บทที่ 4 สัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์
"เม็ดยาจิตวิญญาณเช่นนั้นหรือ? สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ในความยากจนเช่นข้าไม่อดตายก็ถือว่าดีมากแล้ว
ข้าจะมีปัญญาไปหาซื้อยาที่มีราคาแพงอย่างเม็ดยาจิตวิญญาณได้อย่างไรกัน? ซ่งหยูกล่าวเมื่อคิดถึงความ-ขัดสนของตนเอง....
ซ่งหยูคิดเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว....เขายกโคมไฟขึ้นมา และเตรียมพร้อมที่จะกลับไปที่นิกายกระบี่เทพมังกรฟ้า ท่ามกล่างสายตาที่จ้องมองของเจ้าเด็กน้อยซินหวงด้วยความฉงน เขาก็หยุด และหันหลังกลับ ซ่งหยูหยิบจอบจากตะกร้าสมุนไพร จากนั้นเขาก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามขุดหลุม และเขาสวดไว้อาลัยแก่โครงกระดูกประหลาดนั่นก่อนที่จะฝังมันลงไป และท้ายสุดก็กลบดินลงหลุมฝังศพจนเสร็จ และอธิษฐานอีกสักครู่ก่อนออกเดินทาง
เด็กซินหวงรู้สึกประทับใจต่อการยกย่องของซ่งหยูที่มีต่อหลุมศพอย่างเงียบๆ รอจนซ่งหยูจนเสร็จภารกิจ
ต่อมา.....ซ่งหยูแขวนโคมไฟไว้ที่หน้าอกของเขา และปีนขึ้นหน้าผาตามโขดหิน ในขณะที่เด็กน้อยซินหวงไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย และกล่าวว่า
"นี่เจ้า! ในฐานะที่เจ้าเป็นมีเชื่อสายเผ่าสวรรค์....ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าหาบินได้ไม่? แต่กลับต้องใช้เท้าเดินมันช่างหน้าอับอายหากเทียบกับเผ่าสวรรค์! เหล่าสมาชิกสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าสวรรค์ตามธรรมชาตินั้นพวกเขาสามารถบินได้โดยการควบคุมด้วยหาง"
ซ่งหยูกล่าวตอบในขณะที่เขาปีนขึ้นไปบนหน้าผา" ก็ข้าเป็นเพียงมนุษย์และก็หาได้มีหางไม่ แน่นอนข้าไม่สามารถบินได้!"
เด็กน้อยซินหวงกระโดดออกจากโคมไฟ และไต่ไปบนเสื้อผ้าของเขา ขณะที่เขาแตะไปที่บั้นท้ายของซ่งหยูและกล่าวว่า " เจ้าก็มีหางนี่! แต่มันยังไม่งอกออกมาเต็มที่ ข้าเคยเห็นเหล่าจักรพรรดิสวรรค์ก่อนหน้านี้ทุกคนก็มีหาง แล้วเหตุใดหางเจ้าจึงไม่งอก? หากเจ้าหาเชื่อข้าไม่.....เจ้าก็ลองสัมผัสที่บั้นท้ายเจ้าดูเพื่อตรวจสอบว่ามีสัญลักษณ์ใด ๆ หรือไม่ !"
ซ่งหยูฟังคำกล่าวของเด็กน้อยซินหวง และลองสัมผัสที่บั้นท้ายของตัวเอง เขารู้สึกตกใจ! เขามีหางจริงหรือ?
"แสดงว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ของข้านั้นเป็นลูกหลานของเผ่าสวรรค์เช่นนั้นหรือ?หาเป็นไปได้ไม่ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ของข้าจะอ่อนแอที่สุดในหมู่เผ่าพันธุ์ทั้งหมดบรรดาหมื่นเผ่าพันธุ์ ข้าจเป็นลูกหลานของเผ่าพันธุ์ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่เผ่าพันธุ์สวรรค์ต่างหาก"ซ่งหยูกล่าวเสียงแข็ง
เขาเก็บความคิดของเขาไว้ และปีนหน้าผาด้วยความช่วยเหลือของเด็กน้อยซินหวง ซ่งหยูปีนขึ้นไปบนหน้าผา และเมื่อเขามองไปรอบๆ เขาเห็นว่าหมอกควันสีดำปกคลุมทั่วบริเวณด้านล่าง
"ซินหวงเจ้ามองเห็นหมอกควันสีดำด้านล่างหรือไม่?"
