บทที่ 80 การเปลี่ยนแปลงบนป้ายหินสุสาน
ห้าวันแห่งการพักผ่อนผ่านไปในพริบตา
จั่วม่อจำใจรอรับการฝึกอบรบอันโหดเหี้ยมของอาจารย์ลุงซินหยาน แต่จู่ๆ ก็ได้ทราบว่าอาจารย์ลุงออกไปด้านนอกด้วยธุระอย่างอื่น ระงับการฝึกของมันไว้ชั่วคราว เมื่อไม่มีสิ่งใดให้กระทำ จั่วม่อได้แต่ไปหาซือฟู่ แต่น่าประหลาดที่นางเองก็ไม่อยู่ จากนั้นมันยังพบอย่างรวดเร็ว ว่าท่านเจ้าสำนักกับอาจารย์ลุงหยานเล่อก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน
เกิดเรื่องอันใด?
แน่นอนว่าจั่วม่อไม่ล่วงรู้ ว่าการสำแดงพลังฝีมืออันร้ายกาจสุดฟ้าสุดดินของผูเยา สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วอาณาจักรนภาจันทร์ เพียงประมือคราเดียว ในห้าปรมาจารย์จินตัน หนึ่งตกตาย หนึ่งบาดเจ็บ อีกสามหลบหนี ความเข้มแข็งอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดได้ยินได้ฟังล้วนแตกตื่นจนตัวสั่น ควรทราบว่าซิวเจ่อด่านจินตัน ในอาณาจักรนภาจันทร์ถือเป็นยอดคนชั้นสูงระดับแนวหน้า และมีน้อยจนนับได้ แต่พอเผชิญหน้าคนผู้นั้นกลับรับมือไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว เหตุการณ์นี้ยังเกี่ยวโยงถึงเรื่องราวสำคัญหลายประการ อาณาจักรคลื่นเรืองรองลงมือตอบสนองอย่างรวดเร็ว ซิวเจ่อระดับสูงเกือบทั้งหมดในอาณาจักรนภาจันทร์ยังให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ สำนักกระบี่สุญตาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แม้ว่าไม่มีอาจารย์ลุงซินหยานคอยกำกับดูแล จั่วม่อก็ไม่กล้าหย่อนยาน หากมันไม่มีความสำเร็จในวัชรสูตรน้อยบ้าง ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานก็ย่อมเป็นตัวมันเอง
มันตัดสินใจกลับไปยังลานน้อยลมตะวันตกและฝึกปรืออย่างจดจ่อ
ผูเยายังคงเป็นรูปสลักหิน นิ่งไม่ไหวติง เปลวเพลิงในทะเลแห่งจิตสำนึกก็ยังคงอ่อนโทรมมาก น่าหวั่นใจว่าพวกมันจะมอดดับลงในเวลาใดเวลาหนึ่ง
จนกระทั่งไม่กี่วันต่อมา จั่วม่อฟังจากอินกุยจึงค่อยตระหนักว่าตงฝูแทบจะพลิกคว่ำถล่มทลาย และล่วงรู้ว่าที่แท้ผูเยาก่อวีรกรรมอันใดไว้ เมื่อมันได้ยินเรื่องเปลวเพลิงสีแดงฉาน ก็ทราบว่าเป็นผูเยาอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าผู้นี้เข้ายึดครองร่างกายมันโดยไม่บอกกล่าว! จั่วม่อในใจชิงชังยิ่ง และชัยชนะอันหมดจดแบบหนึ่งสยบห้าของผูเยา ยังทำให้จั่วม่ออ้าปากค้าง
ดาวพร่างกลางทิวา...สุดยอดฝีมือสุดลี้ลับผู้ใช้เพลิงไฟ...ไข่มุกหยินที่สาบสูญไปนาน... ...
