ตอนที่แล้วบทที่ 74 ฝันร้าย  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 76 ค่ายกลกระบี่เสริมสร้างสังขาร

บทที่ 75 เมฆหมอกปกคลุม*


 

(*ใช้เปรียบกับความทุกข์)

 

บรรยากาศในหอตงฝูเครียดเขม็งและหนักหน่วง แต่ละคนใบหน้าดำครึ้ม หลายคนในนั้นบนร่างมีร่องรอยบาดแผลที่ยังสดใหม่

เบื้องหน้าของพวกมัน ร่างของเยวียนลี่นอนเหยียดยาว นิ่งเงียบงัน ผิวของมันเป็นสีเทาอมเขียวแปลกๆ

นางเซียนอวิ๋นเสียดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ นางซึ่งปกติมักจะมั่นคงเยือกเย็น ยังอดหวาดวิตกมิได้ เพื่อเสาะหาร่องรอยของอสูรปิศาจซึ่งบังคับให้เกิดดาวพร่างกลางทิวา พวกมันได้แยกย้ายกันสำรวจไปทั่วตงฝู อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าวันนี้พวกมันจะถูกซุ่มโจมตีอย่างกะทันหัน

นี่เป็นการซุ่มโจมตีที่วางแผนมาอย่างเหนือชั้น เป้าหมายของศัตรูคือเยวียนลี่ พวกมันมีกันหลายคน ทุกคนใส่ชุดดำและสวมหน้ากาก พลังฝีมือล้วนน่าแตกตื่นสะท้านใจ การประสานงานของพวกมันก็ดีเยี่ยม เยวียนลี่ถูกฆ่าตายแทบจะในพริบตาเดียว ในเวลานั้น อวิ๋นเสียเซียนจื่ออยู่ใกล้กับเยวียนลี่มากที่สุด หากนางขว้างมุกหยินอสนีบาตที่เพิ่งหลอมสร้างเสร็จชักช้ากว่านี้สักนิด นางจะตกเป็นเป้าล้อมสังหารรายต่อไป และอาจกลายเป็นซากศพกองอยู่เคียงข้างเยวียนลี่ คราวนี้ล้วนอาศัยพลังของมุกหยินอสนีบาต จึงรอดพ้นอันตรายมาได้อย่างฉิวเฉียด

“พวกมันเป็นใคร?” เทียนซงจื่อใบหน้าดำทะมึน ในฐานะผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งตงฝู มีใครบางคนจู่โจมสังหารอาคันตุกะของมันในพื้นที่ของมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเท่ากับท้าทายมันโดยตรง

นางเซียนอวิ๋นเสียสงบใจลง กล่าวอย่างหวาดหวั่นไม่คลาย “ข้าไม่ทราบ พวกมันไม่ได้ใช้กระบี่บิน สิ่งที่พวกมันใช้เป็นควันห้าธาตุ ผสานกับค่ายกลของพวกมัน ประสิทธิภาพร้ายกาจยิ่ง”

“ควันห้าธาตุ?” ผู้เฒ่าเหอเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง วันนี้มันไม่ได้ออกไปด้วย จึงยังไม่ทราบรายละเอียด พอครุ่นคิดแวบหนึ่ง ค่อยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “คนส่วนมากที่ใช้ควันห้าธาตุเป็นอาวุธ ล้วนเป็นเซียนสัญจร สิ่งของนี้ไม่ใช่ว่าจะรวบรวมมาในคราวเดียวได้อย่างง่ายดาย...”

“ข้าเกรงว่านั่นไม่อาจเชื่อถือได้” เหวินเถี่ยซ่านเหรินกล่าวแทรกเสียงหนัก “อาจเป็นไปได้ว่าพวกมันกำลังหลอกล่อให้เราไขว้เขว การรวบรวมควันห้าธาตุอาจไม่ใช่เรื่องง่ายดาย แต่บางครั้งยังสามารถหาซื้อได้ในท้องตลาด หากมีคนพยายามจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อีกอย่างที่สำคัญ เป้าโจมตีของพวกมันคือปรมาจารย์เยวียน! พวกท่านลองพิจารณาดูเถอะ พวกมันมีวัตถุประสงค์อันใดถึงได้เจาะจงกำหนดเป้าหมายไปยังปรมาจารย์เยวียน?”

