เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 129 ตะขาบทองคำทำลายล้าง (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 129 ตะขาบทองคำทำลายล้าง
แปลโดย iPAT
เมื่อฟางหยวนตื่นขึ้นอีกครั้ง มันก็เป็นเวลาเที่ยงของวันที่สอง
อาการเจ็บปวดของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์ เขายกมือขึ้นสัมผัสใบหูและรู้สึกราวกับการตัดใบหูไม่เคยเกิดขึ้น
เขาปีนลงจากเตียงและคว้ากระจกขึ้นมาเพื่อตรวจสอบสภาพของตนเอง
ในกระจก ใบหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏขึ้น เขาไม่ได้หล่อเหลามากนัก แต่ด้วยผิวสีขาวซีดกับดวงตาสีดำสนิทโดยเฉพาะความเย็นชาที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาทำให้เขาดูโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
ใบหูทั้งสองข้างของเขาเหมือนมนุษย์ทั่วไป คืนก่อนหน้าใบหูข้างขวาของเขายังมีขนาดใหญ่และห้อยยาวลงมาราวกับใบหูพระพุทธเจ้า แต่เวลานี้มันกลับไม่ต่างจากหูใบเดิมของเขาแม้แต่น้อย
หลังจากร่างกายและวิญญาณหญ้าใบหูปฐพีเชื่อมต่อกัน พลังวิญญาณของฟางหยวนก็หลั่งไหลเข้าสู่ใบหูและปรับแต่งมันอย่างช้าๆ
ในเวลาเดียวกันความสามารถในการได้ยินของเขาก็ยกระดับขึ้นหลายเท่า นั่นทำให้เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายที่อยู่ห่างออกไป
แม้เขาจะอยู่ในห้องเช่าบนชั้นสองแต่เขารู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่บนท้องถนน
ฟางหยวนส่งพลังวิญญาณให้กับใบหูและทำให้รากไม้ที่ดูเหมือนรากโสมพันปีเริ่มงอกออกมาจากใบหูข้างขวาของเขา ขณะเดียวกันใบหูของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น ยิ่งมันเติบโตขึ้นเท่าใด การได้ยินของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากสองลมหายใจ เขาก็หยุดใช้งานมัน ใบหูข้างขวาที่ขยายใหญ่ขึ้นหดเล็กลงอีกครั้ง
แน่นอนว่าการได้ยินของเขาก็กลับสู่สภาวะปกติเช่นกัน
"ด้วยวิธีนี้ ข้าก็มีวิญญาณสำหรับสอดแนมในที่สุด" ฟางหยวนสวมเสื้อและเทน้ำในอ่างทิ้งไป
เมื่อเวลาผ่านไป น้ำในอ่างก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ผ้าสีขาวกลายเป็นผ้าขี้ริ้วสีดำเช่นกัน แต่กระทั่งฟางหยวนจะเทน้ำลงบนพื้นหน้าบ้านก็ยังไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
ฤดูร้อนกำลังจะมาถึง หลายคนเริ่มทำความสะอาดเตาไฟที่ใช้งานอย่างหนักในฤดูหนาว บ่อยครั้งที่มันจบลงด้วยอ่างน้ำสีดำเช่นนี้
ขณะที่เหล็กยังร้อน ฟางหยวนมุ่งหน้ากลับไปในถ้ำลับอีกครั้ง
แต่เขาไม่ได้เข้าไปมือเปล่า เขาจับกวางตัวน้อยมัดเท้าทั้งสี่และปิดปากเข้าไปด้วย
อย่างไรก็ตามเขายังไม่รีบเปิดประตูหินแต่กระตุ้นใช้งานหญ้าใบหูปฐพี รากโสมงอกออกมาจากใบหูข้างขวาของเขาและทำให้ความสามารถในการได้ยินของเขาขยายขอบเขตขึ้น
“ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ”
แรกเริ่มเขาได้ยินเสียงเต้นของหัวใจอย่างแผ่วเบา หลังจากรากโสมงอกออกมามากขึ้น เสียงเต้นของหัวใจก็ยิ่งดังขึ้นและยังรวมไปถึงเสียงอื่นๆ
