บทที่ 85 มาถึงหน้าประตู
เมื่อจั่วม่อเสร็จสิ้นการสะสางพื้นที่ทุ่งปราณที่มันเช่าไว้ ก็ลากร่างอันเหนื่อยล้ากลับไปยังลานน้อยลมตะวันตก แต่พอเห็นกระเรียนกระดาษน้อยบินร่อนลงมา มันแทบจะเป็นลมล้มคว่ำลงตรงนั้น
นางคงไม่เริ่มทรมานมันอีกกระมัง...
จั่วม่ออยากร่ำไห้ แต่เรื่องนี้ไม่เคยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ใจมันปรารถนาอยู่แล้ว มันได้แต่ต้องปรับตัวเพื่อการอยู่รอด
“นายท่านเจ้าขา! เบื่อจังเลย มาเล่นไขปริศนากันเถอะ!”
จั่วม่ออยากตอบกลับไปว่า ‘ที่จริงเกอไม่เคยเบื่อเลย’ แต่เมื่อคำนึงถึงรสนิยมอันพิสดารของนางเกี่ยวกับ ‘ดอกไม้ไฟ’ จั่วม่อยังคงสงบจิตใจและตอบกลับไปอย่างมีเหตุมีผล “ข้าเล่นไม่เป็น”
มันไม่คิดว่านี่ป็นการโกหกอีกฝ่าย มันไม่ทราบวิธีเล่นจริงๆ การละเล่นไขปริศนา สำหรับมันแล้วคำพวกนี้ไม่คุ้นหูสักนิด ราวกับว่ามันไม่เคยรู้จักมาก่อน ชีวิตของมันนับตั้งแต่วินาทีที่ฟื้นขึ้นมา ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่สามารถใช้ชีวิตสุขสบาย และเอาแต่เล่นการละเล่นอย่างเอื่อยเฉื่อยได้
แต่ผู้อื่นเป็นมิตรมากและไม่ดูถูกเดียดฉันท์ เพียงกล่าวว่า “ไม่สำคัญหรอก บ่าวจะสอนนายท่านเอง”
จั่วม่อพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้าย “ข้าโง่มาก สอนไปก็ไม่เข้าใจหรอก”
แต่ก็เหมือนกับสมัยก่อน อีกฝ่ายไม่ให้โอกาสมันขัดขืนแม้แต่น้อย ดังนั้นจั่วม่อจึงได้เห็นแถวตัวอักษรอธิบายกฏของการละเล่นไขปริศนายาวเหยียดกว่าแปดพันคำ คราวนี้จั่วม่อแทบหมดสติจริงๆ ยากอะไรจะปานนี้! สำหรับคนที่ไม่ชอบการละเล่นไขปริศนาเยี่ยงมัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่มันสามารถทำได้อย่างแท้จริง เพียงกวาดตาอ่านไปได้ไม่กี่คำก็ตัดสินใจยอมแพ้ ยืนยันอย่างจริงจังว่า “ข้าโง่จริงๆ !”
แต่เมื่อคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้อีกฝ่ายมีโทสะมากเกินไป มันก็เพิ่มเข้าไปอีกประโยคอย่างอ่อนแอว่า “ไม่อย่างนั้นก็ เอาอันที่ง่ายที่สุดดีหรือไม่?”
