Chapter 6 ระดมสมอง
Chapter 6 ระดมสมอง
ในปีนี้ Silver Wing Media ได้ส่งผู้เข้าประกวด 10คน 3คนมาจากเพื่อนร่วมชั้นของฝางเจียวคนก่อน พวกเขาเก่งกันมาก
ฝางเจียวไม่ได้สนใจผังนั้นมาก เขามุ่งที่จะแต่งเพลงอย่างเดียว
เขามีเวลาน้อยกว่า 10วัน เขาจะทำยังไง
ถ้าเขาแต่งเพลงลวกๆ แน่นอนเขาจะแพ้แน่ๆ
และถ้าเขาทำแบบนั้น จะไม่ใช่แค่แพ้แน่ๆ เขาจะถูกไล่ออกจาก Silver Wing
ซึ่งถ้าถูกไล่ออกก็จะมีประวัติที่ไม่ได้ในการหางานต่อๆไป
“การแข่งขันความสามารถครั้งใหม่”
ฝางเจียวได้ค้นหาข้อมูลจากความจำใหม่ของเขา ในช่วงในวันสิ้นโลกมันต่างกันมาก เขาต้องปรับตัว ก่อนที่เขาจะลงมือแต่งเพลงเขาต้องรู้ก่อนว่าคนฟังต้องการฟังอะไร
เพลงป็อบได้เปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น ต้องทนทุกข์จากเหตุวันสิ้นโลกและวิวัฒนาการไปเป็นร้อยปีจนถึงตอนนี้ รสนิยมที่นิยมกันก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ความหลายหลายของเครื่องมือต่างๆ ผู้คนคิดต่างกัน เพลงที่พวกเขาต้องการคือเพลงที่เกี่ยวกับเหตุการที่ผ่านมา
แม่ว่าฝางเจียวต้องการแต่งเพลงโดยสัญชาตญาณ เขาก็ไม่ได้ล้มเหลว เขาจะไม่กลายเป็นคนจรจัด
ศิลปินก็ยังเป็นคนธรรมดา พวกเขาก็ยังต้องการอะไรที่สนองตัวเองก่อนเหมือนกัน
“ใบมีดที่แหลมคมก็ไม่สามารถตัดไม้ได้” เมื่อพูดเสร็จ ฝางเจียวก็ไปนั่งในมุมห้องที่เขาทำงานหลับตาและทำสมาธิ
เขามีความคิด เขาหยิบสมุดออกมาจากลิ้นชัก
ในยุคที่ผู้คนชอบจดอะไรลงไปในกำไล แต่ฝางเจียวชอบที่จะจดลงกระดาษมากกว่า
สมุดเหล่านี้เป็นสมุดที่ฝางเจียวคนก่อนได้จดไว้ตั้งแต่ 6เดือนที่ผ่านมา ครึ่งแรกเป็นของการฝึกงานที่ Silver Wing Media และอีกครึ่งที่เหลือคือเพลงสำหรับการประกวด ซึ่งมีวันที่ระบุเห็นได้ชัดว่าเขาแต่งเพลงก่อนจะถึงช่วงวันประกวด
3เพลงที่เสร็จสมบูรณ์ถูกขีดฆ่าอย่างรุณแรง หลายหน้าถูกฉีกขาด นั่นทำให้เขารู้สึกผิดหวัง และโกรธมาก เมื่อเขาตระหนักได้ว่าเพลงทั้ง 3ถูกขโมยไป แต่ฝางเจียวคนก่อนก็ไม่ได้ทำลายสมุดทิ้งทั้งหมด เขานำไปเก็บไว้ในลิ้นชัก เพราะว่าเขาทนไม่ได้ที่จะทำลายผลงานของตัวเอง
ฝางเจียวได้ศึกษาทั้ง3เพลง 1ในนั้นมีเนื้อร้อง อีก2นั้นเป็นแค่ทำนองจังหวะ
โน้ตเพลงยังมีเพลงที่ยังเขียนไม่เสร็จขณะที่ฝางเจียวคนก่อนได้เลิกกับแฟนของเขา นอกจากนี้ยังมีรายงานบันทึกประจำวัน เขาอาจจะใช้เป็นเนื้อเพลง
