Eternal Martial Sovereign ตอนที่ 39 – หลิงซีจากตำหนักเก้าพิศุทธิ์
Chapter 39 – หลิงซีจากตำหนักเก้าพิศุทธิ์
เห็นรอยยิ้มอันขมขื่นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ระลอกคลื่นได้แผ่นกระจายไปทั่วดวงตาที่ดูเหมือนจะเย็นชาของหญิงสาวผิวขาว ราวกับว่าอารมณ์ได้ไหลออกมาจากภายในพวกมัน ภายในระลอกคลื่นเหล้านั้ มันดูเหมือนจะมีถอนหายใจเล็กน้อย เช่นเดียวกับร่องรอยของความเสียใจ สิ่งนี้มีแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนที่จะละลายลงไปในความไม่แยแส ทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่านางรู้สึกอะไร
“เหตุใดเจ้าจึงไม่จากไป? เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้าฟื้นฟู?” ดวงตาของหญิงสาวผิวขาวพร่ามัวเล็กน้อย คิ้วของนางโค้งเหมือนกับจันทร์เสี้ยว นางพูดอย่างสงบ แล้วปล่อยบรรยากาศของเทพดาที่พูดคุยกับมนุษย์ออกมา ท่าทีของหญิงสาวทำให้บรรยากาศในถ้ำหนาวลง
มีความคาดหวังในสายตาของนางที่ปกคลุมอยู่เป็นส่วนใหญ่ มันดูเหมือนว่านี่คือสิ่งที่ผูกมัดนางไว้และต้องการที่จะรู้ก่อนที่นางจะจากไป อย่างไรก็ตาม นางหยิ่งยโสเกินไปและรักษาท่าทีที่เย็นชาและโดดเดี่ยวของนางไว้
“ถ้าเจ้าไม่ฟื้นคืนความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าจะถูกรังแกโดยคนอื่นๆ ข้าจะอนุญาตให้ผู้หญิงของข้าถูกรังแกได้อย่างไร? เป็นเหตุผลที่ดีพอหรือไม่?” เซี่ยวหยุนไม่ได้มองเห็นความคาดหวังที่ซ่อนอยู่ในสายตาของหญิงสาว กลับกัน ท่าทีอันเหินห่างของหญิงสาวได้นำอารมณ์ที่เขาระงับออกมาขณะที่จ้องมองนาง
ข้าจะปล่อยให้ผู้หญิงของตนถูกรังแกได้อย่างไร?
คำพูดของเด็กหนุ่มถูกพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ราวกับว่าเขาต้องการจะปลดปล่อยอารมณ์ทั้งหมดของเขา เซี่ยวหยุนรู้ว่าเขาจะต้องมีส่วนร่วมกับหญิงสาวคนนี้ในไม่ช้าก็เร็ว แต่เมื่อเห็นนางถามเขาด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยองเช่นนั้น อารมณ์ของเขาได้พุ่งขึ้นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าถ้าเขาไม่ระบายมันตอนนี้ เขาจะไม่มีโอกาสได้ระบายมันในอนาคต
“อวดดี!” คำพูดของเด็กหนุ่มดังออกมาเหมือนกับฟ้าผ่าในหูของหญิงสาว รูปร่างที่ละเอียดอ่อนของนางสั่นเล็กน้อยขณะที่ระลอกคลื่นเริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ทันใดนั้น การจ้องมองของนางก็กลายเป็นเย็นชาขณะที่นางใช้ฝ่ามือที่เหมือนกับหยกทุบไปยังเด็กหนุ่ม
ลมที่การโจมตีจากฝ่ามือของหญิงสาวพามานั้นแหลมคมอย่างยิ่ง แล้วห่อหุ้มเซี่ยวหยุนไว้อย่างแน่นหนา พลังที่ดันลงมาทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าท้องฟ้าได้ตกลงมาบนเขา ทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน
ปัง!
เซี่ยวหยุนถูกส่งออกไปโดยฝ่ามือและถูกทุบเข้าไปในกำแพง
ปุ๊!