ทันอกทันใจดีเหลือเกิน คราวนี้ในมือมัน ถือคำอธิบายกฏของการละเล่นไขปริศนาประมาณสองร้อยตัวอักษร
อี๋ย์ จั่วม่ออดสะท้านขึ้นเฮือกหนึ่งไม่ได้ นี่ไม่ใช่ปริศนาค่ายกลหรอกหรือ? มันค่อยๆ อ่านทวนอย่างละเอียดอีกครั้ง ในที่สุดก็ยืนยันได้ว่านี่เป็นปริศนาค่ายกลจริงๆ
วิชาค่ายกลเป็นแขนงวิชาที่อาศัยการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ต้นกำเนิดของจั่วม่อเป็นสำนักเล็กๆ ย่อมไม่มีประสบการณ์ใดๆ ในด้านนี้ แต่สำหรับสำนักใหญ่บางแห่ง เหล่าศิษย์จะศึกษาร่ำเรียนวิชาค่ายกลตั้งแต่เล็ก เริ่มจากค่ายกลปราณเดี่ยวที่เรียบง่ายที่สุด ขยับขึ้นไปเป็นค่ายกลหยินหยาง ค่ายกลสองประสาน ค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนและความยากขึ้นไปเรื่อยๆ นี่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ยาวนานมาก เพื่อช่วยเหลือให้เหล่าศิษย์ได้ร่ำเรียนสะดวก ซิวเจ่อยอดฝีมือเชิงค่ายกลบางคน ได้สร้างชุดวิธีการเรียนรู้วิชาค่ายกล รวบรวมปริศนาค่ายกลทุกประเภทไว้ในชุดวิธีการเรียนรู้เหล่านี้
ตัวอย่างเช่นการแก้คำผิด เติมคำในช่องว่าง การเพิ่มประสิทธิภาพ และอื่นๆ อีกนานัปการ ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเวลาผ่านไป ซิวเจ่อบางคนเพลิดเพลินกับกระบวนการนี้และหลงใหลหัวปักหัวปำ สร้างสรรค์ปริศนาค่ายกลที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ออกมา ระหว่างศิษย์หลายคนมักใช้เป็นการละเล่นประลองเชาว์ปัญญา
จั่วม่อไม่เคยเล่นของเล่นเช่นนี้มาก่อน รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง ค่ายกลในปริศนาค่ายกลข้อนี้ไม่ซับซ้อนมากนัก จั่วม่อเคยศึกษาพวกมันมาก่อน อย่างไรก็ตาม ปริศนาข้อนี้ยุ่งยากมาก มันอดใช้เวลาครุ่นคิดไม่ได้ อีกฝ่ายก็คล้ายล่วงรู้ว่ามันกำลังคิด และไม่เรียกร้องเร่งรีบอันใด
ครุ่นคิดเป็นเวลานาน จั่วม่อยังขบคิดไม่ออกแม้แต่น้อย
จั่วม่อสะบัดศีรษะแรงๆ ค่อยมีสติแจ่มใส ในใจมันอดไม่ได้ต้องรู้สึกอึ้งงัน ศิษย์สำนักใหญ่มักเล่นของเล่นเช่นนี้หรือ? มันอดทอดถอนชมเชยคนเหล่านั้นไม่ได้ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าไฉนพวกมันแข็งแกร่งนัก กระทั่งการละเล่นของพวกมันยังร้ายกาจถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อตัดสินใจละความสนใจจากการเล่นไขปริศนาก่อน มันยังคงมีเรื่องราวมากมายที่ต้องกระทำ ของเล่นนั้นดี หากเล่นในเวลาว่าง จะอย่างไรสตรีน่าตายนั่นก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรมัน
จั่วม่อไปยังห้องศิลา ฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดกับวัชรสูตรน้อยฉบับป้ายหินสุสาน
หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝีมือ มันหยิบกระบี่หยดน้ำออกจากบ่อน้ำพุปราณ เมื่อถูกเลี้ยงดูด้วยสารอาหารอุดมสมบูรณ์ในน้ำพุปราณ กระบี่หยดน้ำเงางามกระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม จั่วม่อลูบไล้กระบี่อย่างรักใคร่ จากนั้นเริ่มประทับรอยวิญญาณลงในกระบี่อีกคำรบหนึ่ง
กระบี่บินเล่มหนึ่ง กว่าจะสามารถควบคุมบังคับใช้ได้ดุจดั่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ต้องผ่านการประทับรอยวิญญาณอย่างยาวนาน และยิ่งต้องการให้มันเคลื่อนไหวดั่งใจปรารถนามากเท่าใด ยิ่งต้องใช้เวลานานมากขึ้นเท่านั้น กระบี่บินไม่ผิดอันใดกับคู่ชีวิตของเซียนกระบี่ ยิ่งอยู่ร่วมกันยาวนานเท่าใด ก็ยิ่งเข้าอกเข้าใจกันมากเท่านั้น เซียนกระบี่มักไม่สามารถเปลี่ยนกระบี่บินคู่กายได้ง่ายดายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเข้าสู่ด่านจินตันไปแล้ว ประเด็นนี้จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
ทุกวันนี้ที่ทุ่มเทประทับรอยวิญญาณในกระบี่ ความพยายามของมันไม่ได้สูญเปล่า บัดนี้จั่วม่อสามารถบังคับกระบี่หยดน้ำได้ราวกับแขนขาของตัวเอง กระบี่หยดน้ำระดับสูงกว่ากระบี่ผลึกน้ำแข็ง จึงคล่องแคล่วปราดเปรียวยิ่งกว่า
จั่วม่อเคลื่อนจิต กระบี่หยดน้ำระเบิดออกจากมือ พุ่งขึ้นกลางอากาศ ในเวลาเดียวกัน มันกู่ร้องคำหนึ่ง ทะยานร่างตามติดไปอย่างกระชั้นชิด
กระบี่สาดประกายแวววับ เหินบินดุจมังกรท่องนภา
ท่ามกลางความเวิ้งว้างกลางอากาศ เปลวไฟที่คล้ายประกอบขึ้นจากน้ำเปล่งแสงเรืองรองจางๆ ทุกที่ที่กระบี่บินเหินผ่าน ปรากฏสายธารแห่งเพลิงธาราลุกไหม้เป็นทางโดยไร้เสียง
จั่วม่อดูคล้ายมึนเมา ใช้กระบี่หยดน้ำฝึกปรือเพลงกระบี่เพลิงธารา เป็นความสุขสราญที่ยากหาใดเทียบอย่างแท้จริง เมื่อความเพลิดเพลินของมันไต่ระดับขึ้นไปถึงจุดสูงสุด จั่วม่อก็หลงลืมตนโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ถูกจำกัดในกระบวนท่าเพลงกระบี่ดั้งเดิมอีกต่อไป หนึ่งดรรชนีจี้สะบัด หนึ่งกระบี่ก็ตามติด แทบไม่สามารถตรวจพบร่องรอยของกระบี่ยามพุ่งทะยาน ในกระบี่บินยังแฝงเร้นด้วยกลิ่นอายเจตจำนงกระบี่เพลิงธารา ระเบิดขึ้นในความสงบ และแผ่ซ่านระลอกคลื่นกระจายออกมา
เจตจำนงกระบี่ซึ่งประดุจคลื่นแสงบางเบา ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงและกดดันขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกระบี่เคลื่อนที่ พลานุภาพอันยิ่งใหญ่ก็ตามติดไปพร้อมกัน แรงระเบิดที่แทบไม่อาจสัมผัสได้ เริ่มลุกโชนดุจเปลวไฟที่ถูกสายลมช่วยกระพือ
