บทที่ 3 จักรพรรดิสุยแห่งพระราชวังเปลวอัคคี
ซ่งหยูรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในมหาสมุทรแห่งจิตของตนเอง และเขาต้องการที่จะเปิดตาตัวเองเพื่อที่จะได้เห็นภาพของจักรพรรดิสุยที่เขาสร้างขึ้น แต่ทว่า!!!ภาพมันก็เริ่มสั่นและค่อยๆ หายไปทุกขณะ
" อย่าฟุ้งซ่าน!" เด็กน้อยซินหวงตะโกนใส่เขาเพื่อเตือนสติ
"หากเจ้ามีจิตที่ฟุ้งซ่านเช่นนี้! เจ้าจะสูญเสียความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมด!!! และมันจะเป็นอัตรายที่ร้ายแรงต่อจิตของเจ้า และต่อไปมันจะเป็นเรื่องยากหากเจ้าจะเห็นภาพของจักรพรรดิสุยในมหาสมุทรแห่งจิตของเจ้าอีกต่อไป สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้ คือรวบรวบสมาธิให้จดจ่อกับการบ่มเพาะของเจ้าให้สมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น" เด็กน้อยซุนหวงกล่าว
ซ่งหยูพยายามควบคุมสติของตนเอง เน้นความสนใจทั้งหมดไปที่พระราชวังเปลวอัคคี, ต้นไม้เพลิง และจักรพรรดิสุย และแล้วมหาสมุทรแห่งจิตของเขาก็กลับมาสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น
หลังจากช่วงเวลาผ่านไปยาวนานซุ่งหยูรู้สึกหมดแรง และเปิดตาขึ้น เขามองภาพพระราชวังเปลวอัคคีอันงดงามด้วยความไม่เชื่อในสายตาตัวเอง เมื่อเขามองมาที่ตัวเองในนั้น เขาก็แทบไม่เชื่อกับภาพที่เขามองเห็นในขณะนี้.....
"เจ้าไม่ต้องแปลกใจภาพที่เจ้าเห็นนั้นล้วนแต่เกิดจากจินตนาการที่เจ้าสร้างไว้ในมหาสมุทรแห่งจิตของเจ้าเท่านั้น และนี่เป็นจิตวิญญาณของเจ้าที่ได้รับการฝึกฝน" เด็กน้อยซินหวงกล่าว
เด็กน้อยซินหวงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจเมื่อยืนอยู่บนไหล่ของเขาว่า "การจะเห็นภาพของพระราชวังเปลวอัคคี, องค์จักรพรรดิสุยนั้น ไม่เหมือนกับเทคนิคพื้นฐานทั่วไปที่เจ้าเคยฝึกบ่มเพาะมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเทคนิคพื้นฐานเหล่านั้นมันมีผลน้อยมาก ต่อการปลูกจิตวิญญาณของเจ้า มันมีผลเพียงแค่ผ่อนคลายจิตของเจ้าเพื่อไม่ให้ตึงไป สำหรับการฝึกจิตของเจ้าอย่างต่อเนื่องจะทำให้จิตของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น! "
ซ่งหยูยืนขึ้น และออกไปจากพระราชวังเปลวอัคคี เพื่อมองออกไปด้านนอก แต่ทันใดนั้น!! เขาก็ได้ยินเสียงพระราชวังเปลวอัคคีพังทล่มลงมา ต้นไม้เพลิงก็สลายลง อีกทั้งองค์จักรพรรดิสุยก็หายวับไปกับตา เผยให้เห็นถึงร่างกายที่แท้จริงของเขาทันที
"นะ....นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!"ซ่งหยูถามด้วยความสับสน
"ถ้าหากเจ้าเดินออกจากพระราชวังเปลวอัคคีแล้ว จิตวิญญาณก็จะสลายออกจากร่างกายของเจ้า" เด็กน้อยซินหัวกล่าวหัวเราะชอบใจ