เซี่ยวหยุนกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งขณะที่เขาหายใจเข้าและออก แต่ความหลงใหลในสายตาของเขายังคงอยู่ เขาเงยศีรษะขึ้นและยืนขึ้นอย่างช้าๆ ขณะที่มองไปยังหญิงสาวอย่างจริงใจและกล่าว "เหตุใดจึงไม่สังหารข้าเดี๋ยวนี้เลย? จากนั้นเจ้าก็จะสามารถแสร้งทำเป็นว่าเรื่องไม่เกิดขึ้นก็ได้"
หญิงสาวผิวขาวตกลงสู่ความเงียบ เมื่องมองดูความหลงใหลที่ถูกเพาะเลี้ยงและขัดเกลาจากสายตาของเด็กหนุ่ม หัวใจของนางก็บีบรัด นางคิดย้อนกลับไปตอนที่เด็กหนุ่มสำเร็จโทษศัตรูในความมืด ย้อมพระอาทิตย์ตกดินด้วยสีแดงของเลือดขณะที่เขาบ้าคลั่ง ครั้งนี้ เขาได้บ้าเพื่อนางอีกครั้ง
เมื่อคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หัวใจของหญิงสาวผิวขาวก็รู้สึกเศร้าใจแปลกๆ
มันเป็นความสงสาร ...
“อะไรกัน มันเป็นไปได้ไหมที่หัวใจของเจ้าได้สั่นไหวเพราะข้าจริงๆ?” เซี่ยวหยุนเลียเลือดที่ไหลออกมาจากริมฝีปากของเขาขณะที่เขามองไปยังหญิงสาวที่ดูเหมือนกับเทพธิดาจากโลกอื่น เขามีความสะเพร่าของวัยหนุ่มในขณะที่เขาหัวเราะอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
“เจ้ามีคุณสมบัติอะไรกันที่ทำให้หัวใจของข้าต้องสั่นไหวเพราะเจ้า?” การจ้องมองของหญิงสาวผิวขาวกลายเป็นเย็นชาขณะที่นางจ้องเขม็งไปที่เขา
“ฮ่าฮ่า คุณสมบัติ?” เซี่ยวหยุนเอียงศีรษะกลับมาขณะที่เขาหัวเราะ “เจ้าหมายถึงความแข็งแกร่งใช่ไหม?”
แขนเสื้อของหญิงสาวผิวขาวกระพือขณะที่นางแค่นเสียงเย็นชา ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธคำพูดของเขา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแสดงออกของนางจะเย็นชา แต่นางก็ถอนหายใจอยู่ภายใน
“ถ้าเจ้ายืนอยู่บนจุดเดียวกันกับข้า บางทีมันอาจจะเป็นไปได้ แต่มันก็มีความแตกต่างระหว่างเรา...” คิดถึงสิ่งนั้น นางทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น
เด็กหนุ่มในปัจจุบันอยู่เพียงแค่ขอบเขตต้นกำเนิดเท่านั้น และความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นก็เหมือนกับเมฆและโคลน พวกแตกต่างจากคำพูดโดยสิ้นเชิงและการสมรสกันของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่ความผิดพลาดเท่านั้น บางทีเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาทั้งคู่ก็จะลืมเกี่ยวกับสิ่งนี้
หลังจากที่ได้พูดคุยกันแบบนี้อีกครั้ง เซี่ยวหยุนทำได้เพียงยิ้มขมขื่นเท่านั้น “ข้า เซี่ยวหยุน ปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้เมื่อข้าอายุ 6 ปี และก้าวเข้าสู่ขอบเขตหลอมร่างกายเมื่อตอน 8 ปี ข้าถูกเรียกว่าอัจฉริยะและถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าข้าไม่สามารถบ่มเพาะได้เป็นเวลาหลายปี ข้าอาจจะไม่อยู่ในขอบเขตนี้แล้ว”
“ในเวลาเพียง 2 เดือน ข้าทะลวงผ่านจากระดับ 6 ขั้นหลอมร่างกายมายังขอบเขตต้นกำเนิดและสามารถสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตต้นกำเนิดขึ้นปลายได้ ขอแค่มีเวลาเพียงพอ ข้าจะกลายเป็นมังกรท่ามกลางหมู่มังกรและจะทะยานแล้วครอบงำเก้าสวรรค์ เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าต้องการให้เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า!” เด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับเทพธิดาที่งดงามขณะที่เขาพูดแต่ละคำอย่างทรงพลัง
คำพูดเหล่านี้เป็นการแก้เผ็ดต่อท่าทีที่หยิ่งยโสของหญิงสาว เช่นเดียวกับสัญญาที่เขาได้ทำกับตัวเอง เขาต้องการให้หญิงสาวคนนี้รู้ว่าเขา เซี่ยวหยุน จะไม่อยู่ในระดับล่างของการบ่มเพาะอีกตลอดไป
เขากำลังจะทะยานขึ้นเหนือเก้าสวรรค์และกลายเป็นราชัน! เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะไม่มีคุณสมบัติ?