ยังคงเย็นเยียบเงียบสงบเช่นที่เคย ผสมกับแรงระเบิดอันแกร่งกร้าว สองความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงผสมผสานอยู่ร่วมกัน แต่จั่วม่อไม่รู้สึกแปลกอันใดและไม่ได้อึดอัดขัดข้องแม้แต่น้อย
บนกระบี่หยดน้ำ เจตจำนงกระบี่เสมือนไฟที่ลุกโชน ค่อยๆ เริ่มหดตัวรวมรั้งเข้าสู่ภายใน
เมื่อจั่วม่อตื่นขึ้นจากช่วงเวลารู้แจ้งอันศักดิ์สิทธิ์ จึงเพิ่งตระหนักว่าเพลงกระบี่เพลิงธาราของมันรุดหน้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง โดยทันรู้เนื้อรู้ตัว
ไม่ยินดีและไม่แปลกใจมากนัก มันเพียงยืนเงียบงัน ดื่มด่ำกับรสชาติอันเลิศล้ำอีกช่วงหนึ่ง
จั่วม่อไม่ทราบชัด ว่าเพลงกระบี่เพลิงธาราของมันในเวลานี้อยู่ที่ระดับใด เคล็ดกระบี่เพลิงธาราเดิมไม่ใช่เคล็ดวิชาระดับสูงและลึกซึ้ง กระทั่งผู้คิดค้นวิชาก็ไม่ใช่ยอดฝีมือเซียนกระบี่แต่อย่างใด จั่วม่อสามารถแตกฉานเพลงกระบี่เช่นนี้ถึงขั้นนี้ นับว่าค่อนข้างผิดปกติไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จั่วม่อจำเป็นต้องสำรวจเส้นทางข้างหน้าด้วยตัวเอง เนื่องเพราะเคล็ดกระบี่เพลิงธาราที่มันฝึกปรือสิ้นสุดลงตรงจุดนี้ แม้ว่าสำหรับขั้นถัดไป ผู้คิดค้นเคล็ดวิชาได้เขียนการคาดเดาและกรอบความคิดบางส่วนของมันไว้ แต่มีหลายอย่างถูกผูเยาคัดทิ้งแทบทั้งหมด
กล่าวถึงความลึกซึ้ง เจตจำนงกระบี่เพลิงธารายังห่างไกลมาก จากเจตจำนงกระบี่กระแสธารที่จั่วม่อแอบลอกเลียนมา อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่จั่วม่อบรรลุความเข้าใจด้วยตัวเอง ทั้งยังเป็นเจตจำนงกระบี่ที่มันสามารถเข้าถึงและควบคุมได้มากที่สุดอีกด้วย! ความเข้าใจในเจตจำนงกระบี่เพลิงธาราของมัน เหนือล้ำกว่าเจตจำนงกระบี่กระแสธารมาก
บางที...มันอาจอาศัยมองดูและศึกษาเจตจำนงกระบี่กระแสธาร เพื่อนำมาปรับปรุงเคล็ดกระบี่เพลิงธารา ความคิดนี้ทำให้จั่วม่อสะท้านใจอย่างกะทันหัน
แต่จั่วม่อก็เพียงแค่คิดเท่านั้น มันไม่โอหังพอที่จะปรับปรุงแก้ไขเคล็ดวิชากระบี่ อย่าว่าแต่ความเข้าใจในเจตจำนงกระบี่กระแสธารของมัน ยังเบาบางไม่ต่างอันใดกับเส้นผมเท่านั้น
ในเวลานี้เอง มันพลันตรวจพบว่ามีคนอยู่นอกหุบเขา ผู้มายังว่านอนสอนง่ายยิ่ง ไม่ได้แตะถูกอาคมหวงห้ามแม้แต่น้อย
จั่วม่อไปยังปากทางเข้าหุบเขา
“ศิษย์พี่ คนจากพรรคอัจฉริยะปราณมาอีกแล้ว!” คนส่งข่าวยังคงเป็นศิษย์ฝ่ายนอกคนเดิมผู้นั้น อย่างไรก็ตาม หนนี้บนใบหน้ามันไม่มีวี่แววตื่นกลัวเหมือนครั้งก่อน มีแต่ความตื่นเต้น
“พวกมันมาอีกแล้ว?” จั่วม่ออึ้งงัน
“ใช่ขอรับ!” ศิษย์ผู้นั้นตอบอย่างนอบน้อม แทบปิดบังความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ “คราวนี้มากันห้าคน!”
