บทที่ 77 หลุมพราง
จั่วม่อเหม่อมองไปยังทะเลป้ายที่เรียงรายในตลาดเสรี
ผูเยาพลันผงาดขึ้นมา สีหน้าเย่อหยิ่งภาคภูมิ ความรันทดหดหู่ที่เกิดจากการพลาดหวังคราวก่อน ถูกกวาดหายวับในบัดดล “เห็นหรือไม่ เห็นหรือไม่ เป็นดังวาจาข้าใช่หรือไม่ ไข่มุกหยินมีค่ามาก!”
จั่วม่อค่อยๆ ดึงสติกลับมา ขณะที่กวาดตามองไปทั่วตลาด มันก็พบเห็นดรุณีน้อยที่เคยซื้อไข่มุกหยินจากมันคราวที่แล้ว แม่นางน้อยดูคล้ายวิตกกังวลอยู่บ้าง นางใช่ต้องการใช้ไข่มุกหยินอย่างเร่งด่วนหรือไม่? จั่วม่อคาดเดาอยู่ในใจ แม่นางน้อยผู้นี้อัธยาศัยใจคอดีงามน่ารัก ดังนั้นจั่วม่อประทับใจในตัวนางไม่เบา
ปรากฏว่าไข่มุกหยินดูท่าจะมีประโยชน์ใช้สอยจริงๆ หนก่อนเมื่อแม่นางน้อยมาพบ นางเพียงช่วยซื้อไข่มุกหยินหนึ่งเม็ดด้วยน้ำใจอันดีงาม ที่แท้ในเวลานั้นนางน่าจะยังไม่รู้จักไข่มุกหยิน จั่วม่อไตร่ตรองเรื่องราว
จั่วม่อไม่ใส่ใจผูเยา เดินไปถึงเบื้องหน้าดรุณีน้อย แล้วถามว่า “เจ้ารับซื้อไข่มุกหยินหรือ ให้ราคาเท่าใด?”
ในเวลานี้เอง ผูเยาทันใดนั้นคำรามเสียงหนัก “หนีเร็ว!”
จั่วม่อตะลึงงัน
“ใครจะคิดว่าในเมืองเล็กๆ เช่นตงฝูนี้ จะเป็นแดนพยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้นอย่างแท้จริง แม้แต่สิ่งของที่หายสาบสูญไปหลายร้อยหลายพันปีดังเช่นไข่มุกหยินยังปรากฏขึ้น” สุ้มเสียงแหลมสูงแฝงแววสะทกสะท้อนอยู่บ้าง ผู้กล่าววาจาย่อมเป็นนักพรตชุดเหลืองผู้นั้น
“ใช่แล้ว ตอนที่ทราบข่าวข้าเองยังประหลาดใจไม่น้อย” บุรุษชุดเงินตอบ ดวงตาทอประกายฉงน “สำนักภูตหยินล่มสลายไปหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ไฉนจู่ๆ มีผู้สืบทอดโผล่ออกมา?”
“เรื่องการสืบต่อมรดกของสำนักนั้นยากจะบอกได้” นักพรตชุดเหลืองจ้องมองบุรุษชุดเงินตาเขม็ง “ไฉนเจ้าไม่เรียกผู้อื่นมาด้วย?”
บุรุษชุดเงินตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ผู้อื่น? ไยต้องเรียกมา พวกมันไม่สามารถกระทำการใหญ่อันใด”
นักพรตชุดเหลืองพอฟังก็แย้มยิ้มอย่างเย่อหยิ่งถือดี “กล่าวได้ดี! นอกจากข้าและเจ้า ผู้อื่นล้วนพื้นเพธรรมดา พวกมันไม่อาจกระทำการใดจริงๆ มีแต่จะก่อกวนเรื่องราวให้ล้มเหลวมากกว่าจะช่วยให้สำเร็จ! ... เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าผู้ที่ขายไข่มุกหยินจะปรากฏตัวอย่างแน่นอน?”