เด็กน้อยซินหวงยิ้มแล้วกล่าวว่า "ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังเปลวอัคคี หรือประตูดาบ ทั้งสองเป็นสัญลักษณ์ของประตู ภายในประตูเหล่านี้เกิดขึ้นภายในจิตใจของเจ้า และภายนอกประตูเหล่านี้เป็นโลกภายนอกไม่ว่าเจ้าจะก้าวออกจากพระราชวัง หรือประตูดาบ หากแต่เจ้าออกไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าจิตวิญญาณของเจ้าได้รับการปลดปล่อยให้ออกจากร่างกายของเจ้าเช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาจากที่เจ้าสามารถเชื่อมโยงจิตกับภาพของจักรพรรดิสุย และพระราชวังได้ก็นับว่าเจ้าได้บรรลุขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว"
"จริงหรือ!" ซ่งหยูกล่าวถามอย่างดีใจ และดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น
ใบหน้าของเด็กน้อยซินหวงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเดินขึ้น เขาเดินข้ามแขนของซ่งหยู และเดินไล่ลงบนไหล่ของเขา และพูดอย่างเย็นชาว่า"ลูกหลานของเผ่าสวรรค์หาได้รู้สึกภาคภูมิใจในมรดกเหล่านั้นไม่ น่าเสียดายที่เจ้ายังไกลเกินกว่าที่จะเป็นผู้สืบทอดวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สืบทอดแห่งวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถเห็นภาพทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วในเพียงครั้งเดียว ในขณะที่เจ้าสามารถเห็นมันเพียงเคร่าๆ เท่านั้น และเจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมากนัก!
ซ่งหยูยิ้มแล้วกล่าวถามว่า "หากแต่ผู้ที่มาจากเผ่าสวรรค์จะเป็นผู้ที่มีวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนั้นหรือ? ถึงแม้ข้าจะมาจากชนเผ่ามนุษย์ มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้ามิอาจจะเทียบได้กับพวกเขาเหล่านั้นได้ ข้าคิดว่าจากการฝึกฝนบ่มเพาะของข้าอย่างต่อเนื่อง คงพอที่จะเทียบเท่ากับพวกเขาเหล่านั้นได้ไม่ยาก"
เด็กน้อยซินหวงรู้สึกเบื่อหน่ายกับวาจาของซ่งหยู และเขาก็บ่นอย่างเงียบๆ ว่า "โดยภาระกิจของเผ่าสวรรค์นั้น พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีไหวพริบ และพรสวรรค์มากกว่าเผ่าอื่น แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่ถูเลือกให้ทำภาระกิจสวรรค์นี้"
แม้ว่าความสามารถของของซ่งหยูนั้นถือได้ว่าอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดของเด็กซินหวงที่เคยกล่าวไว้ในตำนานว่าจะต้องเป็นเพียงผู้ที่มีเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าสวรรค์เท่านั้น!
แต่มันก็เป็นที่ประหลาดใจไม้น้อยที่ซ่งหยูสามารถมาถึงระดับนี้ได้....หรือว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าสวรรค์?
"จิตของเจ้านั้นอ่อนแอเกินไป แค่มองภาพเพียงครั้งเดียวเจ้าก็หมดแรง เจ้าจงพยายามอย่างต่อเนื่องแล้วจิตของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น วันที่เจ้าฝึกสำเร็จ นั่นหมายความว่าเจ้าจะเข้าใจเทคนิคเหล่านี้ได้ทั้งหมด"
เด็กน้อยซินหวงกล่าวหลังจากการที่เห็นมหาสมุทรแห่งจิตของซ่งหยูนั้นยังห่างไกลยิ่งนัก
ซ่งหยูจ้องมองอย่างไร้จุดหมาย และกล่าวว่า" การเชื่อมโยงจิตไปยังจุดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นเพียงระดับเริ่มต้นเช่นนั้นหรือ? แล้วข้าจะสามารถสำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุดได้อย่างไรกัน?"
