บทที่ 5 เข้ารับการประเมินความแข็งแกร่ง!!
สำหรับสาวน้อยผู้นี้นั้นนางชื่อว่า ชุ่ยชิงหยาน! และนางมาจากชนเผ่าแม่น้ำเว่ย! ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในสามพันชนเผ่า และเป็นชนเผ่าที่มีพื้นที่รกร้างกว้างใหญ่รวมตัวกันอาศัยอยู่ในแถบแม่บ้ำเว่ย ซึ่งเป็นเหตุให้ชนเผ่าแม่น้ำเว่ยนั้นมักถูกเรียกว่าตระกูล ชุ่ย ซึ่งหมายถึงแม่น้ำนั่นเอง
ซ่งหยู และชุ่ยชิงหยานได้รู้จักกันมานานแล้ว เมื่อซ่งอยู่กลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อปีที่แล้ว ในระหว่างการเดินทางข้ามถิ่นทุรกันดารจากหุบเขากลับมายังนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้า และเขาก็ได้พบกับนาง
พ่อแม่ของนางนั้น ได้รับตำแหน่งสูงภายในตระกูลชุ่ย และมีคนในตระกูลกว่าสิบคนได้พานางไปส่งที่ประตูนิกาย แต่ระหว่างทางได้พบเจอกับเหล่าสัตว์ร้าย แต่นางเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต ซ่งหยูบังเอิญไปเจอและช่วยเหลือนางเอาไว้ขณะที่นางกำลังจะกลายเป็นเหยื่อรายสุดท้าย
ดังนั้นรอยแผลเป็นบนแขนซ้ายของซ่งหยูนั้น เกิดจากการกัดของสัตว์ร้ายเมื่อเขาพยายามจะช่วยชุ่ยชิงหยานเอาไว้
ซ่งหยูจึงพานางกลับมาที่นิกายด้วย และด้วยเหตุนี้เองนางจึงเรียกซ่งหยูว่าพี่ซ่งหยู และสนิทสนมกับเขามาก
"ชุ่ยชิงหยานเจ้าถึงระดับปลดปล่อยจิตวิญญาณแล้ว" เมื่อได้ยินเสียงกล่าวนั้นซ่งหยู ตกใจมากและเขากล่าวด้วยความไม่เชื่อว่า "นี่เจ้าสำเร็จถึงขั้นนั้นแล้วรึ?" เมื่อนางได้ฝึกการบ่มเพาะมาในระยะเวลาหนึ่งปีแล้ว
ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของนางนั้นรวดเร็วมากนับจากนางได้กลายมาเป็นศิษย์ของนิกาย เพียงหนึ่งปีนางก็สามารถอยู่ในระดับการปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมาจากร่างกายได้ แล้วและนางก็สามารถเข้าร่วมการประเมินของห้องโถงไร้หมอก หากเปรียบเทียบกับศิษย์นอกอีกหลายร้อยคนแล้วนั้นก็นับว่านางก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว!
แต่ในทางตรงกันข้ามนั้นซ่งหยูได้ฝึกการบ่มเพาะกับเด็กน้อยซินหวงในการสร้างภาพจักรพรรดิสุย ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่งโมงในการปลดปล่อยจิตวิญญาณ ด้วยความเร็วการบ่มเพาะดังกล่าวอาจจะไม่มีใครเชื่อหากใครได้ล่วงรู้!
ที่จริงนั้นซ่งหยูได้รรับการฝึกการบ่มเพาะมาหลายปีแล้ว แม้เขาจะสำเร็จการปลดปล่อยจิตวิญญาณนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้นสำหรับศิษย์นอก มันจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องโถงไร้หมอกซึ่งจากสายตานั้นมันตรงกับชื่อมาก!