“ย่อมไม่แน่ใจ” บุรุษชุดเงินส่ายศีรษะ
นักพรตชุดเหลืองสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขัดตา ดวงตาหรี่แคบลง “เจ้าคิดล้อเล่นกับข้า?”
บุรุษชุดเงินไม่สะทกสะท้าน “ข้าแบ่งปันข่าวคราวกับท่าน หากท่านเห็นว่าใช้การไม่ได้ สามารถจากไปทันที กับกลวิธีควบกลั่นไข่มุกหยิน ให้ท่านรอคอยสักเล็กน้อย ท่านคิดว่าไม่คุ้มค่าหรือ”
นักพรตชุดเหลืองจ้องหน้าคนชุดเงินเขม็ง ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวร่อออกมา “ถูกของเจ้า! สำนักภูตหยินเมื่อมีชื่อเลื่องลือในอดีต สิ่งที่พวกมันพึ่งพาไม่ใช่แค่วิธีควบกลั่นไข่มุกหยินเพียงอย่างเดียว ฮาฮา หากข้าสามารถพบเจอเจ้าผู้นั้น เคล็ดลับทั้งหมดของสำนักภูตหยินย่อมจะตกอยู่ในมือเรา”
“อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป” บุรุษชุดเงินเตือนเบาๆ “อาจมีหลายคนที่คิดเช่นเดียวกันกับเรา”
“ฮึ่ม ผู้ใดกล้าแย่งชิงกับข้า เท่ากับแส่หาที่ตาย!” นักพรตชุดเหลืองคำรามเสียงเย็นเยียบ
“ระมัดระวังไว้ดีที่สุด แม้แต่คนจากอาณาจักรคลื่นเรืองรองยังถูกจู่โจมสังหาร” บุรุษชุดเงินหัวคิ้วขมวดมุ่น มันสับสนงงงวยสุดขีดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ปากมันจะกล่าวอย่างสวยงาม แต่ที่จริงมันหวาดเกรงและคอยระมัดระวังกลุ่มคนจากอาณาจักรคลื่นเรืองรอง นอกจากนี้มันยังต้องการให้เยวียนลี่ค้นหาอสูรปิศาจ เยวียนลี่มีความสามารถในการสืบเสาะ เรื่องนี้มันทราบชัด แต่ไม่มีผู้ใดทันคาดคิดว่าเยวียนลี่จะถูกซุ่มจู่โจมสังหารในคราเดียว!
เรื่องนี้ทำลายแผนการที่มันตระเตรียมไว้ทั้งหมด
เป็นผู้ใดชิงลงมือเชือดเยวียนลี่ทิ้ง?
การซุ่มโจมตีครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป้าจู่โจมคือเยวียนลี่ ดึงเรื่องราวทั้งหมดเข้าสู่ความวุ่นวายในทันที ยามนี้เมื่อเยวียนลี่ถูกสังหาร สำนักต้นสังกัดของมันย่อมบันดาลโทสะ ผู้มีอำนาจของอาณาจักรคลื่นเรืองรองยิ่งไม่ยอมอดทนรับพฤติกรรมเช่นนี้ เกรงว่าอีกไม่นานยอดฝีมือระดับสูงจำนวนมากจะกระโจนเข้ามาร่วมวง และทำให้สถานการณ์ยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม
หากเป็นไปตามทิศทางนี้ พวกมันย่อมสูญเสียโอกาสลอบจับปลาตอนน้ำขุ่น
มันตอบสนองอย่างฉับพลันและปรับเปลี่ยนทิศทางทันทีที่เล็งเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ข่าวคราวที่ว่าอวิ๋นเสียเซียนจื่ออาศัยมุกหยินอสนีบาตช่วยให้หนีรอดจากการซุ่มโจมตี แพร่สะพัดไปทั่วตงฝู กระตุ้นความสนใจของหลายๆ คนในบัดดล รวมทั้งตัวมันด้วย
ในเวลานี้เอง บุรุษชุดเงินอุทานคำหนึ่ง ดวงตาจับจ้องไปยังบุรุษหน้าตาพื้นเพที่ยืนอยู่หน้าแผงลอย
“เป็นไร?” นักพรตชุดเหลืองตื่นตัวทันที “มีอันใดไม่ถูกต้อง?”