ทันใดนั้นเขารู้สึกวิงเวียนศีรษะรุนแรงมากขึ้นและง่วง ด้วยความเหนื่อยและอ่อนล้า จากการใช้อำนาจจิตในการสร้างภาพมากเกินไป ในที่สุดเขาก็ผลอยหลับไป
เด็กซินหวงเดินออกมาจากมหาสมุทรแห่งจิตของเขา และเดินกลับไปที่โคมไฟ หมอกควันดำไหลไปทุกทิศทุกทาง และเสียงดังเกิดขึ้น รูปร่างขนาดเท่าหัวแม่มือของเขาจ้องมองมาที่ซ่งหยูแล้วหันกลับไปที่หมอกควันสีดำเผยให้เห็นใบหน้าที่เลือนลางของเขา
เด็กซินหวงกล่าวว่า"นี่ข้าหลับไหลมานานเท่าใด แล้วเหตุใดองค์จักรพรรดิสวรรค์จึงกลายได้แปรเปลี่ยนมาถึงขนาดนี้? เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานี้? ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่อยู่ภายในหมอกควันสีดำนี้มันคืออะไรกัน? แล้วที่กล่าวว่านี่คือยุคของจักรพรรดิมนุษย์ ความเป็นมามันเป็นอย่างไรกัน?
ภายในจิตของซ่งหยูนั้น จิตวิญญาณก็เหมือนหยดน้ำที่ค่อยๆ เติมเข้าไปในมหาสมุทรแห่งจิตของเขาเพื่อนับวันเวลาให้มันค่อยๆเข้ามาเติมจนเต็มแล้วเมื่อนั้นเขาจะบรรลุมันได้นั่นเอง...
ภายในไม่กี่ชั่วยามเขาก็ตื่นขึ้นมา และเขาก็รีบตั้งสมาธิเข้ามหาสมุทรแห่งจิตทันที และเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อมหาสมุทรแห่งจิตของเขานั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันเกือบสองเท่าของขนาดที่เคยฝึกมาก่อน
การสร้างภาพประตูดาบเพิ่มขึ้นในจินตนาการของเขามากขึ้นโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน และการสร้างภาพองค์จักรพรรดิสุยก็ได้เกือบสองเท่าของจิตของเขาด้วยความพยายามเพียงครั้งเดียว!
เทคนิคการสร้างภาพที่มีประสิทธิภาพของเด็กน้อยซินหวงคืออะไรกันแน่?
ซ่งหยูรวบรวมความเชื่อมโยงเพื่อสร้างภาพของจักรพรรดิสุย เนื่องจากจิตของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้น
ทำให้เขาสามารถสร้างพระราชวังเปลวอัคคี, จักรพรรดิสุย และต้นไม้เพลิงได้ในที่สุด
ภายในมหาสมุรแห่งจิตของซ่งหยูนั้นเขาได้เปิดตาขึ้น และเขารู้สึกว่าพระราชวังเปลวอัคคีที่สร้างด้วยจิตนั้นชัดเจนมากขึ้น แต่การสร้างภาพนี้ทำให้เขาต้องสูญเสียพลังจิตเป็นจำนวนมาก และเหลือพลังอีกไม่มากนัก
แต่ยังพอมีพลังจิตเหลืออยู่บ้าง.....บางทีมันอาจจะพอมีเวลาเหลือที่เขาจะเดินออกจากพระราชวังเปลวอัคคีได้
เขาใช้เวลาในการในการบ่มเพาะถึงหกปี แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะถอดจิตออกจากร่างกายได้ จากการฝึกสร้างภาพถึงสองครั้งมันก็ทำให้รู้สึกว่าอย่างไรเสียเขาก็คงทำได้เพียงเท่านี้
ภายในพระราชวังนั้น จิตวิญญาณของซ่งหยู เขาทดลองก้าวไปทางด้านนอกของพระราชวัง!