ฟางหยวนไม่จำเป็นต้องคิดมากและตัดสินได้ทันทีว่าเสียงหัวใจเหล่านี้มาจากวานรหินตาหยก
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังค้นหา
เขาปิดเปลือกตาและจินตนาการถึงต้นกำเนิดของเสียงต่างๆอย่างต่อเนื่องขณะที่รากโสมเริ่มชอนไชไปยังประตูหินและทำให้เขาได้ยินเสียงมากขึ้น นี่คือวิธีการใช้งานวิญญาณหญ้าใบหูปฐพีที่แท้จริง
วิญญาณหญ้าใบหูปฐพีมีความสามารถในการได้ยินเสียงในระยะสามร้อยก้าวจากตัวผู้ใช้งาน หากรากโสมไม่ได้สัมผัสพื้น ความสามารถของมันจะเทียบเท่ากับวิญญาณสายตรวจสอบระดับสองทั่วไป แต่เมื่อรากของมันสัมผัสพื้น ความสามารถของมันจะขยายขอบเขตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
บนโลกมนุษย์มีทฤษฎีที่กล่าวว่าความเร็วของเสียงขึ้นอยู่กับตัวกลางที่มันเคลื่อนที่ผ่าน เสียงที่เคลื่อนที่ผ่านพื้นดินหรือน้ำจะเดินทางได้รวดเร็วกว่าการเดินทางผ่านอากาศ
ประเทศจีนยุคโบราณ ทหารที่อยู่ในสนามรบมักใช้กระดานไม้ไผ่เป็นหมอนหนุนศีรษะเพื่อให้ได้ยินเสียงจากพื้นดินเมื่อทหารม้าของฝ่ายตรงข้ามบุกโจมตี ทั้งหมดก็คือหากพวกเขารอฟังเสียงที่เดินทางผ่านอากาศ พวกเขาจะไม่มีเวลาตอบสนองได้ทันท่วงที
รากโสมหยั่งลึกเข้าไปในประตูหินเป็นเหตุให้ฟางหยวนได้ยินเสียงที่สับสนอลม่าน
มันเป็นเสียงที่ค่อนข้างชุลมุนวุ่นวาย หากเป็นเด็กใหม่ที่พึ่งใช้งานวิญญาณหญ้าใบหูปฐพีเป็นครั้งแรก พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายของเสียงเหล่านี้ แต่สำหรับฟางหยวน เขาสามารถคาดเดาบางสิ่งและมันก็ทำให้เขาขมวดคิ้ว
เขาผลักประตูหินเข้าไป แม้มันจะหนักแต่ด้วยความแข็งแกร่งของหมูป่าสองตัว มันจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
หลังจากประตูหินถูกเปิดออก ปรากฏอุโมงค์ที่มืดมิดทอดตัวยาวตรงไปข้างหน้า
เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางหยวนแก้เชือกที่มัดเท้ากวางน้อยออกและโยนมันเข้าไปในอุโมงค์
กวางมีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด เมื่อมันตระหนักถึงอันตรายที่อยู่ด้านหน้า มันจึงไม่กล้าก้าวเท้าออกไป มันหันหน้ากลับมาจ้องมองฟางหยวนด้วยสายตาที่เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวและร้องขอความเมตตา
ฟางหยวนแสยะยิ้มและส่งดาบแสงจันทร์ออกไป
ดาบแสงจันทร์ที่ถูกควบคุมให้มีขนาดเล็กพุ่งผ่านในแนวตั้งและฝากบาดแผลกรีดเฉือนบางๆไว้บนร่างกายของกวางน้อยที่น่าสงสาร
ภายใต้ความเจ็บปวด กวางน้อยเริ่มหวาดกลัวฟางหยวนและวิ่งเข้าไปในอุโมงค์
ความมืดค่อยๆกลืนกินมันเข้าไปขณะที่ฟางหยวนกระตุ้นใช้งานวิญญาณหญ้าใบหูปฐพีอีกครั้งและส่งรากโสมเจาะเข้าไปในผนังอุโมงค์
การได้ยินของเขาขยายขอบเขตขึ้น เขาเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้ากวาง เสียงหัวใจของมัน และเสียงอื่นๆ
ถ้ำตะขาบทองคำเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา ฟังเสียงของปฐพีเป็นวิธีหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ...