ทำนองได้เสร็จแล้ว ฝางเจียวคนก่อนได้วางแผนว่าจะใช้ทรัพยากรทางบริษัทในการบันทึกเพลงของเขา แต่เขาก็มารู้ทีหลังว่าผลงานของเขาได้ถูกขโมยไปเสียก่อน เขาจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ฝางเจียวได้ศึกษาเพลงที่ยังแต่งไม่สมบูรณ์อย่างรอบคอบ และได้วงกลมด้วยนิ้ว “นี่ไง”
พัดลมที่อยู่ตรงนั้นเป็นประจำ และเปียโนคีย์บอดที่ทำให้รู้สึกว่าทำงานได้ดี นี่คือสิ่งที่ฝางเจียวคนก่อนได้แต่งไว้ ถึงมันจะไม่เยี่ยมมาก แต่มันก็ใช้ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ฝางเจียวเล่นคีย์บอดครั้งแรกหลังจากเขาฟื้นคืนชีพ ตอนแรกก็ฝืดๆหน่อย แต่หลังจากนั้นมันก็ไพเราะขึ้น
ฝางเจียวเล่นไปแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ส่วนของเพลงที่ยังไม่สมบูรณ์ ฝางเจียวจำได้ว่าจะเล่นพวกมันทั้งหมดหลังจากการประกวด นี่มันคือสมบัติทั้งหมดที่อยู่ในความทรงจำของเขา อัญมณีที่เปร่งที่ดึงเขาออกมาจากวันที่ยากลำบากในช่วงวันหายนะ สักวันฝางเจียว้องการจะเล่นพวกมันทั้งหมดให้แก่ทั้งโลกฟัง
หลังจากที่เขาเล่นคีย์บอดเสร็จ และนั่งรวบรวมความทรงจำของเขา ฝางเจียวเริ่มรู้สึกได้
ว่าเขาอยากจะสัมผัสว่าฝางเจียวคนก่อนรู้สึกยังไงตอนกำลังแต่งเพลง เขาจะสามารถแต่งเพลงให้เสร็จได้ถ้าเขากำลังรู้สึกแบบเดียวกัน
ในแต่ละวันต่อมา ฝางเจียวไม่ได้ออกจากตึกเลยนอกจากไปรับแดดตอนกลางวันและไปซื้ออาหารจากร้านยูชิง หน้าต่างไม่สามารถที่จะปิดและป้องกันเสียงจากถนนสำดำที่ครึกครื้นได้
เสียงได้รบกวนฝางเจียวมากในสองคืนแรก มันทำให้เขานอนไม่หลับแต่ฝางเจียวก็ได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วมากซึ่งเป็นทักษะของผู้คนในวันหายนะ
อยู่มาวันหนึ่งยูชิงได้ลากเก้าอี้กลับเข้ามาในร้านหลังจากอาบแดดตอนกลางเย็น แม้ว่าอากาศจะร้อนขึ้น –บางคนก็อาบแดดและเอาผ้ามาบังหน้าไว้ – ชาวถนนสีดำก็ยังรักช่วงเวลานี้ ก่อนที่เขาจะเดินเขาไปในร้านเขาก็มองมาที่ตึกและเห็นฝางเจียวเดินเล่นอยู่กับสุนัขที่ไร้ขนของเขา
“ไอเด็กนั่นมันดูยุ่งเนอะ” ยูชิงพูดคนเดียว
ในเดือนมิถุนายน การแข่งขันได้อยู่ในจุดที่ดุเดือด บริษัทมากมายต่างก็พูดถึงการแข่งขันว่าใครจะติดท้อป10รวมถึงบริษัทที่ส่งผู้เข้าประกวดด้วย
Silver Wing ได้รับการสนใจเป็นอย่างมาก สวนดูเหว่งก็เครียดมากเกี่ยวกับ ด้านหนึ่งเขาก็ต้องต่อรองกับเจ้านาย อีกด้านหนึ่งเขาก็ต้องคอยดูเด็กฝึกงานของเขา เขาไม่สามารถจะผ่อนคลายได้