ด้วยการเคลื่อนที่ของอำนาจจิตทำให้พลังของเขาถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเดินไปถึงแค่หน้าประตูพระราชวังเพียงครึ่งก้าวมหาสมุทรแห่งจิตเขาก็ถูกปิดลงทันที
หลังจากที่เขาเดินมาได้แค่หน้าประตูพระราชวัง พลังจิตของเขาก็หมดลงไปในเวลาเดียวกัน
ตู้มมมมมมมม!
เกิดเสียงดังสนั่น เสียงนั้นมันดังกังวานมากเหมือนเสียงฟ้าที่ผ่าลงบนพื้นดิน เและโลกทั้งใบก็ถูกหมุนอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขารู้สึกราวกับว่าเขาได้เข้าสู่โลกใบใหม่!
ขณะนี้วิญญาณของเขาเดินออกจากร่างกายของเขา และยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเอง
มันคือขั้นตอนของการปลดปล่อยจิตวิญญาณ! ?
ซ่งหยูรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการปลดปล่อยจิตวิญญาณ!!
เขาเข้าสู่นิกายกระบี่เทพมังกรฟ้าตอนอายุเก้าขวบ มันเป็นระยะเวลา 6 ปีแล้ว ของความขยันหมั่นเพียรในการฝึกบ่มเพาะ เขามีความมุ่งมั่นมากกว่าศิษย์คนอื่นๆ และได้รับการฝึกฝนที่มากกว่าคนใด แต่เขาก็ไม่สามารถก้าวถึงระดับสูงนี้ได้ แต่ ณ ตอนี้เขาสามารถบรรลุได้เพียงภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่งโมง มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!
ซ่งหยูรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาดีใจมากจนแทบจะหัวเราะและร้องไห้ภายในเวลาเดียวกัน เพื่อแสดงออกถึงความสุขของตนเอง
เปลวไฟในโคมไฟได้ลุกโชนขึ้นขณะที่เด็กน้อยซินหวงได้บินออกมาละยืนเผชิญหน้ากับซ่งหยู และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณเขามีขนาดเล็กลงจนเท่ากับเด็กน้อยซินหวง
เขาทั้งสองมองหน้ากันและกัน และหัวเราะด้วยกัน
"ในที่สุดเจ้าก็สามารถแยกวิญญาณได้ แต่นี้มันก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น หนทางยังอีกยาวไกลกว่าเจ้าจะสำเร็จถึงขั้นการบ่มเพาะขั้นสูงสุด"เด็กน้อยซินหวงกล่าว
เด้กซินหวงมองเขาขึ้นลงและกล่าวว่า "การแยกวิญญาณระดับนี้มันต่ำเกินไป วิญญาณของเจ้ายังอ่อนแออยู่มากในขณะนี้ เจ้าไม่สามารถแม้กระทั่งการปรุงแต่งจิตวิญญาณ"
การปรุงแต่งจิตวิญญาณเช่นนั้นหรือ?
จิตวิญญาณของกลับเข้าร่าง และเขาก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะที่รุนแรงมาก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการ
การหลบหนีความคิดของตัวเอง
ซ่งหยูพยายามต่อต้านกับความง่วงที่ค่อยๆ เข้ามาในความรู้สึกของเขาด้วยความอ่อนล้า "ข้าเป็นเพียงแค่สาวกนอกที่มีจำนวนถึงห้าหมื่นคนในนิกาย และก็มีแค่ไม่ถึงพันคนที่จะสามารถสำเร็จในการปรุงแต่งจิตวิญญาณ และข้าก็มิรู้ว่าข้าจะมีโอกาสสำเร็จมันหรือไม่?"
การปรุงแต่งจิตวิญญาณนั้นเป็นอีกระดับหนึ่งของการบ่มเพาะ เมื่อเจ้าสามารถให้จิตวิญญาณออกจากร่างกายแล้วไซร้ จิตวิญญาณของเจ้าจะสามารถควบคุมวัตถุให้เคลื่อนที่ได้ อย่างไรก็ตามมันจึงต้องมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในการครอบครองจิตวิญญาณนั้น บรรดาผู้ที่สามารถปฏิบัติได้นั้น นอกจากจะต้องมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งแล้ว และมันก็เป็นการยากมากที่จะเข้าถึง
บรรดาผู้ที่สามารถปรุงแต่งจิตวิญญาณได้นั้นจะเป็นผู้ที่โดดเด่นในหมูสาวกนอกเท่านั้น!