“ดูเหมือนมันจะมาแล้ว” บุรุษชุดเงินจ้องมองบุรุษหน้าตาพื้นเพผู้นั้นไม่คลาดสายตา
“คนผู้นั้นหรือ?” มองตามสายตาบุรุษชุดเงิน นักพรตชุดเหลืองก็พบเห็นจั่วม่อที่หน้าแผงลอยของเสี่ยวหวน “เจ้าเด็กผู้นี้มีพลังบำเพ็ญเพียรเพียงด่านจู้จี ไม่น่าเป็นไปได้”
บุรุษชุดเงินไม่ยอมละสายตา มันแจกแจงว่า “แม่นางน้อยผู้นี้เป็นสาวใช้ของอวิ๋นเสียเซียนจื่อ คราวที่แล้วเป็นนางเองที่ซื้อไข่มุกหยิน ในตลาดมีแผงลอยมากมายและไม่มีอันใดแตกต่างกัน แต่คนผู้นั้นไม่ไปหาผู้อื่น กลับตรงไปหานางผู้เดียว นี่ไม่ใช่มีพิรุธอย่างยิ่งหรอกหรือ”
“มีพิรุธจริงๆ” นักพรตชุดเหลืองพลันเข้าใจความนัย ดวงตาสาดประกายละโมบในบัดดล
ไม่ได้มีแค่พวกมันทั้งสองที่สังเกตเห็นจุดนี้
ทันทีที่จั่วม่อกล่าวจบ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังมัน “เจ้าต้องการขายไข่มุกหยินใช่หรือไม่? ไฉนไม่ขายให้แก่ข้าแทนเล่า เรื่องราคาสามารถสนทนากันได้”
ผูเยาพอกระตุ้นเตือน จั่วม่อก็สังเกตเห็นสายตามากมายรวมอยู่ที่ตัวมัน มันตื่นตัวทันทีและทราบว่าสถานการณ์ชักไม่เข้าทีเสียแล้ว แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะสามารถขายไข่มุกหยินทำกำไรงาม แต่ถ้าต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเรื่องนี้ มันย่อมไม่ยินดี
“ข้าไม่มีไข่มุกหยิน” จั่วม่อพอวิเคราะห์สถานการณ์แล้ว ก็แสร้งตีหน้าเซ่อ ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว “ข้าเห็นพวกท่านเฝ้าอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ก็เลยอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ไม่ทราบไข่มุกหยินเป็นสมบัติอันใด? มีค่ามากเท่าใด? ใช่มีตัวอย่างหรือไม่? ให้ข้าชมดูสักเล็กน้อยได้หรือไม่? เผื่อว่าข้าพบมัน จะได้ไม่พลาดโอกาสร่ำรวยแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ?” บุรุษหนุ่มแย้มยิ้มเย็นเยียบ “เช่นนั้นไฉนเจ้าไม่มาถามข้า แต่กลับตรงเข้าไปหานาง?”