ทุกผู้คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ล้วนเป็นยอดนักรบผู้โชกโชน พอฟัง ความคิดก็สว่างวาบ เทียนซงจื่อตระหนักในฉับพลัน โพล่งออกมาว่า “พวกมันไม่ต้องการให้เราติดตามดาวพร่างกลางทิวา!”

“ใช่แล้ว อา นี่จึงสมเหตุสมผล” ผู้เฒ่าเหอเห็นพ้อง “หากพวกมันมาเพื่อหวังจับปลาตอนน้ำขุ่น สมควรเลือกเป้าหมายเป็นผู้ใดก็ได้เพื่อทำการก่อกวน หรือไม่ก็รอคอยชุบมือเปิบในยามที่เราเสาะพบอสูรปิศาจแล้ว แต่นี่กลับตั้งใจสังหารปรมาจารย์เยวียนให้จงได้ เพื่อตัดหนทางไม่ให้เราค้นหาอสูรปิศาจตนนั้นพบ ...เป็นผู้ใดที่ไม่ต้องการให้เราพบอสูรปิศาจตนนี้?”

“ก็เห็นจะมีแต่อสูรปิศาจเท่านั้น?” นางเซียนอวิ๋นเสียประหลาดใจ “หรือไม่ก็...พรรคพวกของอสูรปิศาจ!”

คนอื่นๆ ล้วนมองหน้ากัน สีหน้าพวกมันมืดทะมึนในบัดดล คนที่ซุ่มโจมตีพวกมันเห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มใหญ่ และแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่อสูรปิศาจที่ได้รับบาดเจ็บตนนั้น เป็นไปได้สูงว่าคนเหล่านี้คือซิวเจ่อที่เป็นพรรคพวกของอสูรปิศาจ

ก่อนหน้านี้ ทุกคนในที่นี้ล้วนคิดว่านี่เป็นเพียงอสูรปิศาจที่ได้รับบาดเจ็บตนเดียว ดังนั้นไม่มีผู้ใดเคร่งเครียดจริงจังเกินไป ในความเห็นของพวกมัน ด้วยพลังของปรจารย์จินตันตั้งหลายคน สังหารอสูรปีศาจที่ได้รับบาดเจ็บสักตนไม่ใช่ว่าง่ายดายอย่างยิ่งหรอกหรือ?

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นยุ่งยากถึงเพียงนี้ ดาวพร่างกลางทิวาไม่ใช่สิ่งที่จะปกปิดซ่อนเร้นจากผู้คนได้ ซิวเจ่อจำนวนมหาศาลล้วนหวังจะล่าสังหารอสูรปิศาจตนนี้ และมารวมตัวกันในอาณาจักรนภาจันทร์อย่างคึกคัก

อสูรปิศาจชั้นสูงที่บาดเจ็บสาหัส ย่อมหมายถึงจิงสือเหลือคณานับและยุทธภัณฑ์เวทนับไม่ถ้วน!

“มีซิวเจ่อที่เป็นพันธมิตรกับอสูรปิศาจจริงๆ หรือนี่!” เหวินเถี่ยซ่านเหรินตวาดอย่างขุ่นแค้น

ผู้เฒ่าเหอเงยหน้า กล่าวด้วยดวงตาทอประกายประหลาด “ไฉนไม่คิดว่านั่นเป็นกลุ่มอสูรปิศาจจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่พวรรคพวกของอสูรปิศาจ?”

วาจาประโยคนี้เมื่อกล่าวออกมา หอตงฝูอันใหญ่โตมโหฬารก็เงียบกริบเป็นป่าช้า

นางเซียนอวิ๋นเสียกลับมายังที่พำนักของนางอย่างเหนื่อยล้า เสี่ยวหวนเมื่อเห็นสีหน้าคุณหนูของนาง ก็กล่าวด้วยความห่วงใยระคนหวาดหวั่น “คุณหนู ไฉนเราไม่กลับไป? เรื่องที่นี่น่ากลัวจริงๆ!”