หากจะเปรียบเทียบผู้ที่สามารถสำเร็จการปรุงแต่จิตวิญญาณได้สำเร้จนั้นมีเพียง หนึ่งในพันคนเท่านั้น!
เด็กซินหวงเข้ามาเกาะที่ไหล่ของเขาและกล่าวว่า "เอาล่ะเจ้าอย่าเพิ่งถอดใจไป แล้วค่อยมาลองฝึก
ครั้งต่อไปก็แล้วกัน"
เปลือกตาของซ่งหยูรู้สึกหนักอึ้งหลังจากได้ฟังคำกล่าวของเด็กซินหวงขณะที่เขาบ่นว่า "แล้วมันจะใช้เวลาแค่ไหนกัน?"
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ตรวจสอบมหาสมุทรแห่งจิตของเขา และพบว่ามันมีขนาดใหญ่ขึ้นเขาไม่สามารถยับยั้งความประหลาดใจ และความดีใจได้ เขาพึมพำกับตัวเองว่า "ข้าจะลองฝึกการปรุงแต่งจิตวิญญาณดู!!"
"นะ..นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า!!! เหตุใดร่างกายข้าถึงได้ผอมมากขนาดนี้? ซ่งหยูอุทานด้วยความตกใจ
เขามองไปยังร่างกายที่ผอมบางของเขา แล้วตระหนักว่าในเวลาเพียงไม่กี่วันเขาร่างกายเขาผ่ายผอมขนาดนี้เหลือเพียงผิวหนังห่อหุ้มกระดูกเท่านั้น เขาตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แม้ว่าเขาจะอายุแค่สิบห้าปีแล้ว แต่ในหมู่ศิษย์นอกของนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้น เขานั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งซึ่งหายากในหมูศิษย์นอกเช่นนี้ แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา?
ศิลปะการต่อสู้นั้นไม่สำคัญต่อผู้ที่ฝึกฝนการบ่มเพาะ ซึ่งไม่ค่อยได้ยินเกี่ยวกับผู้ที่ฝึกฝนการบ่มเพาะที่เก่งในเรื่องศิลปะการต่อสู้ จึงหามีใครไม่ที่จะกระตือรือร้นในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ไม่
นิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้นส่วนใหญ่มุ่งเน้นในการฝึกการบ่มเพาะให้สำเร็จ และฝึกปลูกจิตวิญญาณของพวกเขาขึ้น สำหรับผู้ที่ฝึกฝนการบ่มเพาะนั้นสามารถยืนอยู่กลางอากาศ และสามารถตัดวัตถุลงได้โดยใช้พลังปราณ อย่างไรก็ตามนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีประวัติอันยาวนาน ดังนั้นพวกเขายังคงมีมรดกศิลปะการต่อสู้ และพวกเขามิได้ห้ามไม่ให้ศิษย์คนใดฝึกมัน..
การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นั้น ซ่งหยูได้รับการฝึกฝนจากนิกาย ที่เรียกว่าเป็นการสร้างภาพสัญลักษณ์แห่งมังกร ในการฝึกฝนเทคนิคนี้เราต้องทำให้ร่างกายแข็งแรง ราวกับว่าได้รับพลังแห่งมังกร และต้องนึกถึงมังกรที่คดเคี้ยวรอบตัว เพื่อเสริมสร้างร่างกายและจิตใจให้แข็งแกร่ง
หลังจากช่วงเวลาที่ยาวนานในการฝึกฝนเทคนิคศิลปะการต่อสู้นี้ ร่างของซ่งหยูก็แข็งแกร่งกว่าเหล่าศิษย์นอกคนอื่นๆ เหตุผลที่เขาเลือกฝึกฝนเทคนิคศิลปะการต่อสู้นี้ เป็นเพราะครอบครัวของเขายากจน และจำเป็นที่จะต้องขึ้น-ลงภูเขาบ่อยๆ เพื่อค้นหาสมุนไพรเพื่อเสริมสร้างความเข้มแกร่งให้กับตัวเอง
การสร้างภาพสัญลักษณ์แห่งมังกร ช่วยให้เขาหนีความตายได้หลายครั้ง จากกรงเล็บของสัตว์ร้าย
ที่เหลือเพียงร่องรอยแผลเป็นมากมายในร่างกาย เพื่อรักษาชีวิตให้รอด อย่างไรก็ตามภายในสองหรือสามวันเมื่อร่างกายที่ได้รับการฝึกฝนการสร้างภาพสัญลักษณ์แห่งมังกรนั้น ร่างกายเขาก็ยิ่งผ่ายผอมลงราวกับกิ่งไม้แห้งนับแต่นั้นมา
แต่แม้ว่าร่างกายของเขาจะผ่ายผอมลงมาก ซ่งหยูก็ยังคงรู้สึกว่าร่างกายของเขานั้นยังคงแข็งแกร่งคงเดิม..
"สำหรับการฝึกการสร้างภาพพระราชวังเปลวอัคคี, จักรพรรดิสุย, และต้นไม้เพลิง จะต้องใช้พลังมากจากกล้ามเนื้อภายในร่างกายของเจ้า ซึ่งมันถูกใช้ไปหมดหลังจากที่พยายามฝึกครั้งที่แล้วของเจ้า"เด็กซินหวงกล่าวอธิบาย
เด็กซินหวงกล่าวอธิบายต่อว่า"แท้จริงแล้วร่างกายของเจ้าหาได้อ่อนแอไม่! หากแต่เจ้าต้องฝึกฝนเทคนิคการบ่มเพาะร่างกายอย่างต่อเนื่อง เจ้าทำได้ดีมากแล้วทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณทั้งสามองค์ประกอบที่สัมพันธ์กัน ถ้าเจ้าอยากจะบรรลุขั้นสูงสุดนั้นร่างกายเจ้าจะต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้! หากแต่ถ้าร่างกายเจ้าอ่อนแอในการฝึกการสร้างภาพพระราชวังเปลวอัคคีในครั้งแรก เจ้าคงหาได้รอดชีวิตถึงวันนี้ไม่!"
ซ่งหยูถึงกับตกใจและตะโกนว่า "การฝึกนี้จะนำไปสู่ความตายงั้นรึ?"
"แน่นอน! จิตใจและร่างกายเชื่อมต่อกัน ร่างกายที่แข็งแรงจิตใจก็จะแข็งแรงขึ้นด้วย การใช้จิตก็จะสิ้นเปลือง พลังงานในร่างกาย การฝึกการสร้างภาพนั้นจะสิ้นเปลืองพลังงานจิต และพลังงานกายในเวลาเดียวกัน หากร่างกายของเจ้าอ่อนแอเจ้าคงตายไประหว่างการฝึกไปแล้ว"
เด็กซินหวงยิ้มแล้วกล่าวว่า"นับว่าโชคดีที่พื้นฐานของร่างกายของเจ้าแข็งแรงมาก จึงสามารถสร้างภาพได้สำเร็จถึงสองครั้ง หากแต่ถ้าเจ้าทดลองในครั้งที่สามเจ้าก็กลายเป็นโครงกระดูกเป็นแน่ และตอนนี้สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำคือ การกิน กินให้มากขึ้น และต้องกินในสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งมันหาใช่ธัญพืชหรือผลไม้ไม่ หากแต่มันเป็นเม็ดยาจิตวิญญาณระดับสูง มิเช่นนั้นร่างกายของเจ้าก็จะผ่ายผอมจนเหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น!
......................................................................................................................