อร์เดินชดช้อยออกมา เสน่ห์อันรัดรึงใจของนางดึงดูดสายตาของทุกผู้คนในบัดดล
เหล่าศิษย์สำนักสุญตาแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างรวดเร็ว กลุ่มศิษย์บุรุษจ้องจนตาค้าง หลายคนเหม่อมองอย่างซึมเซา บางคนน้ำลายไหลย้อย ส่วนฝั่งศิษย์สตรีเต็มไปด้วยความริษยา เสียงก่นด่า ‘นางปิศาจจิ้งจอก’ หรือ ‘ดอกทองน้อย’ ดังออกมาไม่ขาดสาย
เถาซูเอ๋อร์แย้มยิ้มหยาดเยิ้ม “ท่วงท่าการวางตัวของศิษย์พี่จั่วเมื่อคราวก่อน น้องสาวผู้นี้ชื่นชมยิ่ง อย่างไรก็ตาม ในฐานะศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณ ไม่อาจทนดูชื่อเสียงของพรรคได้รับความเสียหายได้ มาเยือนคราวนี้เพื่อขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่จั่วโดยเฉพาะ”
ผู้อื่นแม้กล่าวอย่างเลิศลอย แต่จั่วม่อยิ้มเยาะในใจ สตรีนางนี้แม้สะคราญโฉมเย้ายวนใจ แต่พิษร้ายในตัวไม่ผิดอันใดกับแมงป่องอสรพิษ หากผู้ใดไม่ระวัง จะตกอยู่ในกำมือนาง จั่วม่อเห็นนางหัวร่ออย่างไร้ความปราณีเมื่อศิษย์ร่วมสำนักเสียท่า จึงไม่มีความประทับใจที่ดีต่อนางแม้แต่น้อย
“อ้อ” ใบหน้าจั่วม่อไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน รวมกับท่าเอียงคอ ซ้ำยังเหลือกตา เป็นเรื่องยากสำหรับผู้อื่นที่จะคาดเดาจิตใจมัน
เถาซูเอ๋อร์รู้สึกคันหัวใจยากจะเกา การตอบสนองที่ไม่แยแสสนใจเช่นนี้ ทำให้นางไม่ทราบจะกล่าวกระไรดี
แต่นางก็ไม่ใช่บุคคลสามัญ ยามนั้นก้าวถอยหลังกลับ เผยให้เห็นศิษย์พี่อีกสองคน กล่าวว่า “นี่คือศิษย์พี่เหวินเฟยกับศิษย์พี่หมิงเต้า ทั้งสองท่านเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงในพรรคอัจฉริยะปราณเรา และเป็นบุคคลที่น้องสาวผู้นี้เลื่อมใสมาก มาในครั้งนี้...”