ด้านล่างเป็นสิ่งกีดขวางกั้นที่มองไม่เห็น และอยู่ใต้กำแพงที่สูงมองเห็นท้องฟ้าไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเทือกเขาอันงดงามและกว้างใหญ่นั้นเปรียบเสมือนท้องทะเลที่ไร้แม้คลื่น เป็นภาพในมุมสูงที่ปราศจากเมฆหมอกปกคลุมทำให้มองเห็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล
ส่วนด้านบนนั้นเมฆสีขาวราวกับหิมะรวมตัวกันเป็นระลอกคลื่นลอยไปตามลม ทั้งสองมองสำรวจพื้นที่รอบๆ ด้วยความตื่นเต้น พวกเขามองเห็นต้นไม้และภูเขาน้ำแข็งที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะครอบคลุมเป็นระยะทางนับพันไมล์ และมีแม่น้ำอีกหลายสายซึ่งต่างมีดอกบัวขนาดใหญ่ กำลังแข่งขันกันเบ่งบานยืนต้นเหนือผิวน้ำไปทั่วผืนน้ำช่างเป็นภาพที่งดงามและน่าตราตรึงยิ่งนัก.....
เหนือศีรษะของพวกเขามีดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดแสงจ้าไปทั่วผืนแผ่นดินราวกับว่าถูกแขวนไว้บนที่สูงและปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติ ขณะที่ดวงจันทร์ก็ส่องสว่างแสงจางๆ ราวกับว่ามันอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ และดวงดาวในเวลาเดียวกันราวกับว่าเป็นสวรรค์ชั้นฟ้าก็มิปาน!
มีผู้คนนับร้อยภายในห้องโถงไร้หมอก....
มีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้นบนเวที ชายหนุ่มอายุระหว่าง 15 ถึง 16 ปีกำลังต่อสู้กับปีศาจสีดำเข้ม
กรงเล็บด้านหน้าของปีศาจดูแปลกประหลาดคล้ายกับตั๊กแตนตำข้าว ขาของมันผลุบเข้าด้านใน และการเคลื่อนไหวของมันก็รวดเร็วยิ่งนัก ตอนนี้มันกลายร่างเป็นเงาดำรอบ ๆ ขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังเตรียมความพร้อมอยู่บนเวที แขนสองข้างคล้ายเคียวของมันกวัดแกว่งไปทั่วร่างของชายหนุ่ม!
ชายหนุ่มเดินวนไปทางซ้ายและขวาเพื่อปิดกั้นการโจมตี เลือดไหลออกมาจากร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง และเขาได้รับบาดเจ็บจากปีศาจไม่น้อย...
มีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่รอบๆ เวทีที่ปิดกั้นไว้ ซึ่งปีศาจตัวนั้นไม่สามารถหลบหนีได้ หากแต่ด้วยมันเป็นปีศาจที่กระหายเลือด ดังนั้นมันจึงจ้องด้วยแววตาที่หวังสังหาร!
ในอีกด้านหนึ่งของเวทีสูง มีผู้รอการประเมินอยู่ไม่กี่คนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีขาว นั่งเงียบๆ ขณะรอผลการประเมิน
"ปีศาจตั๊กแตนนี้เป็นปีศาจที่นิกายกระบี่เทพมังกรฟ้าสร้างขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการประเมินผลด้านความแข็งแกร่ง มันมีความรวดเร็วแข็งแกร่ง และแขนของมันเปรียบเสมือนเคียวที่กวัดแกว่งคู่ต่อสู้อย่างน่ากลัว
ด้านล่างของเวทีมีเหล่าศิษย์นอกแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่งดงาม ซึ่งบอกได้ชัดว่าพวกเขาเป็นลูกหลาน
จากเผ่าที่ยิ่งใหญ่ และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปีศาจ พวกเขากำลังพูดคุยกันว่า "จุดอ่อนของมันแท้จริงแล้วมันอ่อนแอมาก...เราควรปลดปล่อยจิตวิญญาณของเราออกจากร่างกาย และเข้าไปยังมหาสมุทรแห่งจิตจินตนาการณ์ว่าเราเป็นมัน แล้วเมื่อเห็นประตูดาบแล้ว เราก็จงหยิบดาบมาเล่มหนึ่ง
เราก็จะสามารถฆ่าวิญญาณได้ เพียงเท่านี้ชัยชนะจะเป็นของเราแล้ว! "
"มันง่ายที่เจ้าพูด! แต่มันยากที่จะทำได้"
ศิษย์อีกคนหนึ่งส่ายหัว " อัตราการโจมตีของปีศาจตั๊กแตนนั้น รวดเร็วมากพลังของมันก็แข็งแกร่งยิ่งนัก
หากเราต้องต่อสูกับมันข้าเกรงว่าเราจะหามีชีวิตรอดไม่! หากแต่ถ้าเราปลดปล่อยวิญญาณออกจากร่าง
และถูกตัดด้วยแขนที่คมกริบของมันเราก็จะตายทันที ก่อนหน้านี้เมื่อศิษย์คนหนึ่งได้พลาดพลั้งถูกปีศาจฆ่าตอนปลดปล่อยวิญญาณออกจากร่าง จิตวิญญาณของเขาก็ถูกทำลาย และกระจัดกระจายไปเป็นชิ้น ๆ เมื่อถึงจุดนั้น แม้แต่ผู้ประเมินก็ไม่มีเวลาพอที่จะช่วยเขาได้! ! เราควรถือโอกาสรีบเข้าสู่มหาสมุทรแห่งจิตอย่างรวดเร็ว แล้วจึงรีบฆ่ามัน!"
