TXV – 72 สุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์
TXV – 72 สุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์
เซี่ยเหล่ยไปธนาคารเพื่อถอนเงิน 200,000 หยวน และนำเงินไปยังอาชาสายฟ้าเวิกค์ช็อปในเช้าวันรุ่งขึ้น เหล่าพนักงานต่างเริ่มทำงานกันอย่างแข็งขันแม้ว่าเพิ่งจะมีแค่คำสั่งซื้อเล็กๆน้อยๆของลูกค้าเข้ามา
จูเสี่ยวหงไม่เชื่อฟังเขา เธอไม่ยอมหยุดพักฟื้น เธอถือแปรงทาสีและไม้บรรทัดเหล็กไว้ในมือกำลังวาดลวดลายลงบนแผ่นโลหะส่งให้หม่าเสี่ยวอันและคนอื่นๆ ทำให้พวกเขาสามารถตัดแผ่นโลหะได้สะดวกมากขึ้นอีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาไปได้มากอีกด้วย
การได้เห็นเธอตั้งใจทำงานอย่างหนัก ทำให้เซี่ยเหล่ยนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน ขณะที่เขาพันผ้าพันแผลให้เธอ ต้นขาขาวผ่องที่โผล่ออกมาผ่านช่องว่างระหว่างผ้าพันแผลนั่น…
‘เขาคงต้องหาคนรักอย่างจริงจังเสียที มันคงไม่ดีแน่ถ้าเขายังคงหวั่นไหวอยู่แบบนี้ตลอดเวลา’
เซี่ยเหล่ยส่ายศีรษะและยิ้มอย่างขำๆขณะกำลังไล่ภาพที่จินตนาการในหัวออกไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีความคิดว่าอยากจะมีคนรัก แต่มันก็ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องฟุ้งซ่าน มันยากมากที่จะตามหาคนที่รักและอยากอยู่ด้วย
เขาคิดถึงเฉินตู เทียนหยินขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ผู้หญิงที่ทะนงตัวราวกับราชินี เขายิ้มอย่างขำๆอีกครั้งและคิดว่า ‘ฉันคิดถึงเธอขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล นี่คงไม่ได้หมายความว่าเธอคือผู้หญิงที่ฉันต้องการหรอกนะ? ตลกสิ้นดี ฉันควรจะรู้ขีดจำกัดของตัวเองสิ…’
จูเสี่ยวหงเป็นคนแรกที่เห็นเซี่ยเหล่ยเข้ามาในเวิกค์ช็อปเธอจึงลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปเตรียมชามาให้ พี่เหล่ย”
“ผมบอกให้คุณพักผ่อนไม่ใช่เรอะ ? ทำไมคุณถึงมาทำงานล่ะ ?” เซี่ยเหล่ยถาม
จูเสี่ยวหงส่งยิ้มเล็กๆกลับมา “ฉันไม่ได้ทำงานหนักหรอก ฉันแค่วาดลวดลายเล็กๆเท่านั้น มันไม่ต่างอะไรกับการพักผ่อนเลยนะ”
“ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าให้บาดเจ็บอีก” เซี่ยเหล่ยเตือน
“อื้ม” จูเสี่ยวหงตอบตกลงและไปเตรียมชาให้เซี่ยเหล่ย
หม่าเสี่ยวอันและคนอื่นๆหันมาต้อนรับเซี่ยเหล่ยและเขาก็ทักทายทุกคนเช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้แน่นอนว่าต้องเกิดผลกระทบกับพวกเขา แต่ชีวิตก็คือชีวิต พวกเขาต้องทำงานเพื่อหารายได้ไปเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้นการทำงานจึงสำคัญที่สุด พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆมากนัก
จูเสี่ยวหงนำชามาให้เซี่ยเหล่ยจากนั้นจึงเดินกลับไปที่แผ่นโลหะเพื่อทำงานต่อ
โทรศัพท์ของเซี่ยเหล่ยส่งเสียงดังขึ้นมาก่อนที่เขาจะทันได้จิบชา
เป็นสายจากฉิงเสวียง เสียงของเขานุ่มและหวานราวกับเสียงของผู้หญิง “เซี่ยเหล่ย ผมจะรอคุณอยู่ที่ร้านน้ำชาซูชาน”
“ตกลง ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้” เซี่ยเหล่ยวางสายและลุกขึ้นยืน
หม่าเสี่ยวอันเดินเข้ามาดึงมือเขาและถามด้วยเสียงต่ำ “เหล่ย นายกำลังทำอะไร ?”