จั่วม่อรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ
ห้า...คน...
คราวก่อนมาสาม คราวนี้ถึงกับมาห้าเชียวเรอะ!
จั่วม่อปรารถนาจะหมุนตัวกลับและวิ่งไปให้เร็วที่สุด
“พวกมันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และเรียกร้องขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่โดยตรง” ศิษย์ฝ่ายนอกผู้นี้เห็นได้ชัดว่าไม่ไดัสังเกตเห็นอาการแปลกๆ ของจั่วม่อ กล่าวเสียงตื่นเต้นว่า “เจ้าพวกนี้ช่างไม่รู้จักประมาณตนจริงๆ!”
“แค่กแค่ก” จั่วม่อบังคับตัวเองให้สงบลง กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แล้วถามว่า “หนนี้เป็นผู้ใดมา?”
“สามคนจากคราวที่แล้วมาด้วยกันทั้งหมด ส่วนอีกสองคนข้าไม่รู้จัก”
จั่วม่อใจเย็นลงอีกหน่อย ประเสริฐ ประเสริฐ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนใหม่ทั้งห้าคน สองคนพ่ายแพ้มันไปแล้ว อืม มันมีเหตุผลเต็มที่ที่จะเมินเฉยต่อพวกมันเสีย ส่วนสตรีผู้นั้น วันก่อนนางเมื่อไม่กล้าสู้ วันนี้ก็คงไม่ผลีผลามลงมืออย่างแน่นอน เช่นนั้น ที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าก็เหลือเพียงหน้าใหม่อีกสองคนที่มันไม่รู้จัก ในเมื่อวันนี้พวกมันตั้งใจมาคิดบัญชีแค้น แน่นอนว่าย่อมมีพลังฝีมือสูงส่งกว่าเจ้าสองคนคราวก่อน
สมองมันหมุนเร็วจี๋ ในใจลังเลอย่างยิ่ง มันสมควรไปหรือไม่ไปดี? ถึงกับสำนึกเสียใจอยู่บ้างที่คราวก่อนกล่าววาจามากเกินไปจนเข้าตัว ปากก็อดถามไม่ได้ว่า “แล้วศิษย์พี่คนอื่นๆ ทำอะไรกันอยู่? เจ้าไม่อาจมารบกวนข้าด้วยเรื่องเช่นนี้ได้ทุกครั้ง”
“ศิษย์พี่ใหญ่กับต้าซือเจี่ยออกไปด้านนอก ศิษย์พี่หลัวหลีปิดด่านฝึกตน ศิษย์พี่สวี่อี้กำลังหลอมสร้างยุทธภัณฑ์และทิ้งคำสั่งไว้ไม่ให้ผู้ใดรบกวน ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นกำลังถูกลงโทษ มีเพียงศิษย์พี่หญิงซวีอีเซี่ยที่ว่าง จะให้ข้าแจ้งต่อนางหรือไม่?”
สตรีนางนั้นน่ะหรือ?
จั่วม่อความเดียดฉันท์พลุ่งขึ้นในหัวใจ ลืมไปเถอะ ขืนแจ้งให้นางทราบ สตรีนางนี้น่าจะมาคอยสร้างความเสียหายลับหลังมันเสียมากกว่า
ประเสริฐ! หวนนึกถึงความเข้าใจใหม่ที่มันเพิ่งบรรลุในเคล็ดกระบี่เพลิงธารา จั่วม่อจู่ๆ ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ มันเพิ่งมีความรุดหน้า ก็มีคนมาเสาะหาเพื่อเซ่นคมกระบี่ พรรคอัจฉริยะปราณนี้ที่แท้เต็มไปด้วยคนดีจริงๆ อ้า!