เหตุการณ์อันซับซ้อนซึ่งจู่โจมเข้ามาเป็นระลอก บันดาลให้อาณาจักรนภาจันทร์คึกคักมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่เรื่องราวเหล่านี้ เวลานี้กลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจั่วม่อมากนัก เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้มันก็ไม่สามารถวิ่งหนีได้ ยิ่งหนียิ่งส่อพิรุธ หากมีผู้ใดบังเอิญพบเข้า.... ...ความคิดนี้ทำให้มันสั่นสะท้าน ได้แต่หมกตัวฝึกทั้งสองเคล็ดวิชาอย่างเชื่องเชื่ออยู่ในลานน้อยลมตะวันตก เมื่อเทียบกับความลึกซึ้งคลุมเครือของเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดแล้ว วัชรสูตรน้อยรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วกว่ามาก จั่วม่อสามารถรู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างกายของตนแกร่งกร้าวกว่าเดิม แม้ว่ามองผิวเผินมันยังมีสารรูปที่ดูอ่อนแอและผอมแห้งก็ตาม
ครรภ์โอสถในบ่อน้ำพุปราณยังไม่มีความคืบหน้าอันใด คำสั่งห้ามของซือฟู่ก็ยังไม่ได้ถูกยกเลิก ดังนั้นจั่วม่อไม่สามารถไปยังห้องหลอมกลั่นในเรือนขิงหอมเพื่อหลอมกลั่นเม็ดยา
อย่างไรก็ตามสถานการณ์เช่นนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง มันสามารถมีเวลาสะสางและคัดแยกสิ่งที่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ทั้งหมดอย่างเหมาะสม ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งมอบม้วนหยกเกี่ยวกับอาคมหวงห้ามให้แก่มัน มันยังไม่มีเวลาแม้แต่จะชายตามอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ช่วงเวลานี้ก็นับว่าเหมาะสมที่จะศึกษาม้วนหยกนี้ อาคมหวงห้ามในหุบเขาลมตะวันตกต้องก่อตั้งขึ้นใหม่อีกครั้ง มิเช่นนั้นหากถ้ำศิลาของมันบังเอิญถูกค้นพบ สำหรับมันจะเป็นระเบิดอย่างใหญ่โต
เพื่อเรียนรู้อาคมหวงห้าม จำเป็นต้องร่ำเรียนวิชาค่ายกล* ค่ายกลเป็นสิ่งที่ซิวเจ่อทุกคนต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นหลอมสร้างยุทภัณฑ์ หลอมกลั่นโอสถ วาดยันต์ และสารพัดศาสตร์อื่นๆ ทั้งหมดล้วนมีค่ายกลเป็นพื้นฐาน เหล่าศิษย์สำนักใหญ่จะเริ่มร่ำเรียนวิชาค่ายกลตั้งแต่อยู่ในด่านเลี่ยนชี่ เพื่อเสริมสร้างรากฐานอันแข็งแรงให้กับวิถีแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกมัน แต่สำหรับสำนักเล็กๆ โดยทั่วไปยากที่จะทำเช่นนี้ แน่นอนว่าสำนักกระบี่สุญตาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
(*ค่ายกลในที่นี้เน้นหนักไปทางรูปแบบลวดลาย โครงสร้าง แผนผัง การจัดเรียง อะไรแบบนั้นมากกว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้หมายถึงค่ายกลศึกสำเร็จรูปอย่างค่ายกลของอึ้งย้ง หรือค่ายกลร้อยแปดอรหันต์ของเส้าหลินอะไรพวกนั้น)
หลังจากศึกษาทดลองอยู่สองสามวัน จั่วม่อก็ประสบความสำเร็จในการก่อตั้งอาคมหวงห้ามขึ้นมาอีกครั้ง
ทันทีที่สร้างอาคมหวงห้ามแล้วเสร็จ เหมือนดั่งรู้ใจ เห็นนกกระเรียนกระดาษสีชมพูตัวหนึ่งบินร่อนลงมาจากฟ้าไกล
“นายท่าน* ผู้อื่นเบื่อเหลือเกิน”
“เจ้าต้องหาอะไรทำบ้าง”
“แต่ผู้อื่นไม่รู้จะทำอะไรนี่นา แล้วทุกๆ วันนายท่านทำเรื่องอันใด?
“บำเพ็ญเพียร”
“บำเพ็ญเพียรทุกวี่วัน น่าเบื่อจะตายไป นอกจากบำเพ็ญเพียรเล่า ทุกวันนายท่านทำอะไรอีกบ้าง?”