“เปล่านี่” เซี่ยเหล่ยพูด
“บอกผมถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เราจะได้ช่วยกันจัดการได้” หม่าเสี่ยวอันพูด
เซี่ยเหล่ยยิ้มและพูด “ไม่มีอะไรจริงๆ นายต้องช่วยผมดูแลเวิกค์ช็อปนี้ จริงๆแล้วผมกำลังยุ่งอยู่กับการจดทะเบียนกับการสร้างบริษัท ในอนาคตมันจะไม่ใช่แค่เวิกค์ช็อปอีกต่อไปแล้ว !”
หม่าเสี่ยวอันนิ่งไป และพูดขึ้นมาด้วยความดีใจ “จริงหรือ? นี่มันเยี่ยมไปเลย ! นายต้องแต่งตั้งผมเป็นผู้จัดการเวิกค์ช้อปนะ !”
“นี่คือความปรารถนาของนายทั้งหมด ? แค่ผู้จัดการเวิกค์ช็อป ? ผมกะจะให้นายเป็นรองประธานเชียวนะ” เซี่ยเหล่ยยิ้ม
หม่าเสี่ยวอันส่ายหน้าแทนคำตอบ “ไม่เอาหรอก ผมอยากเป็นแค่ผู้จัดการเวิกค์ช็อปนี่ล่ะ”
เซี่ยเหล่ยตบบ่าหม่าเสี่ยวอันเบาๆ “อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพวกเขาล่ะ เราจะบอกพวกเขาก็ต่อเมื่อขั้นตอนการจดทะเบียนดำเนินการไปได้ด้วยดีหรือเราจะยอมโดนหัวเราะเยาะกันล่ะถ้าการจดทะเบียนมันไม่ผ่าน”
“ผมรู้ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมจะไม่พูด ผมไม่ใช่คนปากสว่างนะ” หม่าเสี่ยวอันพูด
เซี่ยเหล่ยพยักหน้าและเดินออกไปจากเวิกค์ช็อป
หม่าเสี่ยวอันเดินไปส่งเขาที่ประตูและกลับเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น “พวกคุณรู้อะไรมั้ย? เหล่ยกำลังจะตั้งบริษัท! พวกเรากำลังจะเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นพนักงานบริษัท!”
เสียงโห่ร้องดีใจอย่างมีชีวิตชีวาดังมาจากอาชาสายฟ้าเวิกค์ช็อป
เซี่ยเหล่ยกำลังเฝ้าดูหม่าเสี่ยวอันและคนอื่นๆฉลองกันอยู่ในรถโฟล์คสวาเก้น โปโล เขาส่ายหน้าและสตาร์ทเครื่องยนต์และขับตรงไปยังร้านน้ำชาซูชาน เขาไม่ได้บอกความจริงกับหม่าเสี่ยวอัน แต่นั่นก็เพื่อประโยชน์ของหม่าเสี่ยวอันเอง มันเป็นเรื่องอันตรายที่จะเข้าไปยุ่งกับหล่าวฉี่ เขาไม่ต้องการให้หม่าเสี่ยวอันเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นการโกหกครั้งนี้เขาจึงทำไปเพราะความหวังดี....