ฟางหยวนตระหนักอยู่ในหัวใจว่าเสียงเหล่านั้นคือเสียงการเคลื่อนที่ของตะขาบ
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของกวางน้อย เห็นได้ชัดว่ามันพบตะขาบ
ฟางหยวนสามารถจินตนาการได้อย่างชัดเจนว่ากวางน้อยถูกโจมตีโดยฝูงตะขาบ กวางน้อยหมุนตัวไปรอบๆด้วยความตกใจขณะที่มันรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามาและกรีดร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ
ตะขาบค่อยๆคืบคลานขึ้นไปบนร่างกายของมันมากขึ้นและมากขึ้นเป็นเหตุให้กวางน้อยล้มตัวลงนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น
หลังจากชั่วครู่หัวใจของมันก็หยุดเต้นในที่สุด
กองทัพตะขาบเริ่มกัดกินเนื้อกวางอย่างตะกละตะกลาม
สายตาของฟางหยวนส่องประกายเย็นเยียบเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง มันเป็นเสียงรบกวนที่เหมือนกับเสียงเครื่องเลื่อยไม้ มันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ป่าเถื่อน และน่าสยดสยอง
หากเป็นเด็กใหม่ได้ยินเสียงชนิดนี้ พวกเขาจะรู้สึกสับสน แต่ด้วยประสบการณ์ของฟางหยวน เขาสามารถคาดเดาตัวตนที่ปลดปล่อยเสียงสายนี้ออกมาได้ทันที
วิญญาณตะขาบทองคำทำลายล้างระดับสาม!
มันคือราชาของตะขาบทั้งมวลและเป็นนักฆ่าที่แท้จริงของถ้ำแห่งนี้
ฟางหยวนสามารถจินตนาการถึงมันได้อย่างชัดเจน มันมีความยาวของร่างกายนมากกว่าหนึ่งเมตร กว้างเท่ากำปั้นมนุษย์ และเลื้อยคลานไปรอบๆ
สองข้างลำตัวของมันเป็นขาที่แหลมคมเรียงตัวเป็นทิวแถว ขณะที่มันเลื้อยไปรอบๆ มันจะส่งเสียงเหมือนเครื่องเลื่อยไม้ไฟฟ้า
การมาถึงของตะขาบทองคำทำลายล้างเป็นเหตุให้ตะขาบตัวอื่นสงบลง
ทุกที่ที่มันเคลื่อนตัวผ่าน ฝูงตะขาบจะเปิดทางให้มัน นี่ทำให้มันสามารถมุ่งหน้าตรงไปยังซากศพของกวางที่เหลืออยู่เพียงครึ่งตัวได้อย่างรวดเร็ว
มันปีนขึ้นไปบนซากศพก่อนจะอ้าปากดื่มเลือดกินเนื้อของกวางอาภัพ เมื่อมันแทะเล็มไปถึงกระดูก มันก็ใช้ขาที่เหมือนเลื่อยไฟฟ้าตัดกระดูกเหล่านั้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะกลืนกินเข้าไปทั้งหมด
‘กระทั่งวิญญาณกายาหยกขาวก็ยังไม่สามารถป้องกันการโจมตีของตะขาบทองคำทำลายล้างตัวนี้ ดูเหมือนนักบวชปีศาจสุราดอกไม้จะต้องการให้ข้าใช้วิญญาณหญ้าใบหูปฐพีเพื่อหลีกเลี่ยงมัน แต่ข้ามีวิญญาณกาลเวลา การปราบปรามตะขาบทองคำทำลายล้างไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้’ ฟางหยวนคิด
เขาปลื้มเหยื่อตัวนี้
ตะขาบทองคำทำลายล้างเป็นวิญญาณที่โดดเด่น หากเขาสามารถครอบครอง มันจะเป็นการโจมตีที่ทรงพลังอีกรูปแบบหนึ่งของเขา
แต่ในการกำหราบมัน กระทั่งผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ยังต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมาก
การจับและการฆ่าเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน ปกติแล้วอย่างแรกจะยากกว่าอย่างหลัง
วิญญาณป่าล้วนมีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด เมื่อตะขาบทองคำทำลายล้างตระหนักถึงอันตราย มันจะมุดลงไปใต้ดินและหลบหนี ในกรณีนี้หากผู้ใช้วิญญาณไม่มีวิญญาณประเภทขุดเจาะ แล้วพวกเขาจะไล่ล่ามันได้อย่างไร?