"เหล่าสมาชิกของเผ่าสวรรค์นั้นจะมีความสามารถในการใช้ดวงตาที่สามของตัวเองได้ เพียงเจ้าสัมผัสไปที่ระหว่างคิ้วของเจ้า จะมีดวงตาที่สามที่นั่น คือตำแหน่งของดวงตาสวรรค์! "
ซ่งหยูสัมผัสจุดระหว่างคิ้วของเขา ความสงสัยเกิดขึ้นในใจของเขาอย่างเงียบๆ ว่า"จากภาพของจักรพรรดิสุย ก็มีตาที่สามแล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์ของข้าจะมีตาที่สามได้หรือไม่?
จากโคมไฟที่ค่อยๆ ส่องแสงที่สว่างขึ้นและไกลออกไป มันสามารถทะลุผ่านหมอกควันดำ แม้ว่าหมอกควันนั้นมันจะหนาแน่นมาก
ซ่งหยูเดินไปตามแสงและมองไปรอบ ๆ ตัวเขา จากนั้น!.....เขาก็ต้องตกใจสุดชีวิต
เมื่อมีเท้าขนาดมหึมาเดินเข้าไปในหุบเขาลึก และเท้าอันน่าสะพรึงนี้มีเพียงโครงกระดูกสีขาวที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 2000 ตารางเมตร!
เขาเงยศีรษะขึ้น และเห็นโครงกระดูกขนาดมหึมาที่ยืนตระหง่านอยู่ในหมอกควันสีดำ ร่างกายของเขาสวมชุดเกราะที่เต็มไปด้วยสนิมที่ถูกกัดกร่อนด้วยระยะเวลาหลายพันปี...
โครงกระดูกสีขาวเต็มไปด้วยภาพวาดอันงดงาม มีรูปแบบคล้ายสัญลักษณ์ซึ่งครอบคลุมกระดูกแต่ละซี่..
โครงกระดูกเริ่มขยับไปด้านหน้า กระดูกเท้าสีขาวของมันก็ค่อยๆ ลากไปอย่างช้าๆ ส่วนด้านหลังของมันก็สั่นไปมา ซ่งหยูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโครงกระดูกยักษ์นี้?
ทันใดนั้น! ก็มีนกประหลาดขนาดยักษ์ร่อนข้ามาอย่างเงียบ ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าซ่งหยูมันกระพือปีกกลางอากาศไปตามลม และสิ่งที่ได้บังเกิดต่อหน้าเขาก็คือ โครงกระดูกขาขนาดใหญ่หลายขาก็ตกลงมาจากฟากฟ้าและอย่างเงียบๆ ภายในหมอกควันนั้น โครงกระดูกขาสีขาวของพวกมันนั้นใหญ่กว่าซ่งหยูมากมายนัก...
ต่อมาโครงกระดูกยักษ์ที่นับไม่ถ้วนก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากพื้นดิน และเข้ารวมกับโครงกระดูกอันมหึมา แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ พื้นดินกลับไร้ร่องรอยของวัตถุแม้แต่น้อย!
บรรดาโครงกระดูกเหล่านั้นมีสัญลักษณ์ที่ชัดเจน และแสดงให้เห็นว่าไม่มีร่องรอยของการซีดจางแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านมาหลายศตวรรษ โครงกระดูกเหล่านั้นไร้ซึ่งร่างกาย พวกมันเดินผ่านภูเขาราวกับว่าไม่มีภูเขาอยู่ที่นั่น เดินข้ามแม่น้ำราวกับว่าเป็นแค่ผืนดิน และพวกมันเดิมตามธงที่ลอยตัวเหนือพื้นดิน แล้วพวกมันก็จะสูบกินเลือดเนื้อของสัตว์เล่านั้นเมื่อพบสิ่งมีชีวิต
จากนั้นไม่นานโครงกระดูกขนาดยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เนื้อเน่าของสัตว์ที่พวกมันสูบกินเข้ามไปนั้นแขวนอยู่บนโครงกระดูก และมีไฟที่กำลังเผาไหม้อยู่ภายในกะโหลกศีรษะของพวกมัน ขณะนั้นเจ้าโครงกระดูกมหึมาก็ขึ้นคร่อมร่างสัตว์ที่หน้าตาแปลกประหลาดมีปีกคล้ายนก และสูบกินมันอย่างน่าสยดสยอง
ธงที่ค่อยๆ ลอยไกลออกไปกลางอากาศ โครงกระดูกขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับธงประหลาด แต่ดวงตาของซ่งหยูนั้นไม่สามารถมองทะลุผ่านต่อไปได้ เขามองเห็นเพียงไฟวิญญาณที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ขณะนั้น
บริเวณโดยรอบของหุบเขาในนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้น มีความเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์และหนาทึบไปด้วย พันธุ์ไม้นานาชนิดที่ปกคลุมไปทั่วหุบเขา ซึ่งมันกลายเป็นดินแดนแห่งปีศาจและเหล่าสัตว์อสูรก็ว่าได้!