เหวินเฟยกับหมิงเต้าได้ยินวาจานาง ทันใดนั้นอดไม่ได้ต้องเชิดหน้ายืดอกขึ้น เห็นได้ชัดว่าภาคภูมิใจมาก
“หากเจ้ามาเพื่อต่อสู้ เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ” จั่วม่อเอ่ยขัดจังหวะนางกลางครัน “อย่างไรก็ตาม ภูเขาสุญตาเราไม่ใช่ที่ที่ใครนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ขอกล่าววาจาไม่น่าฟังเสียก่อน ผู้ใดพ่ายแพ้ต่อข้า ข้าจะริบยุทธภัณฑ์เวทของมันหนึ่งชิ้น เพื่อพิสูจน์ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของสำนักเรา
คำเหล่านี้กล่าวได้น่าฟังและเที่ยงธรรมยิ่ง เหล่าศิษย์สำนักสุญตาทั้งหมดล้วนปรบมือโดยพร้อมเพรียง
บุรุษทั้งสองได้ฟังเช่นนี้ สีหน้ากลับกลายเป็นขุ่นเคือง
เหวินเฟยสวมใส่อาภรณ์เขียวสลับขาว บนศีรษะโพกผ้าสีเขียวอ่อน หล่อเหลาสง่างามยิ่ง ราวกับว่ามันสามารถเหินไปตามลมได้ทุกเวลา เกือบคล้ายเทพเซียนองค์หนึ่ง มันก็ไม่แสดงความอ่อนแอ ยิ้มเยาะพลางกล่าวโต้ว่า “ประเสริฐ ประเสริฐ ถ้าเจ้ามีความสามารถเช่นนั้นจริง ข้าผู้นี้ก็ย่อมไม่พิรี้พิไรมากความ”
หมิงเต้าผู้สวมใส่เกราะปราณสีน้ำเงิน ศีรษะคาดมงกุฎทองคำ กล่าวว่า “แต่หากเจ้าพ่ายแพ้ ข้าก็จะริบยุทธภัณฑ์เวทจากเจ้าชิ้นหนึ่งเหมือนกัน”
เถาซูเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหลัง เห็นทั้งสองฝ่ายกำลังจะต่อสู้กัน รอยยิ้มอันภาคภูมิใจชนิดหนึ่งจุดขึ้นที่มุมปาก เอี้ยนหมิงจื่อกับหูซานดวงตาแดงก่ำด้วยสายเลือด พวกมันจ้องมองจั่วม่อราวกับต้องการจะเขมือบกลืนมันลงไปทั้งเป็น
“ผู้ใดก่อน?”
จั่วม่อถามอย่างเย็นชา สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลังสภาวะทะยานขึ้นในบัดดล
ไม่ทราบเป็นเพราะว่าเพิ่งเสร็จสิ้นจากการฝึกปรือกระบี่หรือไม่ มันรู้สึกทั้งร่างร้อนระอุ เลือดเดือดพล่านราวกับถูกต้มด้วยไฟอันร้อนเร่า ความปรารถนาในการต่อสู้พลุ่งพล่านทะยานฟ้า ราวกับว่าต้องการจะระเบิดออกมาจากร่างของมัน
ประหนึ่งกระบี่หลุดจากฝัก คมกระบี่อันเย็นเยียบเผยประกายบาดตา! เพียงก้าวออกไปหนึ่งก้าว จั่วม่อคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนในชั่วพริบตา ไม่ว่าจะเป็นความทื่อด้านที่ฉากหน้าหรือความกลอกกลิ้งในกระดูก ดูเหมือนจะปลิวหายไปทั้งหมด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เปี่ยมล้นไปด้วยความปรารถนาต่อสู้อันรุนแรงจนแทบสัมผัสได้ หมดจดบริสุทธิ์จนผู้คนไม่อาจละสายตาได้
เถาซูเอ๋อร์เหม่อมองจั่วม่ออย่างโง่งม ใบหน้าอันงดงามทอแววตื่นตระหนกดุจพบพานผีสาง
เป็นไปได้อย่างไร?
นี่คือเจ้าผีดิบหยาบคายจอมละโมบตัวนั้นหรือ?
ในจิตใจนาง จั่วม่อเป็นเพียงตัวตนด้อยค่าที่โลภมาก มิเช่นนั้น ผู้ใดจะตั้งใจฉกชิงกระบี่บินของผู้อื่นกลางการประลองเล่า?
เพราะการพ่ายแพ้ในคราวที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่ายแพ้ต่อคนตัวเล็กๆ ด้อยคุณค่าความหมายเช่นมัน นี่เป็นเหตุผลว่าไฉนเถาซูเอ๋อร์ยังไม่ยอมเลิกรา เมื่อถูกพิชิตโดยฝ่ายตรงข้ามที่นางเคยดูแคลนไว้มาก จะให้นางยอมกล้ำกลืนฝืนทนได้อย่างไร?
แต่จั่วม่อคนที่อยู่เบื้องหน้านางนี้...