เสี่ยวหวนอดใจไม่ไหวอีกต่อไป นางขมวดคิ้วมุ่น กล่าวอย่างขุ่นแค้นว่า “ผู้แซ่เซวีย เจ้าหมายความว่ากระไร? ไฉนมันจะมายังแผงลอยของท่านย่าผู้นี้ไม่ได้?” บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นศิษย์ของเหวินเถี่ยซ่านเหริน มันเรียกว่าเซวียอวิ๋น เสี่ยวหวนมักเห็นมันเป็นที่ขัดตาเสมอมา
“ไม่มีความหมายอื่นใด” เซวียอวิ๋นเยาะเย้ยอย่างเย็นชา “ข้าผู้นี้เพียงทำหน้าที่ที่ซือฟู่มอบหมายมา สิ่งของที่ดีเช่นไข่มุกหยิน ไม่สามารถปล่อยให้คนๆ เดียวฮุบกลืนไปทั้งหมดได้”
จั่วม่อกล่าวปนหัวร่อ “พวกท่านเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ข้าไม่มีไข่มุกหยินจริงๆ” บุรุษหนุ่มมีพลังบำเพ็ญเพียรด่านหนิงม่าย ไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกตนด่านจู้จีตัวน้อยๆ เช่นมันจะเป็นคู่มือได้ จั่วม่อไม่ได้โง่ มันเข้าใจดี หากในเวลานี้นำลูกปัดหยินออกมา นั่นคือการจบสิ้นอย่างแท้จริง อีกฝ่ายแน่นอนว่าไม่ได้ต้องการแค่ไข่มุกหยิน แต่ยังจะบังคับให้มันมอบเวทวิชาควบกลั่นไข่มุกหยินออกมา ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับจิงสือ แต่จะรักษาชีวิตรอดจากไปได้หรือไม่ ยังเป็นปัญหา
“ไม่มีไข่มุกหยิน?” เซวียอวิ๋นแค่นเสียง “นั่นจะได้รู้กันหลังจากข้าค้นตัวเจ้าแล้ว”
เสี่ยวหวนยืนถลึงตาอยู่เบื้องหน้าจั่วม่อ แค่นเสียงใส่เซวียอวิ๋นอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้ากล้า!” หากเซวียอวิ๋นไม่เข้ามาแทรก นางอาจจดจำจั่วม่อไม่ออก แต่พฤติกรรมของเซวียอวิ๋นทำให้นางเอะใจและจับตามองอย่างใกล้ชิด นางพบว่าคนผู้นี้แม้รูปโฉมจะแตกต่างจากคนหน้าเหลืองในตอนนั้น แต่ท่วงท่าอาการคล้ายเหมือนยิ่ง
เซวียอวิ๋นมองเสี่ยวหวนอย่างเหยียดหยาม “เจ้าเป็นแค่สาวใช้ผู้หนึ่ง อย่าสำคัญตนผิดนัก!”
กล่าวจบคำ มันไม่เหลือบแลเสี่ยวหวน และสืบเท้าตรงเข้าหาจั่วม่อ
จั่วม่อเห็นสถานการณ์ไม่อาจแก้ไขกลับกลาย และคิดว่าด้วยความเร็วอันอ่อนแอน่าเวทนาของมัน คิดหลบหนีจากไป เกรงว่าอาจจะเหนื่อยเปล่า วันนี้เคราะห์หามยามร้ายแท้ๆ! จั่วม่อคร่ำครวญในใจ จริงดังที่คาดไว้ พยายามทำกำไรจิงสือด้วยวิธีนี้ช่างเสี่ยงภัยนัก ต่อไปต้องระมัดระวังมากกว่านี้! มองไปยังเซวียอวิ๋นผู้มีท่าทีเชื่อมั่นอย่างสุดแสน ดวงตาของจั่วม่อมืดมนลง เจตนาสังหารพลุ่งขึ้นในใจ ผู้อื่นพลังบำเพ็ญเพียรเหนือล้ำกว่ามันมาก จั่วม่อไม่คิดว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ แม้ว่าจะใช้กลอุบายก็ตาม แต่พอเห็นความเชื่อมั่นบนใบหน้าบุรุษหนุ่ม มันก็ตัดสินใจว่าจะสร้างความประหลาดใจให้อีกฝ่ายสักเล็กน้อย
ดวงตาจั่วม่อจดจ้องเซวียอวิ๋นไม่คลาดคลา พลังปราณในร่างโคจรอย่างเกรี้ยวกราด มันเฝ้ารอให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ และรับรองว่าเซวียอวิ๋นจะได้รับการต้อนรับจากกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของจั่วม่อ... เพลิงธาราผลาญฟ้า!