หลังจากคิดคำนวณรอบด้าน จั่วม่อก็ไม่หลบเลี่ยงอีก มันพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไปกันเถอะ”
ศิษย์ฝ่ายนอกผู้นี้แทบกระโดดโลดเต้น รีบออกนำหน้าเบิกทางให้ทันที
ครั้นเมื่อมาถึงประตูใหญ่ของสำนัก เห็นผู้คนมืดฟ้ามัวดิน จั่วม่อแทบสะดุดขาตัวเองล้มคว่ำ
“ไฉนผู้คนมากถึงเพียงนี้?”
ศิษย์ฝ่ายนอกผู้นี้ตื่นเต้นสุดขีด “พวกเราได้ยินว่าพรรคอัจฉริยะปราณมาอีกแล้ว ทุกคนรีบรุดมาชมดูศิษย์พี่สั่งสอนเจ้าพวกจอมผลาญจิงสือของพรรคอัจฉริยะปราณด้วยตาตนเอง!”
“เอิ่ม...แต่ไฉนมีเหล่าศิษย์สตรีด้วย?” จั่วม่อรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่บ้าง
“ย่อมต้องมาชื่นชมความสง่างามของศิษย์พี่อยู่แล้ว!”
จั่วม่อขนลุกชันทั้งร่าง
เห็นจั่วม่อเดินออกมา กลุ่มศิษย์สตรีก็กรีดร้อง จั่วม่อสะดุ้งโหยง แทบสะดุดล้มหัวทิ่ม
“วา! ศิษย์พี่หล่อเหลามาก!”
“กรุณาเถิด นั่นเรียกว่าสง่าเยือกเย็น!”
“ตอนที่ศิษย์พี่เป็นศิษย์ฝ่ายนอก ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าศิษย์พี่ไม่ใช่คนธรรมดา!”
“ข้าอยากจะยั่วยวนศิษย์พี่เสียจริงๆ...”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
… …
จั่วม่อใบหน้าที่ไร้อารมณ์ยังถึงกับมืดครึ้ม มันตัดสินใจเลี่ยงออกห่างจากสตรีเสียสติเหล่านี้
เมื่อจั่วม่อเริ่มเดินเฉียดไปทางฝั่งศิษย์บุรุษ พวกมันก็แสดงอารมณ์ร่วมเป็นอย่างดี
“ศิษย์พี่ ฆ่าพวกมันให้หมด!”
“สับมัน!”
“สับมันเป็นแปดชิ้น ตัดมือตัดเท้ามัน ดึงเส้นเอ็นออกมา ทำลายเส้นชีพจร ตัดน้องชายมัน!”
“สิ้นคิดจริงๆ! จะให้พวกมันไปฝึกคัมภีร์ทานตะวัน*กลับมาแก้แค้นหรือไร...”
(*หมายถึงคัมภีร์ทานตะวันหรือเพลงกระบี่ปราบมารในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร ร้ายกาจเลิศภพจบแดน แต่ต้องสะบั้นแก่นกายตัวเองก่อนฝึกปรือ นัยว่าผู้เขียนแซวเรื่องอื่นเล่นนั่นแล)
… …
จั่วม่อรีบพาตัวเองออกห่างจากกลุ่มคนบ้าคลั่ง ที่จมลงไปในจิตวิญญาณการต่อสู้อย่างสมบูรณ์เหล่านี้
เพียงเดินผ่านเหล่าศิษย์บุรุษสตรีเป็นระยะทางไม่ไกลเท่าใดนัก จั่วม่อผู้ซึ่งเดิมทีเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ เกือบจะสูญเสียความปรารถนาในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง
แน่นอน ในสายตาของทุกผู้คน ศิษย์พี่จั่วม่อกำลังก้าวเดินอย่างมั่นคง ท่วงท่าเยือกเย็น องอาจสง่างามผ่านหน้าพวกมันไป
แต่เมื่อจั่วม่อเห็นสีหน้าที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าบนใบหน้าของศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณทั้งห้า มันค่อยอารมณ์ดีขึ้นบ้าง