เซี่ยเหล่ยได้รับโทรศัพท์อีกครั้งก่อนที่เขาจะไปถึงร้านน้ำชาซูชาน ไม่ใช่สายจากฉิงเสวียง แต่กลับเป็นเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก
“ฮัลโหล? คุณเซี่ยใช่ไหม?” เป็นเสียงของผู้หญิงที่สุภาพและเป็นมิตร
“ใช่ นั่นใครครับ?” เซี่ยเหล่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้
“ฉันคือหลางซือเหยา จำฉันได้ไหม?” ผู้หญิงคนนั้นพูด
“โอ้ คุณหลาง แน่นอนว่าผมต้องจำคุณได้อยู่แล้ว สวัสดีครับ โทรมาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เซี่ยเหล่ยรู้สึกแปลกใจที่หลางซือเหยาโทรมาหาเขา
“ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่จะถามคุณว่าทำไมวันนี้คุณไม่มาฝึกซ้อมที่สำนัก” หลางซือเหยาถาม
“ขอโทษครับ วันนี้ผมยุ่งอยู่กับเรื่องบางอย่างที่เวิกค์ช็อป ไว้ผมจะไปที่นั่นวันพรุ่งนี้นะครับ” เซี่ยเหล่ยพูด
“ได้สิ คุณได้คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันบอกคุณไปเมื่อวานหรือยัง?” หลางซือเหยาถาม
เซี่ยเหล่ายังจำได้ หลางซือเหยาเรียกเขาไปพบที่สำนักงานของโรงเรียนและบอกให้เขาลองคิดเกี่ยวกับการให้เขาหยุดทำงานที่เวิกค์ช็อปและหันมาตั้งใจกับการฝึกซ้อมหวิงชุนก่อนที่เขาจะออกมาจากโรงเรียนเมื่อวานนี้ นี่ดูเหมือนจะเป็นเจตนาจริงๆของหลางซือเหยาที่โทรมาหาเขา เขาใช้เวลาคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เอาอย่างนี้ได้ไหมคุณหลาง ให้เวลาผมได้คิดเรื่องนี้มากขึ้นอีกสักนิด แล้วเราจะมาคุยเรื่องนี้กันคราวหลัง ได้ไหม?”
“โอเคได้ ฉันคงไม่รบกวนคุณไปกว่านี้แล้วล่ะ เจอกันวันพรุ่งนี้นะ” หลางซือเหยาพูด
“ครับ คุณหลาง” เซี่ยเหล่ยวางสาย
เขาแค่พูดไปอย่างอยากจะรักษาน้ำใจเธอเท่านั้น เขาไม่เคยคิดอยากจะเป็นนักสู้อย่างจริงๆจังๆ
เซี่ยเหล่ยไม่ใช่คนแปลกหน้าในร้านน้ำชาซูชาน เขาได้ตามหลีชิงฮัวมาที่ร้านนี้และอัดวิดีโอการทำสัญญาอย่างประนีประนอมกับเขา และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ สายตามองทะลุการแก้ปัญหา
เซี่ยเหล่ยพบฉิงเสวียงในห้องส่วนตัวหลังจากเดินเข้าไปในรห้องโถง การแต่งกายของฉิงเสวียงทำให้เซี่ยเหล่ยพูดไม่ออก เขาสวมกางเกงทรงขากระบอกของผู้หญิงและสวมเสื้อยืดขาดๆ มองเห็นจุดสีชมพูจางๆบนหน้าอกแบนๆของเขา การแต่งตัวและการแต่งหน้าของเขาดูสวยยิ่งกว่าผู้หญิง แต่จริงๆแล้วก็ยังคงสังเกตได้ว่าเขาเป็นสาวประเภท 2 อยู่
เซี่ยเหล่ยหยุดใช้สายตามองทะลุจากตาซ้ายและเดินเข้าไปในห้องที่ฉิงเสวียงอยู่
ฉิงเสวียงมองไปยังกระเป๋าหนังในนูนที่เซี่ยเหล่ยถือมา “คุณเอาเงินมาจริงๆด้วย”
เซี่ยเหล่ยนั่งลงตรงข้ามกับฉิงเสวียงและวางกระเป๋าหนังไว้บนโต๊ะ
“คุณคิดมาดีแล้วหรือยัง? ถ้าผมรับเงินของคุณมาแล้วไม่ทำงานให้คุณ นั่นเท่ากับว่าเงินของคุณจะสูญเปล่าเลยนะ คุณรู้ใช่ไหม?” ฉิงเสวียงพูด
เซี่ยเหล่ยผลักเงินไปให้ฉิงเสวียงและพูดอย่างเฉยเมย “ผมสัญญาว่าจะเอาเงินมาให้คุณ 200,000 หยวน ผมไม่กลัวว่าคุณจะหลอกผมและผมคงไม่ให้เงินคุณแน่ถ้าไม่ใช่เพราะมันต้องใช้ในการรักษาแม่ของคุณ ถ้าคุณคิดจะหลอกผม ก็แค่รับเงินแล้วออกไปซะ ผมจะไม่ทำอะไรคุณเลย....”
ฉิงเสวียงดึงเชือกของกระเป๋าออกและมองเข้าไปด้านใน เขาไม่ได้พูดอะไรและถือกระเป๋าเดินตรงไปยังทางออก
เซี่ยเหล่ยเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะหันไปมองฉิงเสวียง
ฉิงเสวียงเดินไปถึงประตูออกจากห้องและทันใดนั้นก็หันกลับมา เขานั่งลงบนโซฟาด้วยรอยยิ้ม “คุณทำได้อย่างที่พูดจริงๆนะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมจะเอาเงินของคุณไปเพื่ออะไรล่ะ?”