อวิ๋นเสียฝืนยิ้ม “เราจะไปได้อย่างไรเล่า? หากไม่สะสางเรื่องราวนี้ หรือจะปล่อยให้ปรมาจารย์เยวียนตายเปล่า”

เสี่ยวหวนกัดริมฝีปาก กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “เช่นนั้นข้าจะไปหาซื้อไข่มุกหยินให้คุณหนู! ถ้าคุณหนูมีมุกหยินอสนีบาตมากกว่านี้สักหน่อย ก็ไม่ต้องเกรงกลัวพวกมันแล้ว!”

“เด็กโง่” อวิ๋นเสียลูบหัวเสี่ยวหวนพลางกล่าวอย่างเอ็นดูว่า “ครั้งแรกพบโชคดีก็ดีมากแล้ว เจ้าจะหวังว่าจะพบโชคดีทุกครั้งได้อย่างไร?”

“แต่ข้าไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยเหลือคุณหนูได้อีกแล้วนี่!” เสี่ยวหวนหมอกน้ำตารื้นขึ้นมา พวกนางมองภายนอกอาจจะเป็นคุณหนูกับสาวใช้ แต่ในความเป็นจริงไม่ต่างอันใดกับพี่สาวน้องสาวคู่หนึ่ง

“คุณหนูของเจ้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้นเสียหน่อย อย่างน้อยข้าก็เป็นปรมาจารย์จินตันผู้หนึ่ง!” อวิ๋นเสียรีบปลอบประโลมเสี่ยวหวน แต่ในใจนางเองหาได้มีความมั่นใจอันใดไม่ วาจาของผู้เฒ่าเหอวนเวียนอยู่ในใจนาง นางทราบดีว่าสถานการณ์ในมหานครนภาโลหิตเลวร้ายลงเรื่อยๆ แต่ไม่ทราบว่าเลวร้ายถึงระดับใดแล้ว หากคนกลุ่มนั้นเป็นเผ่าอสูรปิศาจที่แทรกซึมเข้ามาในอาณาจักรนภาจันทร์จริง เช่นนั้นสถานการณ์ในมหานครนภาโลหิตยามนี้ย่ำแย่ถึงเพียงไหนกัน?

ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ละอองฝนโปรยปรายผ่านด้านนอกหน้าต่าง ทอดตามองภูผาห่างไกลปกคลุมด้วยม่านพิรุณเลือนราง เมฆหมอกในใจอวิ๋นเสียเซียนจื่อยิ่งมายิ่งหนาหนักขึ้นทุกขณะ

 

ลางสังหรณ์ของจั่วม่อแม่นยำจนน่าปวดใจ ชีวิตอันแสนอนาถของมันเพิ่งจะเปิดฉากขึ้นจริงๆ

กุศลเจตนาของผู้เฒ่าเหอ ผสานกับอาการสลบไสลอันแยบยลของจั่วม่อได้อย่างเหมาะเจาะพอดี กลายเป็นกระตุ้นเตือนเผยเหยียนหรานกับเหล่าผู้อาวุโสอย่างรุนแรง เฉพาะอัจฉริยะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นจึงจะสามารถกลายเป็นยอดคนที่แท้จริง ในสายตาของเผยเหยียนหราน สือฟ่งหรง และอาจารย์ลุงอีกสองท่าน จั่วม่อไม่ได้ขาดแคลนพรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันถึงกับคิดว่าจั่วม่อยังคงมีพรสวรรค์ด้านอื่นแอบแฝงรอการค้นพบอยู่อีก อย่างไรก็ตาม ร่างกายที่บอบบางของมันจะคอยจำกัดการพัฒนาของมัน การเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรน่าจะเกิดขึ้นกับมันเสียมากกว่า ไม่ใช่เหวยเสิ้ง

เทียบกันแล้ว ในเรื่องนี้เหวยเสิ้งเข้มแข็งแกร่งกร้าวถึงที่สุด ไม่จำเป็นต้องให้พวกมันห่วงกังวลแม้แต่น้อย