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นสุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ “ฮ่าฮ่า ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าไฉนเหวินเถี่ยซ่านเหรินไม่เป็นที่นับถือ เพียงดูจากศิษย์ของมันก็เข้าใจได้”
สีหน้าเซวียอวิ๋นแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ดวงตามืดครึ้ม ชะงักเท้า ตวาดดังสนั่น “นั่นใคร? วาจาเจ้าช่างน่ากลัวจริงๆ! ไฉนไม่กล้าออกมาเล่า? เอาแต่ซ่อนหัวหดหางเช่นนี้ ยังกล้าดูหมิ่นผู้อื่นอีก?”
“อาศัยเด็กน้อยเช่นเจ้า มีคุณสมบัติใดให้เหยียเหยีย*ออกไป?”
(*เหยียเหยีย – ท่านปู่)
สุ้มเสียงนั้นเลือนราง เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย และไม่อาจทราบที่มาได้อย่างสิ้นเชิง เซวียอวิ๋นสุดท้ายก็หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาทอแววตื่นตระหนก มันพยายามฟังอย่างจดจ่อ แต่ยังคงไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อยว่าสุ้มเสียงมาจากที่ใด นั่นหมายความว่าพลังบำเพ็ญเพียรของอีกฝ่ายสูงส่งกว่ามันมาก
ชั่วแวบที่เซวียอวิ๋นตะลึงลาน ทันใดนั้น เงาร่างสายหนึ่งโถมเข้าหาจั่วม่อในชั่วพริบตา!
“เจ้ากล้า!” เสียงตวาดโกรธแค้นดังขึ้นรอบด้านอย่างพร้อมเพรียง
กระบี่เปล่งประกายวาบ ลำแสงเจิดจ้าหลายสายพุ่งออกมา กระบี่บินหลายเล่มทะลวงเข้าใส่เงาร่างนั้นเป็นจุดเดียว!
คนเหล่านี้พลังฝีมือสูงล้ำ ล้วนแล้วแต่น่าแตกตื่นสะท้านใจ แม้เป้าจู่โจมไม่ใช่ตัวมัน แต่ลำแสงปราณกระบี่ที่แฝงไว้ด้วยเจตจำนงกระบี่อันเฉียบคม ยังสะกิดใส่จั่วม่อจนผิวหนังเจ็บแปลบ ในใจมันทั้งพรั่นพรึง ทั้งตะลึงพรึงเพริด จนกระทั่งถึงยามนี้ มันค่อยทราบกระจ่าง ว่าไข่มุกหยินซึ่งมีสารรูปไม่น่าสนใจนั้นสูงค่าอย่างน่าอัศจรรย์เพียงใด!
เจ้าบ้าผูเยาที่แท้ครอบครองสิ่งของอันมีค่าถึงเพียงนี้! ในเสี้ยววินาทีวิกฤติ ความคิดเหลวไหลไร้สาระนี้ยังอุตส่าห์แวบขึ้นในใจจั่วม่อ
ฉับพลันนั้น เห็นลำแสงปราณกระบี่นับพันนับหมื่นสาย ถักประสานเป็นตาข่ายกระบี่ผืนหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำร้ายจั่วม่อแม้แต่ปลายนิ้ว
เป็นฝีมือของบุรุษที่โถมเข้าหาจั่วม่อเอง พลังฝีมือของมันก็ไม่ธรรมดาสามัญ กระบี่บินสีเขียวอ่อนวาบขึ้น ก่อตัวเป็นตาข่ายแสงเบื้องหน้ามัน ฝืนต้านทานกระบี่บินหลายเล่มที่จู่โจมเข้ามา ร่างของมันฉวยโอกาสหายวับไปจากตำแหน่งเดิม อาศัยมันเพียงลำพัง ย่อมไม่มีปัญญารับมือผู้คนทั้งกลุ่มได้
ขณะที่ทุกผู้คนกำลังกลุ้มรุมโจมตีบุรุษผู้นี้ เชือกสีแดงเข้มเส้นหนึ่งคืบคลานเข้าใกล้จั่วม่อโดยไร้เสียง