เห็นเด็กหนุ่มทำการสาบาน ร่างกายของหญิงสาวผิวขาวก็สั่นสะท้านเล็กน้อย คำพูดที่หยิ่งยโสของเด็กหนุ่มไม่ได้ทำให้นางดูถูกเขา แต่แทนที่ด้วยการมีความหวังและเห็นคุณค่า
อย่างไรก็ตาม ช่องว่างระหว่างพวกเขาก็เป็นเรื่องยากเกินไปที่จะข้ามให้พ้น! คิดถึงช่องว่างระหว่างพวกเขา คลื่นภายในหัวใจของนางก็ตายลงไป เพราะสำหรับฝ่ายของนางเป็นของที่ไม่ได้ง่ายเลย! ด้วยสถานะของนาง การตัดสินใจไม่ใช่ของตัวนางเอง
“ทุกคนสามารถกล่าวสิ่งนั้นได้ แต่มีผู้คนมากแค่ไหนที่พวกเขาบรรลุได้อย่างแท้จริง?” คำพูดของหญิงสาวผิวขาวยังคงสงบและไม่แยแสอย่างน่าเหลือเชื่อ มันไม่ได้มีร่องรอยของอารมณ์ในดวงตาของนางที่จ้องมองมายังเซี่ยวหยุนเลย
“ข้าจะบรรลุมันอย่างแน่นอน” สายตาของเซี่ยวหยุนกลายเป็นจริงจังขณะที่เลือดของเขาเดือด บรรยากาศของความเด็ดเดี่ยวและแข็งกร้าวจากชายหนุ่มแผ่ออกมาจากภายในตัวเขา
“เอาล่ะ ข้าจะให้โอกาสเจ้า” สายตาของหญิงสาวกลายเป็นจริงจังขณะที่นางกล่าวว่า “ข้ามาจากตำหนักเก้าพิศุทธิ์ในอาณาจักรเมืองหลวงแห่งสวรรค์ ถ้าหากเจ้าได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เจ้าสามารถไปที่นั่นและค้นหาข้าได้ อย่างไรก็ตามเมื่อวันนั้นมาถึงอย่างแท้จริง เจ้าจะได้ตระหนักว่าคำพูดของเจ้าน่าหัวเราะเพียงใด เพราะว่าในดินแดนเหล่านั้น อัจฉริยะที่เป็นดวงดาวเหมือนเจ้ามีอยู่ทั่วไป เจ้าก็เป็นแค่ส่วนเล็กน้อยในพวกเขา”
“ตำหนักเก้าพิศุทธิ์? ข้าจะไปหาเจ้า” เซี่ยวหยุนกล่าวอย่างแน่วแน่
“เราจะดูกันว่าวันนั้นจะมาถึงรึเปล่า” หญิงสาวผิวขาวยังคงสงบขณะที่นางหนีไปและเตรียมตัวจะจากไป
“นามของเจ้าคือ?” เซี่ยวหยุนถาม
“หลิงซีจากตำหนักเก้าพิศุทธิ์!” ผิวหนังของหญิงสาวผิวขาวที่ไม่มีที่ติราวกับหยกและรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ ดูเหมือนว่านางจะเหยียบดอกบัวขณะที่นางก้าวไปในอากาศ เสื้อผ้าของนางสะบัด นางดูราวกับว่าเทพธิดาขณะที่นางเหยียบไปบนอากาศ ทิ้งเสียงสะท้อนของนางไว้เบื้องหลังขณะที่นางจากไปแล้ว
“หลิงซี!” เซี่ยวหยุนยืนอยู่ที่ปากถ้ำ จ้องไปยังรูปร่างของนางที่หายไปในขณะที่ปณิธานปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “จะมีวันที่ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดูว่าข้านั้น เซี่ยวหยุนจะทำตามคำสาบานเสมอ เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะเป็นผู้หญิงของข้า”