นอกจากบำเพ็ญเพียร? จั่วม่อชะงักกึก นั่นสิ นอกจากบำเพ็ญเพียรแล้ว มันยังทำเรื่องอะไรอีก? ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเขียนลงไปว่า “หลอมกลั่นโอสถ”
“นายท่านน่าเบื่อเสียจริง”
จั่วม่อชักเคือง แทบไม่อาจสะกดกลั้นความขุ่นใจ มันเขียนลงไปประโยคเดียว “ใช่ น่าเบื่อมาก”
หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายไม่มีนกกระเรียนกระดาษบินมาอีก จั่วม่อค่อยระบายลมหายใจโล่งอก ดูเหมือนอีกฝ่ายหมดความกระตือรือร้นไปอย่างน่าพอใจ ด้วยคำตอบอันนิ่มนวลของมัน มันกลับไปยังห้องศิลา และเริ่มต้นการบำเพ็ญเพียรอันน่าเบื่อของมัน
(*ทีแรกผู้แปล แปลคำว่า เหยีย ว่าท่านปู่ ซึ่งพอดูจากบริบทต่อๆ มา น่าจะผิดแล้วละ เหยียคำนี้ควรแปลว่า นายท่านมากกว่าท่านปู่ ซึ่งจะเข้ากับบริบทออดอ้อนของสาวเจ้า ที่เดี๋ยวแทนตัวว่าผู้อื่น เดี๋ยวแทนตัวว่าบ่าว มากกว่า ดังนั้นขอเปลี่ยนจากท่านปู่ เป็นนายท่านตั้งแต่ตรงนี้)
ในห้องศิลา จั่วม่อถอยออกจากฌาน ลืมตาขึ้น ในช่วงหลังๆ เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดของมันคืบหน้าค่อนข้างช้า ดูเหมือนยังห่างไกลจากการทะลวงผ่านไปยังขั้นลมหายใจที่สาม
มันเข้าไปยังทะเลแห่งจิตสำนึก ตั้งใจจะไปดูสภาพของผูเยา เห็นผูเยายังคงนิ่งเป็นรูปศิลาเช่นเดิม จั่วม่ออับจนปัญญาอยู่บ้าง เรี่ยวแรงกำลังของมันก็มีอยู่เพียงเท่านี้ แม้อยากช่วยเหลือผูเยา แต่กลับไม่มีพลังอำนาจมากพอ
มันกำลังเตรียมที่จะออกไป จู่ๆ ก็ชะงักเท้าลงในทันที
จั่วม่อหันขวับ จ้องมองอย่างเหลือเชื่อไปยังป้ายหินสุสานที่ผูเยานั่งอยู่ ...มีตัวอักษรอยู่บนป้ายหินสุสาน!
มีถ้อยคำตัวอักษรอยู่บนป้ายหินสุสานจริงๆ มันแม้เคยเห็นแวบวาบมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นอย่างชัดตาเสียที อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนมาก! มันรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ ตรวจสอบถ้อยคำบนป้ายหินสุสาน แต่พอกวาดตามองเร็วๆ สักครู่ มันก็ตะลึงงัน
สิ่งที่เขียนไว้บนป้ายหินสุสานไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นวัชรสูตรน้อย! เมื่อฝึกปรือวัชรสูตรน้อยติดต่อกันหลายวัน จั่วม่อคุ้นเคยกับวิชานี้ดี เพียงอ่านไปไม่กี่คำเท่านั้น มันก็ทราบในทันทีว่านี่คือสิ่งใด
ไฉนวัชรสูตรน้อยอยู่บนป้ายหินสุสาน?
จั่วม่อรู้สึกแปลกพิกลอย่างยิ่ง ถ้ามีเคล็ดวิชาอันลึกลับซับซ้อนสลักไว้ที่นี่ มันจะไม่แปลกใจเลย วัชรสูตรน้อยไม่ใช่เคล็ดวิชาชั้นสูง ส่วนตัวจั่วม่อคาดเดาว่ามันเป็นเคล็ดวิชาระดับสาม เมื่อป้ายหินสุสานอันลี้ลับพิสดารกลับปรากฏวัชรสูตรน้อยขึ้นมา ช่างบันดาลให้ผู้คนงุนงงอย่างแท้จริง
จั่วม่อข่มความแปลกใจและความกระหายใคร่รู้เอาไว้ ค่อยๆ อ่านไล่ลงมาทีละตัวอักษร
มันค้นพบบางสิ่งบางอย่างอย่างรวดเร็ว วัชรสูตรน้อยฉบับนี้กับวัชรสูตรน้อยฉบับที่มันฝึกปรือ ดูเหมือนจะแตกต่างกันอยู่บ้าง บางแห่งมีเนื้อหาเพิ่มเติม บางแห่งมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
หรือว่านี่คือวัชรสูตรน้อยที่แท้จริง?