"ไม่ผิด! ปีศาจตัวนั้นมีเความเร็วดั่งลมกรด และมีพลังเหนือกว่าคนธรรมดา เราไม่สามารถใช้กำลังในการสังหารกับมัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเอาชนะมันด้วยปัญญาเท่านั้น!"
วัตถุประสงค์ของการประเมินภายในห้องโถงไร้หมอกนั้น คือการทดสอบการปลดปล่อยจิตวิญญาณ และการต่อสู้ของผู้เข้ารับการประเมิน ทั้งสององค์ประกอบเหล่านี้จึงจำเป็นอย่างเท่าเทียมกัน!
ซ่งหยูขมวดคิ้วและทำหน้างงงวย"แท้จริงนั้นปีศาจตั๊กแตนไม่ได้มีความเร็วมากนัก ส่วนความแข็งแกร่งหากเทียบกับเขาแล้วมันช่างห่างไกลยิ่งนัก แล้วเหตุใดพวกเขาเหล่านั้นจึงกล่าวว่าไม่สามารถที่จะเอาชนะมันได้?!"
ในสายตาของเขาความเร็วของปีศาจนั้นไม่ได้มีมากนัก ส่วนความแข็งแกร่งของแขนที่เสมือนเคียวของมันนั้นก็มิได้มากมายนัก เขาสามารถจับภาพการเคลื่อนไหวของมันได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกเขาตอนนี้นั้นมันกระตือรือร้นในการต่อสู้บนเวทียิ่งนัก
เขาไม่รู้เลยว่า ณ ตอนนี้จิตใจของเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมมากหลายเท่า และความเร็วที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ สามารถนี้เรียกว่า ข้อดีของจิตที่ทรงพลัง!
ชุ่ยชิงหยานนางหยิบเอาเสาเล็กๆ จากด้านหลังของนาง ดวงตากลมโตของนางประกายระยิบระยับขณะที่นางกล่าวด้วยเสียงเบาๆ ว่า"มีพวกผู้ใหญ่ในตระกูลชุ่ย! ที่อยู่ในนิกาย พวกเขาให้เสาสัญลักษณ์นี้แก่ข้า มันจะทำให้สำเร็จการบ่มเพาะได้เร็วขึ้น การประเมินแบบนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมากข้าให้ท่านนำไปใช้ก่อนแล้วนำกลับมาให้ข้า มันจะทำให้เราทั้งสองผ่านการประเมินครั้งนี้"
ซ่งหยูหันไปมองเมื่อนางกล่าวจบ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองดูปีศาจบนเวทีจากนั้นก็ส่ายหน้า และพูดว่า "ไม่เป็นไรข้าต้องการจะลองด้วยตัวเอง!"