เผยเหยียนหรานและเหล่าศิษย์น้อง หลังจากได้รับการกระตุ้นเตือน ก็พบว่าแนวคิดของพวกมันไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น สำหรับอัจฉริยะที่กอรปด้วยพรสวรรค์หลายด้านเช่นจั่วม่อ ไม่ควรเน้นความสำคัญไปที่การฝึกกระบี่ สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการรักษาชีวิตของมันไว้ แทนที่จะเลี้ยงดูให้มันกลายเป็นเซียนกระบี่ที่หาได้ทั่วไป สร้างมันให้เป็นเต่าที่แข็งแรงมากตัวหนึ่งจะไม่ดีกว่าหรือ เหล่าระดับบนของสำนักกระบี่สุญตาทั้งหมดตกอยู่ในอาการสะท้อนใจร่วมกัน ดังนั้นซินหยานจึงก้าวออกมาลงมือด้วยตนเอง

จากสิ่งนี้อาจเห็นได้ว่าสำหรับสำนักกระบี่สุญตาแล้ว จั่วม่อมีความสำคัญถึงขั้นใด

หลังจากการฝึกอบรมที่ราวกับฝันร้ายนี้ ร่างกายของจั่วม่อแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่ายังคงผอมบางอยู่บ้าง แต่มีกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าเดิม ภายใต้อิทธิพลสองเท่าของการฝึกฝนอย่างเข้มงวดและน้ำยาสมุนไพร มันค่อยๆ คุ้นชินกับการฝึกฝนกายาเสริมสร้างสังขาร

แต่น่าเสียดายที่จั่วม่อไม่เข้าใจว่าซือฟู่กับเหล่าผู้อาวุโสคิดอะไรกันอยู่ อาจารย์ลุงซินหยานถึงกับลงมือฝึกอบรมมันด้วยตนเอง แม้ว่ามันได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ต้องเจ็บปวดน่าอนาถในเวลาเดียวกัน! ในบรรดาผู้อาวุโส อาจารย์ลุงซินหยานเป็นบุคคลที่เข้มงวดที่สุด และจั่วม่อหวาดกลัวมันมากที่สุด

จะดีสักเพียงใดถ้าเป็นอาจารย์ลุงหยานเล่อ? บางครั้งจั่วม่ออดเพ้อฝันไม่ได้

ภายในกระท่อมหญ้า ซินหยานโยนม้วนหยกให้จั่วม่อ และพามันไปยังหุบเขาด้านหลังภูเขา หุบเขาแห่งนี้จั่วม่อเคยเข้ามา แต่เห็นได้ชัดว่าพื้นดินถูกปรับจนราบเรียบกว่าเดิม และมีค่ายกลยันต์เวทโดดเด่นสะดุดตาอยู่ที่ด้านล่างหุบเขา ซินหยานไม่กล่าวคำใดก็โยนจั่วม่อเข้าไปในค่ายกลยันต์เวท

“อาจารย์ลุง นี่...นี่มันอะไร?” จั่วม่อถามอย่างตระหนกอยู่บ้าง

อาจารย์ลุงซินหยานไม่สนใจมัน เหินลอยจากไป

จั่วม่อมองไปรอบๆ อย่างตื่นกลัว อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หัวใจมันค่อยสงบลง นี่คือค่ายกลยันต์เสริมสร้างสังขารหรือ? สิ่งของที่ดีเช่นนี้ ไฉนไม่นำออกมาแต่แรก?

ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด อย่างไรก็ตาม จั่วม่อไม่กล้าวิ่งออกไปจากค่ายกลยันต์โดยพลการ อาจารย์ลุงโยนมันไว้ในนี้ หากมันวิ่งหนีออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมน่าสังเวช ดังนั้นมันเริ่มให้ความสนใจกับม้วนหยกที่อาจารย์ลุงให้มา