จั่วม่อไม่เข้าใจ วัชรสูตรน้อยหาใช่เคล็ดวิชาระดับสูงไม่ แม้ว่าจะปรับปรุงแก้ไข แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นเคล็ดวิชาระดับสูง
คิดถึงเรื่องนี้ จั่วม่ออดหัวร่อตัวเองไม่ได้ มันช่างละโมบเสียจริง ป้ายหินสุสานในสายตาจั่วม่อดำรงอยู่ในความลึกลับพิสดารมายาวนาน จนมันหลงคิดไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่าหากป้ายหินสุสานจะเกี่ยวโยงกับเคล็ดวิชาใดสักวิชา ย่อมต้องเป็นเคล็ดวิชาอันร้ายกาจสุดหยั่งถึง ดังนั้นเมื่อมันพบเห็นวัชรสูตรน้อยบนป้ายหินสุสาน จึงอดตื่นตกใจไม่ได้
ขบคิดถึงตรงนี้ จั่วม่อตัดสินใจบันทึกวัชรสูตรน้อยที่อยู่บนป้ายหินสุสานไว้
เมื่อเสร็จสิ้นการบันทึกเคล็ดวิชา ฉากที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็ทำให้มันตะลึงลานจนอ้าปากค้าง เห็นตัวอักษรบนป้ายหินสุสานจู่ๆ ก็หายวับไป เมฆหมอกดำที่ก่อนหน้านี้กระจัดกระจายไปเงียบๆ ก็กลับมาห่อหุ้มป้ายหินสุสานอีกครั้ง
นี่มัน... ...ป้ายหินสุสานนี้ใช่กำลังบอกมันว่าวัชรสูตรน้อยที่มันฝึกปรือนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่? จั่วม่อสะบัดศีรษะแรงๆ และโยนความคิดไร้สาระนี้ทิ้งไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผูเยา ต่อให้แปลกประหลาดมากแค่ไหนก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ออกจากทะเลแห่งจิตสำนึก จั่วม่อเหมือนคนลุ่มหลงงมงาย เริ่มศึกษาค้นคว้าวัชรสูตรน้อยที่แตกต่างกันสองฉบับ
วัชรสูตรน้อยฉบับของป้ายหินสุสานแตกต่างจากฉบับเดิมของมันอยู่ห้าตำแหน่ง เพียงแค่ห้าตำแหน่งเท่านั้น แต่ห้าตำแหน่งนี้ทำให้มันเสียเวลากลั่นกรองอย่างยาวนาน และได้ข้อสรุปอันชวนตะลึงไม่น้อย ความแตกต่างในห้าประโยคนี้ กลับทำให้วัชรสูตรน้อยทั้งสองฉบับเดินไปในสองแนวทางที่แตกต่างกัน
นอกเหนือจากประหลาดใจแล้ว จั่วม่อยังรู้สึกคาดหวัง หากไม่มีความแตกต่างสิ มันคงค่อนข้างแปลกใจ
แต่พอค้นคว้าลึกลงไป จั่วม่อกลับตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
เนื่องเพราะมันพบว่า วัชรสูตรน้อยฉบับป้ายหินสุสานกลับด้อยกว่าวัชรสูตรน้อยฉบับเดิมที่มันฝึกปรือ!
จั่วม่อไม่ยินยอมพร้อมใจต่อข้อสรุปนี้อยู่บ้าง
ผูเยาแม้เป็นวัตถุโบราณชิ้นหนึ่ง แต่สิ่งที่มันส่งมอบออกมา ดังเช่นเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด สามารถเห็นได้ว่าเป็นสิ่งของชั้นสูง ป้ายหินสุสานที่ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับผูเยา จะส่งมอบวัชรสูตรน้อยที่ด้อยกว่าฉบับปกติออกมาได้อย่างไร?
จั่วม่อไม่เชื่อ มันยังคงตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง
วัชรสูตรน้อยไม่มีเนื้อหาที่ซับซ้อน เคล็ดความหลักของเนื้อหาทั้งหมดคือฝึกปรือสังขาร วิธีการของวัชรสูตรน้อยที่จั่วม่อฝึกปรือไม่ยุ่งยากไม่ซับซ้อน ใช้พลังปราณในร่างกายเพื่อเสริมสร้างสังขาร แต่ในวัชสูตรน้อยฉบับป้ายหินสุสาน กลับใช้ปราณธรรมชาติที่ล่องลอยอยู่ในฟ้าดินเพื่อหล่อเลี้ยงสังขาร
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวัชรสูตรน้อยที่จั่วม่อฝึกปรือมีประสิทธิภาพมากกว่า แม้ว่าในห้องศิลาจะมีเส้นชีพจรปราณปฐพี แต่ปราณธรรมชาติในอากาศ ยังห่างไกลเกินกว่าที่จะเปรียบเทียบกับพลังปราณบริสุทธิ์ในร่างกายของจั่วม่อได้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่า ประสิทธิภาพของวิธีเสริมสร้างยังเหนือล้ำกว่าวิธีหล่อเลี้ยง และความแข็งแรงของสังขารที่สร้างขึ้นจากการเสริมสร้าง ก็ยังยอดเยี่ยมกว่าสังขารที่ถูกหล่อเลี้ยงขึ้นมา
นี่มันอะไรกัน?