บนเวทีชายหนุ่มมีบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่างกาย แต่เขากัดฟันและอดทนความเจ็บปวด
ทันใดนั้นผู้ประเมินคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อสีขาวยกนิ้วขึ้น และปีศาจนั้นก็ระเบิดขึ้น ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยของผู้ประเมิน และกล่าวกับเขาว่า "เจ้าไม่มีความสามารถเพียงพอลงไปได้ คนต่อไป จุนฉาน ตระกูลจุน
เผ่าเฉาเฟย"
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนเวทีเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมาจากตระกูลใหญ่ ขณะที่เขาวางเสาสัญลักษณ์บนพื้นทันทีที่เขามาถึงเวที รอยแกะสลักบนเสาก็ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นและปล่อยพลังงานออกมา
ประตูดาบที่อยู่บนเวทีเปิดกว้างขึ้น และมีเงาดำวิ่งออกมาจากภายในประตูมันกระโดดตรงไปที่จุนเฉาเฟย
แขนของมันเสมือนเคียว และภายในพริบตามันใช้เคียวที่แขนของมันกระโจนไปที่เป้าหมายคือศีษะของชายหนุ่มที่ไม่ทันแม้แต่จะตั้งตัว และเขาก็ไม่มีเวลาที่จะตอบสนองใด ๆ !
ทันใดนั้นความเร็วของปีศาจได้ลดลงอย่างช้าๆไปกว่าครึ่ง ถึงแม้จะยังเร็วอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่การเคลื่อนไหวของมันไม่สามารถจับภาพได้เช่นครั้งก่อน
เสาสัญลักษณ์นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ซ่งหยูประหลาดใจ ตาของเขาส่องสว่างขึ้น และเขาก็อยากรู้ที่มาของเสาสัญษณ์แห่งจิตวิญญาณนี้ ซึ่งพวกเขาสามารถใช้จิตวิญญาณในการสร้างเสาสัญลักษณ์นั้นได้อย่างไร?
ความเร็วของปีศาจนั้นเริ่มลดลง การต่อสู้เกิดขึ้นอีกไม่นาน ก่อนที่จุนเฉาเฟยจะรีบใช้ความเร็วหาโอกาสในการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขาให้ออกจากร่าง เข้าไปในมหาสมุทรแห่งจิต เพื่อสร้างภาพหาจุดอ่อน
ของมัน และเจาะมันเข้าไปที่หัวของปีศาจด้วยดาบ และเขาก็ได้ชัยชนะในที่สุด! และเขาก็ผ่านการประเมิน!
หลังจากผ่านไปนั้นเหล่าชายหนุ่ม และหญิงสาวปีนขึ้นไปบนเวที ทีละคนและปีศาจออกมาจากประตูดาบนั้นอย่างต่อเนื่อง ในบรรดาคนหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่สามารถที่จะผ่านการะประเมินได้แม้แต่คนเดียวซ้ำทั้งมือและเท้าของเขายังถูกตัดขาดด้วยคมเคียวของมัน เขาต้องได้รับการช่วยโดยผู้ประเมินเพื่อรักษาชีวิตที่เหลือไว้ และก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถเอาชนะปีศาจได้
มีเพียงสองวัยรุ่นที่สามารถเอาชนะปีศาจ และผ่านการประเมินได้ พวกเขาใช้ความช่วยเหลือของเสาสัญลักษณ์ แต่ไม่มีศิษย์นอกคนใดที่มาจากครอบครัวที่ยากจนสามารถผ่านการทดสอบนั้นไปได้
ไม่นานนักก็มาถึงคราวของซ่งหยู ชุ่ยชิงหยานรู้สึกกังวลนางจึงหยิบเอาเสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณจากหลังของนาง และกล่าวเสียงต่ำว่า"พี่ซ่งหยู! เชื่อข้าเถอะท่านควรใช้มัน...."
ตาของซ่งหยูนั้นสว่างขึ้นทันที เขาส่ายหัวและกล่าวว่า"ไม่ต้อง!"
การต่อสู้บนเวทีสิ้นสุดลง หนึ่งในผู้ประเมินมองไปที่รายชื่อของซ่งหยูด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า" ชนเผ่าซ่งชาน ตระกูลซ่ง นามซ่งหยู!"
"ศิษย์อยู่นี่แล้วขอรับ!"