มีเคล็ดวิชาเสริมสร้างสังขารอยู่ในม้วนหยก เรียกว่า [วัชรสูตรน้อย]* จั่วม่อแปลกใจอยู่บ้าง ดูจากชื่อ นี่ไม่ได้มีลักษณะคล้ายกับหนึ่งในเคล็ดวิชาของสำนักเลย แต่เหมือนเคล็ดวิชาของเซียนวรยุทธ์ซึ่งเป็นเหล่านักบวชนิกายฌาน*เสียมากกว่า ไม่ทราบอาจารย์ลุงได้รับเคล็ดวิชานี้มาจากที่ใด? เนื่องจากในช่วงสองปี ตอนที่ยังเป็นศิษย์ฝ่ายนอก จั่วม่อเคยประสบความยากลำบากในการรวบรวมม้วนคัมภีร์หยก มันจึงชมชอบม้วนหยกที่บันทึกไว้ด้วยสิ่งใหม่ๆ เป็นพิเศษ มิหนำซ้ำ เวลานี้มันยังไม่ต้องจ่ายแต้มคุณูปการเพื่อแลกกับม้วนหยก จั่วม่อในที่สุดรู้สึกว่าไม่ค่อยทุกข์ยากเท่าใดแล้ว

(*วัชรหรือจินกัง หมายถึงนักรบพระโพธิสัตว์ที่คอยรับใช้พระพุทธเจ้าที่ชอบถือกระบองเหล็ก วัชรสูตรหรือวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นพระสูตรสำคัญเล่มหนึ่งของพุทธมหายาน แต่ในที่นี้ยืมชื่อมาใช้เฉยๆ วัชรสูตรน้อยจะเรียกว่าวัชรสูตรฉบับโดยย่อก็คงได้ ให้คิดเสียว่าไม่ใช่โลกเรา นักบวชนิกายฌานในที่นี้ก็เป็นคนละแบบกับหลวงจีนในความจริง ส่วนนิกายฌานนี่ เราอาจคุ้นหูกันในชื่อนิกายเซนมากกว่า)

มันอ่านต่ออย่างกระหายใคร่รู้

จริงดังคาด นี่เป็นเคล็ดวิชาของนักบวชนิกายฌาน เคล็ดวิชาของเหล่าเซียนวรยุทธ์นี้เรียบง่ายถึงที่สุด ไม่ต้องการพรสวรรค์มากเท่าใด แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกมันต้องการคือหัวใจตั้งมั่น และความพากเพียรอุตสาหะที่เหนือกว่าคนทั่วไป เคล็ดวิชานี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน มีส่วนที่ซับซ้อนไม่มากนัก แต่เน้นความอดทนแน่วแน่ หากพากเพียรฝึกปรืออย่างไม่ลดละ ร่างกายจะเป็นเหมือนโลหะทองคำ และหากบรรลุความเข้าใจถึงขั้นเจตจำนง ความสำเร็จขั้นสุดท้ายย่อมเป็นร่างอมตะดุจพระโพธิสัตว์วัชรปาณี

แน่นอน จั่วม่อแค่นเสียงใส่ท่อนนี้ ในวันนี้ ไม่ว่าในม้วนหยกจะอวดโอ่ว่าพวกมันแข็งแกร่งอย่างไร ก็ไม่ต่างอันใดจากผูเยาที่ชอบแปะป้ายตัวเองว่าอสูรฟ้านั่นละ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จั่วม่อพบว่าน่าสนใจ คือวัชรสูตรน้อยกล่าวว่าร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บโดยง่ายดาย กระบี่บินทั่วไปยากจะทำร้ายให้เกิดบาดแผล ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีชีวิตอยู่ หากสามารถสำเร็จ[วัชรสูตรน้อย] ยอดฝีมืออสูรปิศาจก็ไม่สามารถเข้าประชิดมัน สิ่งชั่วร้ายใดก็ไม่อาจกล้ำกรายแทรกซึมร่าง จั่วม่อค้นพบอย่างกะทันหันว่าแต่ละสิ่งที่มันเรียนรู้นั้น เริ่มแตกต่างกันมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

“สินค้ามือสองเช่นนี้ ยังกล้าเอาออกมาอวด อาจารย์ลุงของเจ้าไม่อายบ้างหรือไร?” ผูเยาออกมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ กล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์

“สินค้ามือสอง?” จั่วม่อยกม้วนหยกตั้งขึ้นในมือ “เจ้ามีหรือไม่?”