ดูเหว่งสามารถทำตามขั้นตอนมาตรฐานได้อย่างปกติตั้งแต่ปีที่ผ่านมา: รับบทเป็นผู้ประพันธ์เพลงผู้ผลิตโปรดิวเซอร์บันทึกเพลงปล่อยเพลงและโปรโมตเพลง ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือรอได้รับคำสั่งและทีมของเขาจะทำมัน แต่ปีนี้ผู้บังคับบัญชามีวาระการประชุมที่แตกต่างกันซึ่ง สามารถบอกได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาได้คัดเลือกเป็น 10 คน ควรจะใช้เวลาแค่สามหรือสี่ปี แต่ในปีนี้พวกเขาได้ขยายหลักสูตรไปเป็น 10 คนแต่ใช้เวลาแค่นิดเดียว
ดูเหว่งก็เคยได้ยินที่เจ้านายได้ตัดสินใจว่าถ้าทั้ง 10 คนทำได้ดีถ้าพวกเขาสามารถติดท้อป 50ได้ทุกคนจะได้เป็นพนักงานเต็มตัว ไม่มีใครสามารถห้ามปรามเขาจากความรู้สึกที่บริษัทได้เดิมพันไว้ได้
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความกดดัน ดูเหว่งหมดความสนใจจากทุกรายละเอียด แต่ตัวแทนเช่นเขาดูแลคนที่มาใหม่ได้ง่ายโดยเปรียบเทียบ
แต่ถ้าคิดดูแล้ว 10คนที่เขาส่งชื่อไปนั้นมีแค่ฝางเจียวคนเดียวที่ยังไม่มีเพลง นั่นมันทำให้ดูเหว่งเครียดมากดูเหว่งถอนหายใจ “มันยากมากที่จะนำผู้คน”
แม้จะมีแรงกดดันมากมายแต่เขาก็ยังเวลาถึง 10วันสำหรับเด็กๆใหม่ ถึงยังไงก็ตามเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเด็กฝึกงานพวกนี้จะผ่านพ้นไปได้หรือไม่ ถ้าพวกเขายังไม่สามารถมีอะไรมาให้ได้ใน 10วันเขาคงต้องไล่ออกอย่างเดียว
ดูเหว่งได้ไปดูผังผู้เข้าแข่งขันอีกครั้งและมองไปที่สองอันดับแรก ตาของเขาก็ลุกเป็นไฟ
เขานี่โง่จริงๆ
ที่หนึ่งเป้นของผู้มาใหม่ ส่วนอันดับสองยังเป็นเหมือนเดิมมาทั้งอาทิตย์ คะแนนของพวกเขาสูงมาก แต่ถ้าคะแนนของพวกเขาไม่สูงแบบนี้เขาคงไม่ยอมแพ้ที่จะผลักดันเด็กของเขาขึ้นไป
ในผังการแข่งขัน
ที่1:“Believe me แต่งโดยซูเหว่ยเรียบเรียงโดยซูเหว่ย ส่งเข้าประกวดโดย Tongshan True Entertainment”
ที่2:“Rainbow candy แต่งโดยเฟ่ยหลีเรียบเรียงโดยเฟ่ยหลี ส่งเข้าประกวดโดย Neon Culture”
ทั้งสองนี้ถูกแต่งและถูกเรียบเรียงโดยคนคนเดียวกัน พวกเขาต้องมีพรสวรรค์มากเลยใช่มั้ย?
ไม่
นักดนตรีที่อยู่เบื้องหลังเพลงทั้งสองนั้นมีความสามารถมาก แต่เพลงเหล่านี้ก็มีอิทธิพลจากไอดอลเสมือนจริง
ถ้าพวกเขาใช้ไอดอลจริงก็ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย
แต่ไอดอลเสมือนจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง และยังได้รับเงินทุนมากมาย
อะไรคือความเท่าเทียมของผู้เข้าแข่งขันหน้าใหม่ๆ?