“คุณคงจะเป็นคนที่โง่มากถ้าทำอย่างนั้น ผมกำลังช่วยคุณ ไม่ได้จะใช้คุณเป็นทาส” เซี่ยเหล่ยพูด
ฉิงเสวียงยิ้ม “คุณนี่เป็นคนดีจริงๆเลยนะ ขอบคุณสำหรับเงินนี้นะ มันสำคัญกับผมมากจริงๆ”
“เอามันไปใช้รักษาแม่ของคุณ เธอเป็นคนที่ต้องการใช้มันมากที่สุด” เซี่ยเหล่ยพูด
“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เงินนี่ใช้สำหรับรักษาชีวิตแม่ของผม ผมจะไม่เอาไปใช้เลยแม้แต่น้อย” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาใหม่ “ผมคิดถึงเรื่องนี้มาตลอดทั้งคืนและหาทางออกสำหรับมัน ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะช่วยคุณ คุณกำลังคิดจะทำอะไร?”
“ผมอยากรู้เรื่องของหล่าวฉี่มากขึ้น คุณบอกเรื่องนี้กับผมมาก่อน” เซี่ยเหล่ยพูด
“เขาเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลกู๋” ฉิงเสวียงพูด
เซี่ยเหล่ยรู้สึกระหลาดใจ เขาคิดว่าหล่าวฉี่ทำงานให้กู๋เค่อเหวินเพราะว่าเธอจ่ายค่าตอบแทนให้กับเขา แต่เซี่ยเหล่ยคาดไม่ถึงว่าหล่าวฉี่จะเกี่ยวข้องกับตระกูลกู๋แบบนี้
ฉิงเสวียงพูดต่อ “ถ้าจะพูดเกี่ยวกับหล่าวฉี่ คุณต้องเริ่มจากตระกูลกู๋ก่อน คุณรู้ใช่ไหมว่าตระกูลกู๋เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอิทธิพลที่สุดในชิงตู่ ? ตระกูลกู๋คุมทางฝั่งเหนือ ซึ่งมีมูลค่านับพันล้านและมีอาณาเขตกว้างขวาง สิ่งที่คุณไม่รู้ก็คือตระกูลกู๋แท้จริงแล้วเริ่มก่อตั้งขึ้นมาจากที่นี่ ในเมืองห่ายจู ปู่ของกู๋เค่อเหวิน กู๋ดิงชานก็เป็นคนนอกกฏหมายด้วยเหมือนกัน ไม่มีอะไรที่ใสสะอาดในตระกูลกู๋ ตระกูลนี้โหดเหี้ยมเสมอมา และไม่ว่าใครก็ตามที่ต่อต้านพวกเขาจะมีจุดจบที่เลวร้ายเสมอ...”
เซี่ยเหล่ยนึกถึงหลิวหยิง เธอเป็นหนึ่งในเหยื่อของการขยายเม็ดเงินของตระกูลกู๋ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงที่ร่ำรวยอย่างกู๋เค่อเหวินถึงต้องใช้วิธีการสกปรกแบบนี้ในการแย่งชิงสิทธิบัตรสินค้ารวมถึงบริษัทของหลิวหยิงด้วย แต่เขาก็เพิ่งเข้าใจตอนนี้เองหลังจากได้ยินฉิงเสวียงพูดว่า กู๋ดิงชานเป็นพวกนอกกฏหมาย ผู้ที่เหยียบซากศพของคู่แข่งเพื่อขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุด ลูกหลานของเขาจะเป็นคนดีไปได้ยังไง ?