จั่วม่อคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องชวนขบขัน ป้ายหินสุสานใช่หยอกล้อมันเล่นหรือไม่? ยิ่งคิดมันก็ยิ่งรู้สึกว่ายิ่งเป็นไปได้ มิเช่นนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร? มันเพิ่งจะเริ่มฝึกปรือวัชรสูตรน้อย จากนั้นป้ายหินสุสานก็สำแดงวัชรสูตรน้อย? ผูเยาใช่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่าที่มันคิดหรือไม่? และมาแอบล้อเล่นกับมันหรือไม่? หรือว่าผูเยาลงไปนอนอยู่ใต้หลุมศพแล้ว? ด้วยรสนิยมตลกร้ายของผูเยา ต่อให้กระทำพฤติกรรมไร้สาระ แปลกประหลาดและน่าขนลุกปานใด จั่วม่อก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
จั่วม่อโยนวัชรสูตรน้อยฉบับป้ายหินสุสานไปอีกทางหนึ่ง ของไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เสียเวลาเท่านั้น
แต่การเปลี่ยนแปลงของป้ายหินสุสานทำให้จั่วม่อสนอกสนใจไม่น้อย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆ วันมันจะเข้าไปยังทะเลแห่งจิตสำนึกหลายครั้งหลายหน เพื่อดูว่าป้ายหินสุสานมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ หรือไม่
แต่เป็นที่น่าเสียใจ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ป้ายหินสุสานไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกเลย
หลุมศพที่เงียบสงบ ผูเยาที่เงียบสงบ...
จั่วม่อผิดหวังอยู่บ้าง แต่ยังคงมุ่งมั่นฝึกปรือไม่เคยขาด
แต่ทุกครั้งที่มันฝึกปรือวัชรสูตรน้อย จั่วม่อมักเผลอคิดถึงห้าตำแหน่งที่แตกต่างกันโดยไม่รู้ตัว ห้าประโยคที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้ราวกับผีร้ายสิงร่าง ปรากฏอยู่ในความคิดจิตใจของจั่วม่อ หลายครั้งหลายครามันเกือบจะเผลอฝึกไปตามฉบับป้ายหิน แต่ยังสามารถยั้งตัวเองไว้ได้ทัน
เวลามีค่ามาก ไม่อาจจงใจใช้ทิ้งขว้างได้ จั่วม่อคิด
การฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดอย่างจริงจัง ในที่สุดก็เผยความหวังแก่จั่วม่อ มันแทบไม่สนใจเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่งในช่วงไม่กี่วันนี้ มองไปยังเปลวไฟที่แข็งแรงขึ้นเล็กน้อยในทะเลแห่งจิตสำนึก ค่อยรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง
ดูเหมือนมันคาดเดาไม่ผิด! มันเชื่อว่าตราบใดที่มันอดทนฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดต่อไป จะมีวันหนึ่งที่ผูเยาตื่นขึ้นมา!
ในช่วงไม่กี่วันนี้ เหล่าผู้อาวุโสไม่ได้อยู่ในสำนัก จั่วม่อได้รับเวลาพักผ่อนหย่อนใจที่หาได้ยาก แต่ละวันมันเอาแต่ฝึกวิชาอย่างหนัก อิสระและสะดวกสบายอย่างเต็มที่
ภายในไม่กี่วัน โอสถปราณในบ่อน้ำพุปราณจะเสร็จสมบูรณ์ ถึงตอนนี้จั่วม่อมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งว่าวิธีหลอมกลั่นด้วยน้ำเชื่องช้าอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น จั่วม่อได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนโหวกเหวกอยู่นอกหุบเขา “ศิษย์พี่จั่ว ศิษย์พี่จั่ว!”
เสียงตะโกนวิตกกังวลยิ่ง จั่วม่อรู้สึกแปลกหูอยู่บ้าง นั่นสมควรเป็นศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่ง
จั่วม่อร่างกระพริบวูบ จากนั้นมันปรากฏตัวที่ปากหุบเขา
ศิษย์ฝ่ายนอกผู้นั้นเหงื่อโทรมกาย หอบหายใจอย่างหนัก ดูกังวลจนเกือบคลั่ง พอเห็นจั่วม่อ ก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ศิษย์พี่! แย่แล้ว! มีคนมาก่อกวนที่หน้าสำนัก พวกมันทำร้ายศิษย์น้องหลายคนแล้ว!”