ภายในถ้ำ เด็กหนุ่มมองขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่เขาทำคำสาบานที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ขณะที่เด็กหนุ่มพูดกับตนเอง หญิงสาวในอากาศได้หยุดชั่วคราวและมองกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ หวังว่าจะได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“เซี่ยวหยุน” ดวงตาของหญิงสาวผิวขาวเบลอเล็กน้อยขณะที่นางพึมพำกับตัวเอง "ถ้าเจ้าไม่สามารถที่อาณาจักรเมืองหลวงแห่งสวรรค์เพื่อพิสูจน์ตัวเองได้ ข้าจะพยายามปฏิบัติต่อสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดพลาดและลืมเกี่ยวกับมัน" หลังจากกล่าวเช่นนี้ นางก็หายไปในขอบฟ้าโดยสมบูรณ์
มีความรู้สึกมีหวังและคาดหมายในหัวใจของหญิงสาว อย่างไรก็ตาม มันน่าเสียดายเพราะว่าช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นยิ่งใหญ่จนเกินไป การต้องการที่จะอยู่ร่วมกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หลังจากหญิงสาวผิวขาวหายไปอย่างสมบูรณ์ เซี่ยวหยุนก็ค่อยๆสงบลง “ข้าสงสัยว่าทุกสิ่งที่บ้านจะเป็นอย่างไรแล้ว” เซี่ยวหยุนคิดกับตนเองขณะที่เตรียมตัวจะจากไป ตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว แล้วยังได้รับจิตวิญญาณการต่อสู้เปลวไฟสีม่วงและยกระดับบทการทำลายจิตวิญญาณอีกด้วย แต่การผจญภัยของเขาเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า หลังจากที่เก็บอารมณ์ของตัวเขาเอง เซี่ยวหยุนก็เริ่มจากไป
“มันเป็นคู่ของจิ้งจอกม่วง! ข้าสามารถจับพวกมันแล้วมอบให้กับน้องสาวหลิงเอ๋อและพี่สาวใหญ่ซือเฟิยได้” หลังจากที่ผ่านหุบเขา เซี่ยวหยุนพบคู่ที่น่ารักของจิ้งจอกวัยเด็ก ซึ่งกำลังมองไปรอบๆอย่างน่าสงสาร พ่อแม่ของพวกมันนอนตายอยู่ข้างๆพวกมัน
เห็นจิ้งจอกม่วงมองดูแล้วน่ารักขนาดใด เซี่ยวหยุนจึงตัดสินใจที่พาพวกมันไปกับเขา ตอนนี้เขาได้มาถึงขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว ความเร็วของกลายเป็นเร็วขึ้นไปอีก การเดินทางที่เขาใช้เวลาถึง 15 วัน แต่เขาใช้เพียงแค่ 5 วันในการเดินทางกลับ
ห้าวันต่อมา เซี่ยวหยุนได้กลับมาเขตเมฆาม่วง มันผ่านมาสองเดือนนับตั้งแต่เขาได้ไปจากที่พักอาศัยตระกูลเซี่ยว
“ในที่สุดข้าก็กลับบ้าน” เซี่ยวหยุนรู้สึกถึงความคุ้นเคยหลังจากเขาก้าวกลับมาในบ้านของเขา
ในช่วง 2 เดือน เขาได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายหลายครั้งและมันก็ทำให้เติบโตขึ้นมาก แน่นอน เขายังคงคิดถึงครอบครัวของเขาอย่างมาก
“ข้าสงสัยน้องสาวกำลังอะไรอยู่” หลังจากที่สำราญกับอารมณ์เหล่านี้ เซี่ยวหยุนก็คิดเกี่ยวกับน้องสาวของเขาทันที หลิงเอ๋อ ถึงแม้ว่าเขาจะทิ้งสมุนไพรประเภทไฟไว้เป็นจำนวนมาก เขาก็ไม่มั่นใจว่าพวกมันจะสามารถปราบปรามปราณเย็นได้ 2 เดือน หลังจากที่ปราณเย็นภายในร่างกายของหลิงเอ๋อได้น่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเร็ว ๆ นี้!