"นั่นคือเหล่าวิญญาณปีศาจ! เมื่อเทพเจ้าแห่งปีศาจสิ้นชีพ ด้วยความแค้นหลังจากที่พวกมันสิ้นชีพลงก็จะกลายเป็นวิญญาณของปีศาจ! " เด็กน้อยซินหวงกระซิบจากโคมไฟ
เด็กน้อยซินหวงกล่าวอย่างเงียบๆ ว่า "ด้วยความเคียดแค้นอันแรงกล้าเช่นนี้ จะทำให้เกิดภัยพิบัติที่ร้ายแรงเกิดขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน! หากมีเหตุทำให้พวกมันไม่พอใจ นอกจากนี้ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังพยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่าง และสิ่งที่พวกมันค้นหานั้นมันต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก..."
ซ่งหยูกล่าวถามด้วยความประหลาดใจว่า "พวกมันมาจากเผ่าสวรรค์เช่นนั้นหรือ?"
"มีทั้งเผ่าสวรรค์ และมีบางส่วนมาจากเผ่าปีศาจ แต่ส่วนมากพวกมันจะอยู่ในเผ่าที่มีอันดับที่ต่ำ มีเพียงเก้าเผ่าพันธุ์เท่านั้นที่สืบเชื้อสายเผ่าสรรค์ที่นับว่ามีเกียรติที่สุด และเจ้าก็มีสายเลือดของเผ่าสวรรค์ที่ผสมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่น่าเสียดายที่มันอยู่ระดับที่ต่ำยิ่งกว่าวิญญาณปีศาจเสียอีก ที่จริงแล้วเจ้าแทบไม่มีคุณสมบัติใดเลยที่เหมาะสมในการสืบทอดเลยด้วยซ้ำ" เด็กน้อยซินหวงกล่าวย้ำ
ซ่งหยูกำลังเดินทางไปที่นิกายกระบี่เทพมังกรฟ้า.....
---------------------------------------------------------------------
เมื่อเขาเดินทางออกจากหุบเขาจูหยุน วิญญาณของปีศาจภายในหมอกควันดำก็ได้กระจายตัวไปแล้ว ภายในอีกครึ่งวันต่อมาหมอกควันก็หายจางไปจนหมดสิ้น
ทันทีที่หมอกควันสีดำได้จางหายไปนั้นเด็กน้อยซินหวงก็เงียบลงภายในโคมไฟ ซึ่งหลายวันที่ผ่านมาซินหวงเป็นคนที่ช่างพูด แต่ขณะนี้เขากลับนิ่งเงียบจนซ่งหยูเองก็รู้สึกอึดอัด
ซ่งหยูยกฝาครอบโคมไฟขึ้นและมองเข้าไปด้านใน และพบว่าเด็กน้อนซินหวงได้หายตัวไป เหลือเพียงเปลวไฟไปภายในโคมไฟเท่านั้น
"ซินหวงท่านยังอยู่ที่นี่หรือไม่?"ซ่งหยูส่ายโคมไฟไปมา
"อย่าทำให้ข้ารำคาญ!!" เปลวไฟที่สั่นสะเทือน และหัวเล็กๆ ของซินหวง ก็ปรากฏขึ้นเขากล่าวพร้อมกับเสียงที่แข็งกร้าว
จากนั้นเขาก็กล่าวว่า "ข้าเคยใช้พลังต่อต้านไอมารสลายวิญญาณเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา! ข้าใช้พลังมากเกินไปตอนนี้ข้าต้องการพัก...... ข้าต้องการผู้สืบทอดจิตวิญญาณแห่งอัคคี ซึ่งมันอาศัยอยู่ในห้วงวิญญาณของจักรพรรดิสุย ก่อนที่วิญญาณข้าจะสลายไป"
และแล้วเด็กน้อยซินหวงก็หลับลงอีกครั้ง....ซ่งหยูยืนคิดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ และใส่โคมไฟในตะกร้าสมุนไพรของเขาแล้วคลุมด้วยสมุนไพรก่อนที่จะเดินทางกลับเข้าไปในนิกาย....