เหวินเฟยดวงตาทอประกายเคร่งขรึมจริงจัง พลังสภาวะที่อีกฝ่ายเผยออกมาทำให้มันประหลาดใจไม่น้อย อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นสวะเช่นเอี้ยนหมิงจื่อหรือหูซาน ตระกูลมันอาจจะร่ำรวย แต่ตัวมันก็มานะบากบั่นฝึกปรืออย่างหนัก และมีความสามารถที่แท้จริง
มันอาจตื่นตะลึงแต่ไม่ลนลาน สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ประกาศว่า “ข้าเอง!”
เหวินเฟยเปิดเผยยุทธภัณฑ์เวทของตน เป็นพัดสีเขียวสดใสด้ามหนึ่ง ซี่พัดทำขึ้นจากหยก ส่วนผ้าที่ทอเป็นตัวพัดเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่วัสดุธรรมดาทั่วไป แสงสีเขียวไหลเลื่อนไปมาบนพื้นผิว ด้านหน้าพัดวาดภาพภูมิทัศน์ ขุนเขาและสายน้ำ หากผู้ใดพิศดูใกล้ๆ พวกมันอาจพบเห็นว่าแม่น้ำที่ไหลผ่านภูเขาในภาพนั้น แท้ที่จริงกำลังไหลรินอย่างช้าๆ
พัดเทียนเหอ(แม่น้ำสวรรค์) ระดับสาม
กระบี่หยดน้ำ ระดับสาม
จั่วอดไม่ได้ ต้องทอดถอนชมเชยอีกครา พรรคอัจฉริยะปราณนี้มีเคล็ดวิชาหลากหลายจริงๆ กระทั่งวิชาพัดก็ยังมี
เมื่อเอี้ยนหมิงจื่อเห็นกระบี่หยดน้ำของมัน สีหน้าก็กลายเป็นน่าเกลียด อย่างไรก็ตาม มันชมชอบเก็บสะสมยุทธภัณฑ์เวท ดวงตาแหลมคมมากในด้านนี้ มันสังเกตเห็นในทันทีว่าคุณภาพของกระบี่หยดน้ำเทียบกับตอนที่อยู่ในมือมันแล้ว ดูเหมือนจะดีขึ้นอีกเล็กน้อย มันรู้สึกรันทดหดหู่อยู่บ้าง กระบี่บินยังเลือกผู้ใช้ด้วยหรือ?
“โปรดชี้แนะ!” เหวินเฟยตวาดอย่างโอ่ผ่าผ่าเผย
เสียงยังไม่ทันขาดหาย กระบี่หยดน้ำก็ทะยานออกไป!
ธาราหลั่งไหล!
จั่วม่อชมชอบเปิดฉากด้วยกระบวนท่านี้ หนึ่งกระบี่ซึ่งเสมือนเลียงผาไต่ขึ้นหน้าผา ไร้ร่องรอยให้สืบสาว
กระบวนท่าที่มันปลดปล่อยออกมานี้ แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ในอดีตที่ผ่านมากระบี่นี้เบาเหมือนเมฆ และเลือนรางประหนึ่งสายลม เวลานี้ ความเงียบสงบเฉกเช่นเดิมยังคงอยู่ แต่แฝงเร้นไว้ด้วยร่องรอยของไฟ ประหนึ่งเพลิงสีขาว แผดเผาโดยไม่มีสุ้มเสียง
เหวินเฟยยิ้มหยัน โบกพัดเทียนเหออย่างแช่มช้า
จั่วม่อรู้สึกในสายตาพร่าเลือน ทันใดนั้นแท่งเสาที่หยาบหนาอย่างน่าอัศจรรย์ พุ่งแทงมาจากฟากฟ้าราวกับมังกรน้ำตัวหนึ่ง ตรงดิ่งลงหาจั่วม่อ
มังกรวารีคำรน!
จู่โจมปะทะจู่โจม!