“ข้าเก็บเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุด!” ผูเยากล่าวอย่างถือดี

“เหมือนไข่มุกหยิน?” จั่วม่อยิ้มเย้ย

ผูเยาเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม เหตุการณ์ไข่มุกหยินกลายเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของจั่วม่อ ผูเยาไม่มีช่องให้โต้แย้ง ได้แต่ฮึดฮัด แต่เมื่อมันมองไปยังค่ายกลยันต์รอบๆ ตัว ทันใดนั้นก็หัวร่อถูกอกถูกใจ

จั่วม่อเริ่มรู้สึกหัวใจสั่นไหว อดถามไม่ได้ “เจ้าหัวร่ออันใด?”

ดวงตาสีเลือดของผูเยาเผยประกายขบขันแปลกๆ จั่วม่อคุ้นเคยกับสีหน้าแบบนี้มาก มันเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของผูเยามานับครั้งไม่ถ้วน จั่วม่ออดไม่ได้ต้องรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมา

“ขอให้สนุกนะ” ผูเยาแสดงท่วงท่าภาคภูมิ เต็มไปด้วยด้วยความพึงใจ ขณะเดินกลับเข้าไปในทะเลแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อ

จั่วม่อยิ่งรู้สึกหวั่นไหวมากกว่าเดิม มองไปยังค่ายกลยันต์รอบกาย หัวใจสั่นสะท้าน หรือว่าค่ายกลพวกนี้ไม่ใช่ค่ายกลยันต์เสริมสร้างสังขาร?”

ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นหมอกจางๆ ก่อตัวขึ้นรอบด้าน จั่วม่อเห็นอย่างชัดเจนว่าหมอกนี้ถูกสร้างขึ้นจากค่ายกลยันต์ มันตึงเครียดในบัดดล จะเริ่มแล้วหรือ?

หมอกแพร่กระจายเต็มพื้นที่ในพริบตา จั่วม่อกระทั่งเบื้องหน้ามันยังมองไม่เห็น ต้องเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้น

ซี่!

ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมาจากหมอกอย่างเฉียบพลัน ทิ่มแทงใส่จั่วม่อ

จั่วม่อระวังป้องกันอยู่แล้ว ประกบดรรชนีเป็นกระบี่จี้ออกไป ปราณกระบี่สายหนึ่งพวยพุ่งจากปลายนิ้ว แทงใส่ปราณกระบี่ที่ตรงเข้ามาอย่างถนัดถนี่

พิ้ง!

แสงสว่างวาบ ปราณกระบี่ทั้งสองแตกสลายไปพร้อมกัน

จั่วม่อยังไม่ทันตอบสนอง ซี่! ซี่! ปราณกระบี่อีกสองเล่มพุ่งออกจากหมอกพร้อมกัน แทงมาจากตำแหน่งที่แตกต่างกัน

จั่วม่อไม่กล้าลดการระวังป้องกัน สองมือสะบัดขึ้น ดีดปราณกระบี่ตรงเข้ารับหน้าอย่างทันท่วงที

ซี่! ซี่! ซี่! ซี่!

ปราณกระบี่อีกสี่เล่มพุ่งออกมาจากแง่มุมที่มองไม่เห็น แทงใส่จั่วม่ออย่างแยบคาย

จั่วม่อหลบซ้ายย้ายขวา ท่วงท่าทุลักทุเลยิ่ง

ปราณกระบี่เพิ่มจำนวนขึ้นด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว เร็วจนจั่วม่อไม่มีปัญญาตอบสนองได้ทันอีกต่อไป

เมื่อปราณกระบี่แทงใส่ร่าง ความเจ็บปวดคล้ายเข็มทะลวงลึกเข้าไป มันกรีดร้องโหยหวน จั่วม่อในที่สุดก็เข้าใจ ว่าค่ายกลยันต์บัดซบนี่คือสิ่งใด!

 

กลุ่มถึงตอนที่ 135 แล้ว คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด