บทที่ 2 เรื่องเล่าแห่งยุคเปลวอัคคี!
ซ่งหยูตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้ยินว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน เพราะนอกจากเขาแล้วก็มีเพียงโครงกระดูกประหลาดนั่น!!!
หรือว่ามันอาจจะเป็น….
แม้แต่คนที่กล้าหาญเช่นเขายังอดที่จะหวาดกลัวต่อสิ่งที่ได้ยินจนหน้าซีดเผือด และร่างกายเขาก็เริ่มสั่นเทิ้ม....
"เจ้ากำลังมองหาข้าอยู่หรือ??? ข้าอยู่ตรงนี้!! เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง "ข้าถามเจ้าว่าที่นี่มันที่ไหนกัน?"
ซ่งหยูจ้องมองที่โคมไฟประหลาดในมือของเขา และเขาก็รู้สึกว่าเสียงนั่นมันออกมาจากโคมไฟนั่นเอง!!! และเหมือนกับว่ามันนำลังพูดกับเขาอยู่....
กับสิ่งที่เขาพบเจอทั้งนกยักษ์สีทองสี่ปีก เจ้างูหลามยักษ์ที่ล้วนถูกกลืนกินด้วยไอมารสลายวิญญาณนั้นก็ถือว่าอัศจรรย์มากสำหรับเขาแล้ว แต่ทว่ายังไม่เท่ากับความแปลกประหลาดของโคมไฟที่กำลังพูดไกับเขาอยู่.......
"ข้าไม่นึกเลยว่ายุคสมัยของข้าจะเปลี่ยนแปลงมานานถึงเพียงนี้!!"จากคำพูดที่ออกมาจากโคมไฟดูเหมือนจะเศร้า ๆ
"ทะ..ท่านคือใครกันแน่? ท่านพูดกับข้างั้นรึ?ซ่งอยู่กล่าวถามด้วยความฉงน
ซ่งหยูงุนงงและจ้องไปที่โคมไฟ เขามองไม่เห็นสิ่งผิดปกติภายในโคมไฟนั่นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเปลวไฟที่ส่องแสงอยู่เรืองๆ สูงเพียงแค่คืบ เขาแทบดูไม่ออกว่าเสียงมันออกมาจากได้อย่างไรกัน?
ทันใดนั้น!!! ดวงตาของซ่งหยูก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าของเขา เขามองจ้องไปในเปลวไฟ แต่ทว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือ เด็กประหลาดที่มีขนาดศรีษะที่ใหญ่กว่าปกติมากคล้ายกับตุ๊กตา!!
เด็กประหลาดมีขนาดศรีษะที่ใหญ่ เนื้อตัวมีผิวสีขาวซีด และสวมอาภรณ์ที่มีสีเหลืองทองอย่างประณีต ผมของเขาเป็นสีแดงเสมือนเปลวไฟ!!
ในโลกใบนี้จะมีสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเช่นนี้จริงหรือ??
ซ่งหยูกระพริบตาไล่ความงุนงง และจ้องมองเด็กประหลาดที่อยู่ในโคมไฟ และมันก็จ้องมองตอบกลับด้วยสายตาที่ขุ่นเคือง ด้วยเหตุที่เขาจ้องมองมันอย่างตัวประหลาด
"ท่านเป็นใคร? แล้วท่านมาจากไหนกันแน่? ซ่งหยูกล่าวถาม
"ข้ามาจากยุคจักรพรรดิสุย!!!"
เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ใหญ่ก็หัวเราะขึ้นมา"ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! หรือท่านกำลังหมายถึงจักรพรรดิในตำนานเช่นนั้นหรือ??
จักรพรรดิในตำนานเป็นผู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นผู้ที่จะหาใครเทียบเทียมได้ไม่ เพราะเขาเป็นทั้งจักรพรรดิแห่งสวรรค์และโลกที่ยิ่งใหญ่ และน่าหวั่นเกรง และเขามาจากยุคไหนกันแน่??
แต่หากกล่าวถึงซ่งหยูแล้วนั้นเขาไม่ได้เป็นมาจากชนเผ่าสวรรค์ แต่เป็นเพียงชนเเผ่ามนุษย์ธรรมดาเท่านั้น แล้วเหตุใดเล่าที่เขาต้องมาประสบพบเจอกับเรื่องที่เหลือเชื่อ และน่าอัศจรรย์เช่นนี้
"หาใช่ไม่!!! " เด็กประหลาดตอบกลับอย่างทันควัน
เด็กประหลาดที่อยู่ในโคมไฟกระโจนขึ้นมาตามแปลวเพลิง และกล่าวว่า "ผิดแล้ว!!! จักรพรรดิสวรรค์เป็นตำแหน่งที่ได้รับการสืบทอดทางเชื้อสายหาใช่ชื่อไม่!!! หากแต่หมายถึงจักรรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ และก่อนที่ข้าจะจมลงสู่ห้วงเหวอเวจีแห่งความมืดมิดนี้ก็ได้ล่วงเลยมาถึง 9 รัชสมัยมาแล้ว พระองค์แรกได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิสวรรค์เป็นระยะเวลาแปดหมื่นปี
จากนั้นก็เปลี่ยนรัชสมัยที่ 2 เป็นจักรพรรดิสวรรค์ได้ครองราชบัลลังก์นานถึงหนึ่งหมื่นห้าพันปี และรัชสมัยที่ได้รับสืบทอดต่อมาคือ จักรพรรดิฉีอี้ แล้วรัชสมัยถัดมาคือ ไทเฮาเฉาอี้ และได้เปลี่ยนแปลงรัชสมัยมาเรื่อยๆ จนถึงรัชสมัยสุดท้ายคือ จักรพรรดิซีห่าว!!!"
ซ่งหยูตกตะลึงหลังจากได้ยินคำกล่าวนี้ เขาเพียงเคยได้ยินเรื่องราวมาจากนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้าว่า ตามตำนานแล้วจักรพรรดิแห่งสวรรค์ในสมัยโบราณนั้นมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่แปลกที่เจ้าเด็กประหลาดในโคมไฟนี้ กลับกล่าวว่ามีถึงเก้าพระองค์ด้วยกันเช่นนั้นหรือ???
เด็กประหลาดที่อยู่ในโคมไฟกล่าวถามว่า "นี่ข้าหลับมานานแค่ไหนแล้ว??และข้าก็มิล่วงรู้เลยว่า ณ ตอนนี้จักรพรรดิสวรรค์เป็นเช่นไร? เขาเป็นผู้สืบเชื้อสายจักรพรรดิสวรรค์ แต่ดังที่เจ้ากล่าวมานั้นว่าเจ้ามาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในบรรดาเชื้อสายนับหมื่นเผ่าพันธุ์ แต่เหตุใดเล่าข้าจึงหาได้เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนไม่???"
เด็กประหลาดกระโจนออกมาจากโคมไฟไปเกาะที่แขนของซ่งหยู ขณะที่มันเดินไต่ไปบนไหล่ของเขา ซึ่ง ทำให้เขารู้สึกแสบร้อนที่ผิวหนังจากการเผาไหม้เป็นอย่างมาก และกล่าวกับซ่งหยูว่า"ช่วงเวลาที่ข้าหลับไหลไปนั้นมันคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก!! และ ณ วันเวลานี้ได้ล่วงเลยมานานเท่าใดแล้ว?
ซ่งหยูตอบกลับว่า" ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าของตำนานว่าช่วงเวลาของจักรพรรดิซีห่าวนั้นได้ผ่านพ้นมาหลายพันปีแล้ว ณ ตอนนี้ข้าอยู่ในยุคของจักรพรรดิมนุษย์.....แล้วท่านมาจากยุคใดกันแน่??"
ซ่งหยูยืนเกาหัวแกร๊กๆ ด้วยความสับสนกับคำกล่าวของเด็กประหลาดจากโคมไฟนั่น....แล้วมันก็กล่าวขึ้นว่า "ข้ามีนามว่าซินหวง!!! อยู่ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิสุย....เอาล่ะเจ้าจงลืมเรื่องนี้เสีย! ในเมื่อเจ้าไม่เคยล่วงรู้เสียด้วยซ้ำว่าจักรพรรดิสวรรค์คือใคร ก็ไร้ประโยชน์ที่ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง หากข้าต้องการให้เจ้าช่วยพาข้าออกไปจากที่นี่จะได้หรือไม่?? ข้าต้องการหาผู้สืบทอดคนใหม่ แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม!!!