บุรุษชุดเงินเป็นคนแรกที่พบเห็น ตวาดเสียงเย็นเยียบ “คิดฉวยโอกาสหรือ ไม่ง่ายดายปานนั้นหรอก!” มันจี้ดรรชนี ลำแสงสีเงินพุ่งวาบ กระแทกใส่เชือกแดงอย่างแม่นยำ เชือกแดงก็หาใช่ยุทธภัณฑ์เวทธรรมดาไม่ พอถูกชนใส่ก็สะบัดตัวเป็นคลื่น สลายพลังแสงสีเงินทิ้งจนไม่เหลือร่องรอย
บุรุษชุดเงินไม่สิ้นเปลืองวาจาไร้สาระ กระบี่ตะขอเงินของมันเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเงินบางเฉียบ ประดุจงูสีเงินม้วนไต่ขึ้นต้นไม้ เลื้อยปราดพัวพันขึ้นไปตามเส้นเชือก
นักพรตชุดเหลืองกับเงาร่างที่โถมเข้าหาจั่วม่อประมือกันกลางอากาศ เงาร่างนั้นห่อหุ้มด้วยควัน ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นโฉมหน้ามันได้ชัดเจน รูปกายของมันก็แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว นักพรตชุดเหลืองเห็นได้ชัดว่าลงมืออย่างดุดันอำมหิต กระบี่บินสีเหลืองทองโฉบประกายประดุจสุริยันพาดผ่านนภา รัศมีแสงแผดจ้าบาดตา แต่ละท่า แต่ละกระบี่ยิ่งใหญ่ไพศาล ทรงพลังสุดฟ้าสุดดิน!
ท่ามกลางพายุพลังครอบฟ้าคลุมดิน ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถึงตัวจั่วม่อและเสี่ยวหวน เซวียอวิ๋นผู้น่าสังเวชถูกแสงกระบี่สับสังหารเป็นเนื้อบดไปตั้งแต่แรก
เสี่ยวหวนหน้าซีดเผือด เบิกตาตื่นตะลึงมองไปยังท้องฟ้า เห็นแสงปราณกระบี่และยุทธภัณฑ์เวทวูบวาบปะทะกันไม่ขาดสาย ภายใต้พลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดินเหล่านั้น นางแทบไม่อาจยืนหยัดทรงกายมั่น
ในเวลานี้ นางพลันนึกขึ้นได้ว่าบุรุษที่ด้านข้างนางมีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำกว่านางเสียอีก กระทั่งนางยังรู้สึกยากจะทนทาน แล้วมันจะฝืนต้านไหวหรือ? เสี่ยวหวนแน่ใจว่าบุคคลผู้นี้คือคนที่ขายไข่มุกหยินให้แก่นางในคราวนั้น พอนึกว่าเป็นนางเองที่ดึงมันเข้ามาในสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ นางอดรู้สึกผิดอย่างรุนแรงไม่ได้
เมื่อใบหน้าเผือดสีของนางหันไปมองมัน เห็นคนผู้นั้นก้มหน้านิ่ง สองมือซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
ดูเหมือนจะรู้สึกตัวถึงการจ้องมองของนาง อีกฝ่ายพลันเงยหน้าขึ้นและแย้มยิ้มให้นาง
รอยยิ้มนั้นเย็นเฉียบราวกับคมมีดอันแปลกพิสดาร เสี่ยวหวนสันหลังเย็นวาบ รู้สึกราวกับลมยะเยียบหาใดเปรียบปานจู่ๆ ก็แผ่ขึ้นมาจากปลายเท้า ชำแรกไปทั่วร่าง
ทันใดนั้นเอง มือข้างหนึ่งตะปบลงบนไหล่จั่วม่อโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า!