ฉิงเสวียงยังคงพูดต่อไป “พ่อของหล่าวฉี่เป็นลูกน้องของ กู๋ดิงชาน และเขาตายหลังจากใช้ตัวเองบังกระสุนให้ กู๋ดิงชาน จากนั้นเป็นต้นมา หล่าวฉี่ก็กลายเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลกู๋และเป็นคนวิ่งทำธุระต่างๆให้กับพวกเขา ที่เมืองห่ายจูไม่มีใครกล้าดูถูกเขา เพราะเขามีตระกูลกู๋หนุนหลัง เขาจึงทำตัวกร่างที่นี่โดยการกดขี่และข่มเหงผู้อื่น”
“แล้วตำรวจสามารถทำอะไรเขาบ้างได้ไหม? เขาก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่นี่มาหลายปีแล้ว” เซี่ยเหล่ยพูด
ฉิงเสวียงยิ้มขำๆ “ตำรวจต้องมีหลักฐานในการจับกุม พวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะถ้าหากว่ามันไม่มีหลักฐาน? หล่าวฉี่เป็นคนเล่ห์เหลี่ยมจัด เขาไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายด้วยตัวเอง แต่กลับส่งลูกน้องไป เหมือนกับที่เขาข่มขู่ผม สาเหตุที่ผมต้องไปขโมยสิทธิบัตรของหลิวหยิงก็เป็นเพราะเขาสั่ง ผมจะกล้าบอกว่าเขาสั่งผมมาได้ยังไงถ้าเกิดผมถูกจับ?”
ดูเหมือนว่าหลายๆเรื่องที่หล่าวฉี่ทำจะเป็นคำสั่งมาจากตระกูลกู๋ เมื่อกู๋เค่อเหวินอยากจะทำเรื่องเลวร้ายบางอย่าง เธอจะใช้ให้หล่าวฉี่ทำแทน มันจึงไม่เคยเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับตัวเธอเลย
เซี่ยเหล่ยเงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เขาทำเรื่องสกปรกอะไรกับคุณ ?”
ฉิงเสวียงมองเซี่ยเหล่ยราวกับต้องการจะรอดูพฤติกรรมเขา
เซี่ยเหล่ยยิ้ม “ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันหรือยัง? คุณคงไม่บอกผมถ้าคุณไม่เชื่อใจผม”
ฉิงเสวียงถอนหายใจ “สำหรับผมคุณดีกว่าหล่าวฉี่” เขาหยุดก่อนจะพูดต่อ “ผมเป็นขโมย เมื่อสองปีก่อนผมปล้นร้านทอง และผมไม่รู้ว่ามันเป็นร้านของหล่าวฉี่ ผมถูกกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ได้ตอนขโมยของ และเขาสามารถตามหาตัวผมจนเจอได้แม้ว่าผมจะปิดบังหน้าเอาไว้ เขาไม่ได้ส่งผมให้กับตำรวจ แต่กลับให้สำเนาวิดีโออันนั้น และส่งผมให้ไปขโมยของที่เขาต้องการตั้งแต่นั้นมา”
“คุณเคยเป็นขโมย ทำไมคุณถึงไม่คิดจะขโมยวิดีโอนั้นล่ะ?”
ฉิงเสวียงยิ้มขำๆ “มันจะช่วยอะไรได้ล่ะ? เขารู้ว่าเป็นผม และเขาต้องส่งคนมาฆ่าผมแน่ การมีชีวิตอยู่โดยยอมให้เขาใช้งานย่อมดีกว่าตาย”
“เขาอยู่ที่ไหน?”
ฉิงเสวียงไม่พูดอะไร เขาหยิบกระดาษสำเนาบางอย่างออกมจากกระเป๋าสีฉูดฉาดและส่งมันให้เซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยเหลือบมองไปที่กระดาษ มันเป็นที่อยู่ของหล่าวฉี่ ชื่อของคนในครอบครัว อายุและตารางงานของบอดี้การ์ดบางคนถูเขียนไว้ในนั้น มันมีรายละเอียดค่อนข้างมาก
“คุณมีแผนจะจัดการเขายังไง?” ฉิงเสวียงลองหยั่งเชิงถาม
“ตอนนี้ผมยังไม่มีแผน ออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ ผมจะติดต่อคุณไปเองถ้าผมต้องการความช่วยเหลือ” เซี่ยเหล่ยหยิบกระดาษนั้นออกไปด้วย
“โอเค ผมจะไปโรงพยาบาลเพื่อจ่ายค่ารักษา ไว้เจอกัน” ฉิงเสวียงหยิบกระเป๋าหนังและเดินออกไป
เซี่ยเหล่ยยังคงนั่งอยู่ในห้องและครุ่นคิด
ถ้าหล่าวฉี่เป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลกู๋ หล่าวฉี่ก็ต้องมีอำนาจในระดับหนึ่ง แล้วจะไปสู้กับคนพวกนั้นได้ยังไง?
ติดตามตอนต่อไป...