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเหวินเฟย ผู้ที่มองภายนอกอบอุ่นสง่างาม เวลาลงมือกลับดุดันถึงเพียงนี้ ทั้งสองฝ่ายคล้ายกำลังแข่งขันกันว่าการโจมตีของผู้ใดจะทำร้ายอีกฝ่ายได้ก่อนกัน
จั่วม่อแค่นเสียง สภาวะกระบี่ของมันไม่เสียขบวนรวนเร พลังปราณผนึกลงสองเท้า ร่างหายวับไปทางซ้าย ราวกับว่าใต้ฝ่าเท้าติดขดลวด ความเร็วพุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสุด หลบหลีกมังกรวารีอย่างปราดเปรียว
คิดแข่งกันจู่โจมหรือ?
จั่วม่อหาหวาดหวั่นไม่ หากกล่าวถึงความเร็ว ไม่มีสิ่งใดสามารถแข่งขันกับกระบี่บิน มันผนึกปางมือ โคจรพลังปราณ กระบี่หยดน้ำเปล่งเสียงคำรามเบาต่ำ ทันใดนั้นกระบี่เปลี่ยนเป็นลำแสง หายวับไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า!
เหวินเฟยรีบผนึกมุทรา ม่านน้ำบางเบาปรากฏขึ้นตรงหน้ามันอย่างฉับพลัน เสียงปะทะดังสนั่น กระบี่หยดน้ำกระแทกใส่ม่านน้ำอย่างหนักหน่วง ม่านน้ำสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง เหวินเฟยที่หลบอยู่หลังม่านน้ำสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ม่านน้ำแม้สั่นไม่หยุด แต่ยังคงสกัดกั้นสภาวะโจมตีของกระบี่หยดน้ำไว้ได้อย่างหมดจด!
จั่วม่อก็ประหลาดใจพอๆ กัน ม่านน้ำนี้ดูเหมือนเป็นเพียงชั้นบางเบา นึกไม่ถึงว่าจะสามารถหยุดยั้งกระบี่หยดน้ำไว้ได้ นี่สมควรแข็งแกร่งกว่าที่มันคาดไว้มาก อย่างไรก็ตาม มันพบว่าม่านน้ำนี้เพียงฝืนต้านทานกระบี่หยดน้ำไว้ได้อย่างเต็มกลืน หากเพิ่มเรี่ยวแรงมากกว่านี้ ย่อมทะลวงผ่านไปได้อย่างแน่นอน
มันเตรียมจะเร่งเร้าพลังปราณ คิดไม่ถึงมังกรวารีหยาบหนาตัวนั้นกลับเคลื่อนไหวดุจมีชีวิต สะบัดเลี้ยวอย่างปราดเปรียว ยังคงพุ่งติดตามมันมาอย่างกระชั้นชิด
พริบตาดุจประกายไฟ มังกรวารีโผล่พรวดมาถึงตรงหน้า เมื่อเข้าสู่ระยะประชิดติดพันถึงเพียงนี้ จั่วม่อสุดท้ายเพิ่งตระหนักว่ามังกรวารีตัวนี้ใหญ่โตมโหฬารถึงเพียงไหน เจ้ามังกรซึ่งไม่ผิดอันใดกับแม่น้ำใหญ่ เปล่งเสียงคำรามกึกก้อง ฉกขย้ำเข้าใส่ศีรษะของจั่วม่อ พลังสภาวะน่าแตกตื่นสะท้านโลก!
จั่วม่อกระทั่งคิดยังไม่คิด กระบี่หยดน้ำเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งวาบ ปรากฏขึ้นขวางกั้นระหว่างตัวมันกับมังกรวารี
ดวงตามันทอประกายเย็นเยียบ กระบี่หยดน้ำดีดพุ่งขึ้น ใช้จู่โจมปะทะจู่โจม
กระแสน้ำตก!