ในหมู่ศิษนอกของนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้น สำหรับผู้ที่สามารถปลูกจิตวิญญาณได้สำเร็จจนสามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณออกจากร่างกายได้นั้นจะถูกยกสถานะให้สูงขึ้น และได้รับเม็ดยาสมุนไพรยู่หลิงสิบเม็ดทุกเดือน และจะได้รับการฝึกวิชาที่สูงขึ้น....ซ่งหยูจำเป็นจะต้องไปที่ห้องโถงไร้หมอก (ห้องโถงสีฟ้าที่เคยกล่าวถึง) ของนิกาย เพื่อเข้ารอการประเมินเพื่อยกระดับสถานะของเขา
ซ่งหยูเดินตรงไปยังห้องโถงไร้หมอก การประเมินร่างกายถูกจัดขึ้นเพียงครั้งเดียวทุกเดือน ซึ่งถ้าหากเขาพลาดเท่ากับว่าเขาจะต้องรอไปอีกหนึ่งเดือน
มีเหล่าศิษนอกอีกจำนวนกว่าห้าหมื่นคน แม้การหายตัวไปถึงสามวันของซ่งหยูนั้นจะไม่ได้อยู่ในความสนใจ
ของนิกายเลย หากแม้เขาจะตายไปก็คงไม่มีใครได้ล่วงรู้ เพราะไม่มีใครที่ให้ความสำคัญกับชนเผ่าเล็กๆ ที่ยากจนเช่นชนเผ่าของเขานั่นเอง
"ข้าจะใช้การปลดปล่อยจิตวิญญาณ! จากการสร้างภาพประตูดาบ แทนที่จะเป็นการสร้างภาพจาก
จักรพรรดิสุย และพระราชวังเปลวอัคคี จะดีกว่าหรือไม่?
ซ่งหยูกังวลเล็กน้อยเพราะการสร้างภาพจากประตูดาบนั้นจะได้การยกย่องจากนิกายเป็นอย่างมาก แต่หากพวกเขาค้นพบว่าเทคนิคของเขาไม่ได้มาจากนิกายนั้น เขาอาจจะถูกไล่ออกจากนิกายก็เป็นได้ ซึ่งมันจะแย่กว่าเขาต้องสูญเสียชีวิตเสียอีก
เมื่อมาถึงห้องโถงไร้หมอกเขาเห็นเหล่าศิษนอกหลายร้อยคนมายืนรออยู่ที่นั่นเพื่อรอการประเมิน
ศิษย์นอกบางคนกำลังถือเสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์ที่แกะสลักด้วยลวดลายที่แปลกตา ด้วยเลือดของเหล่าสัตว์อสูร
เสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์ เป็นที่นับถือของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ ซึ่งเสาสัญลักษณ์นี้จะส่งผลมากต่อการบำรุงจิตวิญญาณและการบ่มเพาะเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาผู้ที่มาจากชนเผ่าชั้นสูงเท่านั้นถึงจะผู้ที่สามารถถือ เสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์ได้...
จากคำบอกเล่าว่าเสาสัญลักษณ์อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุดเท่านั้น ดังนั้นพวกสมาชิกของชนเผ่าเหล่านั้นจึงสามารถเข้าถึงได้โดยชนเผ่าของตนเอง และผู้ที่สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุด ในขณะที่จิตวิญญาณที่ได้รับการปลูกฝังนั้น สามารถแยกเป็นประเภทเรียกว่า"สัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์นั่นเอง"
จิตวิญญาณและเสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นหนา ตามตำนานที่ว่ามีชนเผ่าหนึ่งได้มีจิตวิญญาณของผู้ที่สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุด ได้กลายร่างเป็นเต่าดำ ทั้งเผ่าจึงได้รับเอาเต่าดำมาเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่า และบูชาเป็นเทวรูปเต่าดำ เพื่อช่วยเสริมสร้างในการบ่มเพาะให้เพิ่มมากขึ้น
สำหรับชนเผ่าที่ไม่มีผู้ที่สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุดนั้น พวกเขาเหล่านั้นจึงหามีเสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์ไม่ ดั่งเช่นชนเผ่าของซ่งหยูที่มาจากชนเผ่าที่เล็กที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงหามีไม่
ทันทีที่ซ่งหยูไปถึงห้องโถงไร้หมอก ด้วยความโกลาหลเกิดขึ้น และเสียงดังท่ามฝ่ากลางฝูงชนก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า "มีคนตายไปแล้ว!"