แต่ฟางหยวนครอบครองวิญญาณกาลเวลา เพียงให้มันปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา ตะขาบทองคำทำลายล้างจะไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว
วิญญาณกาลเวลาเป็นวิญญาณระดับหก กลิ่นอายของมันทรงพลังและสามารถสะกดข่มวิญญาณระดับหนึ่งถึงสี่ได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับวิญญาณระดับห้าหรือสูงกว่า ผลกระทบของมันจะลดน้อยลงตามลำดับ
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ แต่แท้จริงแล้วสังคมมนุษย์ก็ไม่ต่างกัน
ต่อหน้าบุคคลที่โดดเด่น ผู้คนจะรู้สึกอิจฉา บูชา และเคารพยกย่อง แต่กับบางคนที่ดีกว่าตนเองเพียงเล็กน้อย พวกเขายังกล้าที่จะต่อต้านและแข่งขัน
‘ตอนนี้ข้าเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองขั้นกลาง แม้ข้าจะสามารถกำหราบตะขาบทองคำทำลายล้าง แต่มันยังเร็วเกินไป’ ฟางหยวนประเมิน
ผู้ใช้วิญญาณระดับสองก็ควรใช้วิญญาณระดับสอง นี่คือแนวทางที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ที่สุด แน่นอนว่าผู้ใช้วิญญาณระดับสองสามารถครอบครองวิญญาณระดับสามหรือแม้แต่ระดับสี่
แต่มันไม่ใช่เรื่องปกติ
ประการแรก ยิ่งวิญญาณระดับสูงเท่าใด อาหารของมันก็ยิ่งมีราคาแพงมากขึ้นเท่านั้น ประการที่สอง มันยากที่จะใช้งานเพราะพวกเขาต้องจ่ายด้วยพลังวิญญาณจำนวนมาก เช่นเดียวกับทารกที่ต้องการใช้ค้อนขนาดใหญ่ หากพวกเขาออกแรงมากเกินไป กล้ามเนื้อของพวกเขาอาจฉีกขาดหรือกระทั่งทำค้อนหล่นทับเท้าของตนเอง
‘กวางน้อยเป็นสิ่งแจ้งเตือนให้ฝูงตะขาบระวังตัวมากขึ้น มันต้องใช้เวลาประมาณสิบวันถึงครึ่งเดือนก่อนที่พวกมันจะสงบลง การทดสอบครั้งนี้ มันยืนยันความคิดที่อยู่ในใจของข้า แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลากวาดล้างพวกมัน ข้าจะให้เวลาพวกมันอีกเล็กน้อย เรื่องนี้ไม่สามารถเร่งรีบ’
ฟางหยวนตัดสินใจก่อนจะปิดประตูหินและเร้นกายจากไปด้วยวิญญาณเกล็ดลี้ลับ