“นายน้อยเซี่ยวหยุน ท่านกลับมาแล้ว”
“นายน้อยเซี่ยวหยุน ท่านไปที่ไหนมาใน 2 เดือนที่ผ่านมา?” เมื่อเซี่ยวหยุนเดินเข้าไปในลานบ้านขนาดใหญ่ เขาก็ถูกทิ้งระเบิดคำถามใส่ นอกจากนี้ยังมีบางคนแค่นเสียงเย็นชา ซึ่งมาจากผู้คนที่ดูไม่เป็นมิตรบางคน
“ฮึ่ม เด็กเหลือขอนี่หายไปตั้ง 2 เดือน มันเป็นเพราะว่าคำขู่ของฝางเฮ่าหรือไม่?”
“เขาต้องซ่อนตัวอยู่ข้างนอกแน่นอน”
“มันน่าแปลกที่ผู้นำตระกูลคนก่อนได้ปกป้องเขา” เสียงของการสนทนายังดังออกมาจากลานบ้านต่างๆ
แน่นอน คนเหล่านี้ไม่กล้าพูดเสียงดัง พวกเขาทั้งพูดด้วยน้ำเสียงเงียบๆ แต่ด้วยพลังวิญญาณอันทรงพลังของเซี่ยวหยุน เขาสามารถได้ยินเสียงเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม เขาละเลยพวกมัน และเดินไปด้วยรอยยิ้มที่สงบ
ตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว ทำไมเขาต้องรำคาญการได้ยินการเยาะเย้ยนี้ด้วยล่ะ ? ในไม่ช้า เขาจะเอาความภาคภูมิใจคืนมาด้วยกำปั้น!
ซือ! ซือ!
บนไหล่ของเซี่ยวหยุน ดวงตาของจิ้งจอกม่วงที่น่ารักทั้งสองเกิดแสงระยิบระยับ มองดูค่อนข้างขี้อาย ขนของพวกมันเป็นสีม่วงโดยสมบูรณ์และและมีประกายเงางามบนมัน เห็นได้ว่า พวกมันเป็นจิ้งจอกที่มีความรู้สึก
“ข้ามั่นใจว่าน้องสาวตัวน้อยจะต้องชอบจิ้งจอกเหล่านี้” เซี่ยวหยุนมองไปยังจิ้งจอกตัวน้อยบนไหล่ของเขาขณะที่รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา หลิงเอ๋อต้องเหงามาเสมอตั้งแต่ตอนที่นางเป็นเด็ก และนางก็จะรู้สึกดีขึ้นกับสหายจิ้งจอกที่น่ารักอย่างแน่นอน ในช่วงพริบตาเดียว เซี่ยวหยุนได้มาถึงลานฝึกศิลปะการต่อสู้ ที่มีกลุ่มของคนรุ่นเยาว์กำลังฝึกซ้อมอยู่ (เปลี่ยนชื่อจากสนามตอนแรกอ่ะครับ ไอ้ลานฝึกศิลปะการต่อสู้)
“เอ่อ นั้นมันอัจฉริยะของพวกเราเซี่ยวหยุนหรือ?” เมื่อได้เห็นเซี่ยวหยุน คนรุ่นเยาว์จำนวนมากหันมาดู
“ฮึ่ม เขากล้าที่จะกลับมาหลังจากหายไปถึง 2 เดือน?” ภายในฝูงชน เซี่ยวเฉิงมองดูไม่ชอบใจอย่างมากขณะที่เดินมายังเด็กหนุ่มอย่างช้าๆ ข้างหลังเขาเป็นกลุ่มของคนรุ่นเยาว์ที่ติดตามมาด้วย
“เซี่ยวเฉิง” เห็นเซี่ยวเฉิงเดินมาด้วยเจตนาไม่ดี เซี่ยวหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ใส่ใจใดๆกับการยุแหย่ของพวกเขาเลย แล้วเดินต่อไปยังเส้นทางของเขา