เขาวิ่งขึ้นไปบนเวทีและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาจ้องที่ประตูดาบ
ด้านล่างของเวทีเหล่าศิษย์นอกต่างพากันซุบซิบ จดจ้องเขาด้วยสายตาเดียวกัน เด็กหนุ่มผู้ที่ร่างกายผอมแห้ง ส่วนเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นก็ปะชุน และยังถือตะกร้าสมุนไพรไว้ที่หลังอีก รูปลักษณ์ภายนอกเขานั้นไม่ได้มีลักษณะเหมือนผู้ที่เข้าร่วมการประเมินแม้แต่น้อย แต่เหมือนศิษย์ที่มาเพื่อเก็บสมุนไพรเสียมากกว่า
ด้านล่างของเวทีนั้นเหล่าฝูงชนต่างพากันหัวเราะขบขันอย่างเงียบๆ ว่า "ชนเผ่าชั้นต่ำเช่นนี้จะทำขายหน้าจนต้องตกต่ำยิ่งกว่านี้หรือ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!
ก่อนที่ศิษย์นอกคนหนึ่งจะพูดจบ ประตูดาบถูกเปิดขึ้นโดยหนึ่งในผู้ประเมิน จากประตูเข้ามามีเสียงคำรามของปีศาจที่สั่นไหว และมีเงาดำที่ยิงออกมาคล้ายหอกพุ่งเข้าหาซ่งหยู ทั้งสองแขนที่คล้ายเคียวกวัดแกว่งไปมากระโจนขึ้นกลางอากาศ
คมมีดทั้งสองข้างของมันพุ่งตรงไปทางซ่งหยู!
"สัญญลักษณ์แห่งมังกร!"
ซ่งหยูตะโกนดังเหมือนเสียงคำราม ขณะนี้เหล่าฝูงชนที่อยู่ในบริเวณห้องโถงไร้หมอกนั้น บางคนสามารถที่ไขภาพที่สร้างโดยบุคคลอื่นได้ พวกเขาเหล่านั้นดูเหมือนจะเห็นมังกรที่ดุร้ายเลื้อยคดเคี้ยวตามร่างกายของ
ซ่งหยู!
ทันใดนั้น!
ใบมีดทั้งสองข้างของปีศาจนั้นถูกตัดลง ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงของวัตถุที่แตก และฉีกขาด เลือดสาดกระจายไปทั่วบริเวณ ภาพเงาดำพุ่งผ่านเวที และชนกำแพงที่มองไม่เห็นของเวทีด้วยเสียงสนั่นหวั่นไหว
จากนั้นก็ตกลงไปที่พื้น ....
จากนั้นฝูงชนที่อยู่เบื้องล่างเวทีก็เงียบไป! บนเวทีสูงนั้นมีเพียงเขาที่ยืนอยู่ตามลำพังเท่านั้น...
ผู้ตรวจสอบต่างยกศรีษะขึ้นทีละคน และมองไปที่เวที ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เมื่อเห็นร่างของปีศาจนอนไร้ซึ่งชีวิต ซี่โครงบนหน้าอกของมันแหลกเป็นชิ้นๆ ด้วยกำปั้น และกระดูกที่หักได้เจาะทะลุหัวใจของมันอย่างน่าอนาถ
"โดยไม่ต้องใช้จิตวิญญาณ เขาสังหารปีศาจด้วยกำปั้นของเขาเพียงอย่างเดียว ... "
ผู้ประเมินจ้องมองอย่างเฉื่อยชาและพึมพำว่า "พวกท่านคิดว่าน่าผ่านการประเมินหรือไม่?"
ผู้ตรวจสอบรายอื่นๆ ต่างมองตากันปริบๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกับสถานการณ์เช่นนี้!
การสังหารปีศาจที่แข็งแกร่งและรวดเร็ว กำปั้นที่เปลือยเปล่าจนเป็นชิ้นๆ ขนาดนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่...
หากเทียบกับศิษย์นอกนั้นป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย!
แต่ตอนนี้ปีศาจตัวนี้ถูกสังหารด้วยกำปั้นที่เปลือยเปล่าของซ่งหยู ซึ่งมันทำให้เหล่าผู้ประเมินนั้นรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความผิด เมื่อศิษย์คนใดได้ฝึกวิชานอกเหนือจากที่นิกายได้บัญญัติไว้นั้นจะต้องทำอย่างไร นอกจากถูกขับออกจากนิกาย อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงคิดว่าต้องมีเงื่อนงำกับวิธีการสังหารแบบนี้ แล้วพวกเขาจะประเมินเขาอย่างไรกัน?
...................................................................................................