"คนตายในขณะการประเมินจิตวิญญาณ!"
ซ่งหยูรู้สึกใจสั่นไหวด้วยความตกใจ! เมื่อเห็นชายสองคนสวมชุดสีขาวยกศพของเยาวชนออกมาจากห้องโถง
ซึ่งเป็นศิษย์นอกที่เสียชีวิตระหว่างการประเมิน
ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ตึงเครียดเกิดขึ้นกับเหล่าสาวก การประเมินนั้นเป็นไปอย่างเข้มงวดมาก และผู้ที่เพิ่งสำเร็จการปลดปล่อยจิตวิญญาณนั้นเพียงอย่างเดียวมิอาจเพียงพอ ซึ่งจิตวิญญาณของผู้ที่ฝึกนั้นจะต้องมีความแข็งแกร่งพอ และมีสติตลอดเวลา มิเช่นนั้นจะส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสได้
ถ้าหากใครโชคร้ายก็อาจเป็นอันตรายถึงตายได้!
เหล่าสาวกที่มารอเพื่อเข้ารับการประเมินต่างกระวนกระวาย และรู่สึกกังวงเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับการประเมินของห้องโถงไร้หมอกแห่งนี้ว่าอาจจึงตายได้ และมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้หลายคนเกิดการลังเลและคิดที่จะถอยหลังกลับอีกไม่น้อย....
ซ่งหยูก้าวไปด้านหน้า คิดในใจว่า "ผู้ที่จะสำเร็จการบ่มเพาะได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่กล้าหาญทั้งกาย และจิตวิญญาณ ถ้าหากครั้งนี้ข้ายอมแพ้เสีย แล้วข้าจะสำเร็จมันได้อย่างไรกัน?
ด้านหน้าของห้องโถงมีชายชราผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลของห้องโถงทั้งหมดนั่งอยู่ที่ด้านหน้า ตาเขาบอดสนิทเขาถามซ่งหยูว่า "เจ้ามาจากชนเผ่าใดกัน?"
"ข้ามาจากตระกูลซ่ง! ชนเผ่าซ่งชาน!"ซ่งหยูตอบ
ชายชรายกศีรษะขึ้น และเหลือบไปที่ซ่งหยูและกล่าวว่า"เข้าไปข้างในแล้วคนต่อไป! เจ้ามาจากชนเผ่าไหน? "
"ข้าชื่อชุ่ยชิงหยาน! มาจากตระกูลชุ่ยถู! ชนเผ่าแม่น้ำเว่ย!"
ซ่งหยูเดินเข้าไปในห้องโถงไร้หมอกแล้วก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่ไพเราะมาจากด้านหลังว่า "พี่ซ่งหยู! ท่านมาจากตระกูลซ่งเช่นนั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? เหตุใดท่านจึงได้ผ่ายผอมจนผิดหูผิดตาเช่นนี้?
ซ่งหยูหันหลังกลับ... และเห็นเด็กสาวผู้หนึ่งที่ตามหลังเขา เด็กสาวผู้นี้อายุประมาณสิบสาม ถึง สิบสี่ ผิวของนางขาวดั่งหิมะ รูปโฉมงดงาม และสวมหมวกขนสัตว์สีขาวบนศีรษะ ดวงตาที่กลมโตและใสดั่งน้ำ นางมีกลิ่นตัวที่หอมดั่งดอกไม้ ชื่อของนางคือ "ชุ่ยชิงหยาน!" นางสะพายเสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์ไว้บนหลังของนาง จากนั้นนางก็กล่าวด้วยอาการดีใจว่า
"พี่ซ่งหยู! นี่เป็นท่านจริงๆ ด้วย ข้าไปหาท่านเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ท่านหาได้อยู่ไม่ ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไป แล้วเหตุใดร่างกายท่านจึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ จนข้าแทบจำไม่ได้เลย?
...................................................................................................................