บริษัทใหญ่ๆที่มีเงินทุนก็สามารถใช้ไอดอลเสมือนจริงได้ สำหรับคนอื่นก็ทำได้แค่ฝัน มันไม่ใช่อันดับจริงๆของเพลงเลยเพราะมันใช้ไอดอลเสมือนจริงมาโปรโมท และSilver Wing ก็ไม่สามารถจะเอาชนะเขาทั้งสองได้เพราะว่าต้องการประหยัดทุนไม่อยากฟุ่มเฟือย ผู้เบื้องบนเลยยอมแพ้ให้กับสองอันดับนี้แล้ว
ไอดอลเสมือนจริงก็เหมือนบัคของระบบอย่างที่ผ่านๆมาในทุกๆปี ทุกๆครั้งที่มีไอดอลเสมือนจริงมาโปรโมทเพลงให้ เพลงของพวกเขาก็นำโด่งแบบคนอื่นตามไม่ทันเลย
ผู้บริหารอาวุโสของ Silver Wing ก็เคยไปคุยกับสมาคมการค้าโลกว่าไม่ให้ใช้ไอดอลเสมือนจริงในการโปรโมท แต่พวกเขาก็ปฎิเสธมา
แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ไม่รู้จักอาจสงสัยว่า “ถ้าสามบริษัทใหญ่เปิดตัวด้วยไอดอลเสมือนจริง จะเกิดอะไรขึ้นกับ Silver Wing Media?”
แต่คนที่เข้าใจในพื้นฐานของวงการเพลงจะเข้าใจดีว่าไอดอลเสมือนจริงเปรียบเสมือนส้นสูงที่เมื่อมีเมื่อไหร่จะก้าวกระโดดทันที
บริษัทที่ได้ใช้ไอดอลเสมือนจริงช่วยแต่ผลงานเพลงไม่ดีเลยพวกเขาก็จะถูกเยาะเย้ยและต้องหลบหน้าหลบตาไปจากวงการ
ผู้บริหาร Silver Wing Media หวังว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ต่างออกไป พวกเขารู้ถึงความสยดสยองของการใช้ไอดอลเสมือนจริงพวกเขาจึงไม่สนใจที่จะใช้
โครงการสร้างผลตอบแทนเกือบเป็นศูนย์ผู้บริหารอันดับสูงของ Silver Wing Media คิดว่า Tongshan True Entertainment และ Neon Culture ใช้ไอดอลเสมือนจริงก็เพราะว่าจะกลบเกลื่อนบาดแผลของพวกเขาที่สูญเสียผู้มาใหม่เก่งๆไป
ตอนนี้ทางบริษัทได้ล้มเลิกความคิดที่จะใช้ไอดอลเสมือนจริงไป และหันมาสนใจไอดอลธรรมดาแทน การจะล้มสองอันดับแรกได้มันยากที่จะทำ พวกเขาก็ได้แต่หวังว่าจะติดท้อป10 ถ้าดูเหว่งสามารถทำให้ 3คนขึ้นท้อป10ได้ เขาจะได้รับเงินเดือนสองเท่าและถ้าเขาทำให้ติดได้ถึง 4คนเขาจะได้รับการเลื่อนขั้น
ไม่ว่าจะมีแรงจูงใจอะไรหรือไม่ดูเหว่งก็จริงจังกับงานเสมอ
มีกี่อันดับที่เขาสามารถจะทำได้ในท้อป10?
ขณะที่เขากำลังคิด ก็มีเสียงเรียกข้อความเข้ามาทางกำไลของเขา
เขาเปิดดูมันคือตัวอย่างของเพลงของ ฝางเจียว
“ว้าว นั่นมันเร็วมากเลย” ดูเหว่งรู้สึกหายกังวลใจ
ไม่ว่าคุณภาพจะเป็นอย่างไรแต่ฝางเจียวก็แต่งเพลงด้วยตัวเองมาตลอด การได้รับตัวอย่างมานั้นหมายความว่าทั้ง 10คนที่ดูเหว่งส่งไปได้ทำการส่งเพลงของแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว ดูเหว่งใกล้จะสำเร็จงานในส่วนของเขาแล้ว