ทุกผู้คนรู้สึกว่าในครรลองสายตาสว่างวาบแวบหนึ่ง เห็นเบื้องหน้าจั่วม่อปรากฏรูปลักษณ์ของน้ำตกขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในสายน้ำตกประกอบด้วยปราณกระบี่มากมายเหลือคณานับ สายน้ำตกพอปรากฏขึ้นก็สะบัดฟาด พอดีหวดใส่ศีรษะมังกรวารีอย่างถนัดถนี่!
บูม!
มังกรวารีศีรษะระเบิดทันที มวลน้ำสาดกระเซ็นไปทุกทิศทุกทาง เหล่าศิษย์ที่เฝ้าชมดูล้วนเปียกโชกโดยถ้วนหน้า แต่ไม่มีผู้ใดกล้าละสายตา การโรมรันพันตูอันยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หากพลาดบางอย่างไป ไยมิใช่น่าเสียดายแทบตายแล้ว
มังกรวารียังคงโถมลงมาราวกับมันยังไม่จบสิ้น น้ำตกที่แขวนค้างกลางเวหาก็พุ่งขึ้นปะทะอย่างหักโหมคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด
“น่าอัศจรรย์!” เอี้ยนหมิงจื่ออุทาน อ้าปากค้าง ยามนี้ในใจมันยอมเชื่ออย่างหมดใจ จั่วม่อมีพลังฝีมือร้ายกาจอย่างแท้จริง ชัยชนะในครั้งนั้น ไม่ใช่ได้มาเพราะใช้เล่ห์กลแต่อย่างใด
หูซานไม่กล้ากระพริบตา แต่ยังพยักหน้าคล้อยตาม “ฟังว่าพัดเทียนเหอของศิษย์พี่เหวินเฟยสามารถเบียดเสียดเข้าสู่สามลำดับแรกในหมู่ศิษย์รุ่นเรา ที่แท้ไม่ใช่เป็นเพียงข่าวลือจริงๆ!”
เอี้ยนหมิงจื่อฉวยโอกาสคุยเขื่องอย่างภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว แต่กระบี่หยดน้ำของข้าก็ไม่ใช่ธรรมดา เมื่อสามารถยืนหยัดต่อสู้กับพัดเทียนเหอได้อย่างทัดเทียม มันก็ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าคุณภาพทั่วไป ข้ามีดวงตาที่ดีจริงๆ อ้า!”
“นั่นเป็นเพราะจั่วม่อฝีมือร้ายกาจ” หูซานขัดคออย่างไม่เกรงใจ “หากเป็นเจ้า สามารถรับมือศิษย์พี่ได้สักห้ากระบวนท่าก็ไม่เลวแล้ว”
เอี้ยนหมิงจื่อพอฟังกลับไม่มีโทสะ มันกล่าวว่า “ในการต่อสู้ข้าไม่เก่งเท่าพวกมัน แต่ในเรื่องซื้อยุทธภัณฑ์เวท พวกเจ้าคนใดสามารถเป็นคู่มือข้าได้?”
หูซานแทบสำลัก ไม่ทราบจะกล่าวว่ากระไรดี
หัวใจของเถาซูเอ๋อร์สะท้านสะเทือนเป็นระลอก นางไม่เคยคิดว่าจั่วม่อจะสามารถต่อสู้กับศิษย์พี่เหวินเฟยได้อย่างคู่คี่ก้ำกึ่งถึงเพียงนี้ เนื่องเพราะนางทราบดีว่าศิษย์พี่เหวินเฟยเก่งกาจปานใด
ศิษย์พี่เหวินเฟยอาจไม่มีชื่อเสียงนักที่ด้านนอกพรรค แต่ในหมู่ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณรุ่นนี้ มันเป็นบุคคลที่มีฝีมืออย่างแท้จริงผู้หนึ่ง เหล่าผู้อาวุโสรักใคร่เอ็นดูมันอย่างลึกซึ้ง พัดเทียนเหอด้ามนั้น เป็นเหล่าผู้อาวุโสของพรรคหลอมสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับมันผู้เดียว สร้างความอิจฉาริษยาให้แก่ผู้คนนับไม่ถ้วน ศิษย์พี่เหวินเฟยก็ไม่เคยทำให้เหล่าผู้อาวุโสผิดหวัง พรสวรรค์ของมันเด่นล้ำ มานะอุตสาหะ ฝึกปรืออย่างไม่เคยย่อท้อ รวมกับการส่งเสริมของโอสถปราณจำนวนนับไม่ถ้วน พลังฝีมือของมันจึงลึกล้ำยิ่ง อย่างไรก็ตาม มันไม่ค่อยลงมือต่อสู้นัก แม้แต่เหล่าศิษย์ร่วมพรรคก็ไม่ทราบว่ามันแข็งแกร่งถึงขั้นใด เถาซูเอ๋อร์เคยพบเห็นพลังฝีมือที่แท้จริงของมันโดยบังเอิญ ยังตกใจแทบตายและทิ้งความประทับใจให้แก่นางอย่างลึกล้ำ นี่เป็นเหตุผลว่าไฉนนางจึงร้องขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่เหวินเฟย เนื่องเพราะนางปรารถนาจะเหยียบย่ำความหยิ่งผยองของจั่วม่อให้จมดิน
ที่สำคัญ นางยังทราบอีกด้วยว่าเหล่าผู้อาวุโสกำลังวางแผน ให้ศิษย์พี่เหวินเฟยเปล่งประกายในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูที่กำลังจะมาถึง
เจ้าผีดิบที่น่าสะพรึงกลัวตัวนี้ ถึงกับต่อสู้ได้คู่คี่ก้ำกึ่งกับศิษย์พี่เหวินเฟยจริงๆ?
นี่เป็นไปได้อย่างไร?
เถาซูเอ๋อร์รู้สึกว่าสมองนางไม่สามารถหาคำตอบได้
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง เงียบกริบอย่างสิ้นเชิง จั่วม่อไม่ทันสังเกตเห็น ในหมู่ศิษย์สตรี มีใบหน้าผลผิงกว่อสีชมพูน่ารักซึ่งเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย แม้แต่กำปั้นเล็กๆ ของนางยังอดเกร็งแน่นไม่ได้
คู่ต่อสู้ทั้งสองปะทะกันดุเดือด รวดเร็วดุจฟ้าแลบ สองกระบวนท่าผ่านไปในพริบตา เวลานี้กระบวนท่าเข้าสู่ช่วงชะงักงัน ทุกผู้คนเพิ่งได้มีโอกาสระบายลมหายใจออกมา เมื่อหวนระลึกถึงฉากอันตระการตาเมื่อครู่ พวกมันก็ตะโกนให้กำลังใจอย่างสนุกสนาน
แต่สองคนที่เผชิญหน้ากันไม่ได้คลายความระมัดระวังเลย
ท่าทีดูถูกเหยียดหยามของเหวินเฟยในทีแรก ได้หายไปโดยไม่เหลือร่องรอย แทนที่ด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง มันผู้ปรารถนาจะเปล่งประกายในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่เลิศล้ำในที่อย่างนี้!
และจั่วม่อ ในดวงตาทั้งคู่ลุกโหมด้วยเปลวไฟอันบ้าคลั่ง ความปรารถนาในการต่อสู้ของมันทะลุขึ้นถึงขีดสุด!
การหยุดชะงักสำหรับมันแล้วเป็นเรื่องเสียเปรียบ ฝ่ายโน้นยังมีอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้ลงมือ หากมันไม่รีบจบการต่อสู้รอบนี้โดยเร็วที่สุด การประลองรอบต่อไปก็แทบไม่มีหวังจะเอาชนะ
ความคิดหมุนเร็วรี่ จั่วม่อแหงนหน้ากู่สุดเสียง ตัดสินใจที่จะโจมตีด้วยพลังทั้งหมด!