หลังจากกล่าวจบเจ้าเด็กประหลาดนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซ่งหยูยืนงงงวยและมองไปรอบๆ แต่แล้วเขากลับได้ยินเสียงเด็กประหลาดที่ชื่อว่าซินหวงแว่วเข้ามาในส่วนหนึ่งของโสตปราสาทหู
"นี่คือการปลูกจิตวิญญาณที่เจ้าฝึกมางั้นรึ? มันเป็นหนึ่งในหนึ่งในการฝึกของชนเผ่าสวรรค์มันเป็นเทคนิคการบ่มเพาะแบบดั้งเดิมแล้วมันก็สูญหายไปพร้อมกับเผ่าสวรรค์ เจ้าลองตั้งสมาธิให้จงมั่และมองไปรอบๆ ข้าอยู่ในห้วงมหาสมุทรแห่งจิตของเจ้า หากเจ้าสามารถเข้าไปยังจิตของตนได้แล้วไซร้ เจ้าจงมุ่งไปที่จิตของเจ้า และจินตนาการถึงมหาสมุทรที่ซ่อนอยู่ระหว่างคิ้วของเจ้า แล้วเมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถมองเห็นข้าได้ ข้าจะสอนเจ้า!!!"
"ห้วงมหาสมุทรแห่งจิตเช่นนั้นหรือ? ข้าเป็นเพียงแค่ศิษย์นอกหาได้บรรลุถึงขั้นนั้นไม่! แล้วข้าจะเห็นมันได้อย่างไรกัน?
ซ่งหยูเคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่เจ้าเด็กซินหวงกล่าว เขาจึงทดลองทำตามคำชี้แนะ และทันใดนั้น!!!
เขาได้มองเห็นตนเองอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน และแล้วเขาก็ลอยตัวอยู่ในทะเลสาบแห่งหนึ่ง!
ซึ่งมันมีความชัดเจนมากราวกับว่าเขาได้ไปอยู่ ณ สถานที่นั้นจริงๆ และมีประตูดาบลอยอยู่เหนือทะเลสาบแห่งนั้น ประตูนี้มีรูปร่างเหมือนดาบ แบ่งออกเป็นสองส่วน
ซ่งหยูถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเองได้เห็น ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นมหาสมุทรแห่งจิตของตนเองได้จริงๆ!
เขาไม่เคยเห็นมหาสมุทรแห่งจิตด้วยดวงตาของตัวเองมาก่อน แม้หลายปีหลังจากการบ่มเพาะ และสร้างความแข็งแกร่งแก่ร่างกายนั้น เหตุผลหลักก็คือเขายังไม่อยู่ในระดับนั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าจากคำชี้แนะของเจ้าเด็กซินหวงแล้วนั้นเขาจะสามารถทำเสำเร็จได้ทันที!
ด้วยการฝึกบ่มเพาะแค่ระดับพื้นฐานของเขานั้นคงไม่มีใครเชื่อหากได้ล่วงรู้ถึงความสำเร็จถึงเพียงนี้
เจ้าเด็กซินหวงบินวนไปรอบๆ เสมือนเปลวไฟขนาดเล็กอยู่ด้านหน้าของซ่งหยู และภายในห้วงมหาสมุทรแห่งจิตนั้นเขาได้กล่าวว่า
"แสดงว่าประตูดาบแห่งนี้มันเป็นวิธีการที่เจ้าใช้ในการปลูกฝังแห่งจิตวิญญาณของเจ้าใช่หรือไม่? ช่างน่าเสียใจที่เจ้าหาได้มีเทคนิคการบ่มเพาะที่ถูกต้องและเหมาะสมไม่!! แม้เจ้าจะใช้ระยะเวลาหลายปี แต่มีเพียงแค่ระดับพื้นฐานเท่านั้นเองหรือ? หากแต่ห้วงมหาสมุทรแห่งจิตของเจ้านั้นยังมีขนาดเล็กอยู่มาก นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำมาก!"
ใบหน้าซ่งหยูแดงขึ้นด้วยความละแก่อายใจและแย้งขึ้นว่า " แม้ว่าข้าจะได้ฝึกบ่มเพาะแค่ระดับพื้นฐานจากนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้าเท่านั้น แต่สำหรับข้าแล้วมันเป็นเทคนิคการบ่มเพาะที่ข้าสามารถสำเร็จมันได้!"
การจะฝึกการบ่มเพาะถึงขั้นสูงสุดได้นั้น จะต้องปลูกฝังจิตวิญญาณของผู้ฝึกเสียก่อน สำหรับนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้น ศิษย์นอกจะได้รับการฝึกฝนอย่างเท่าเทียมกัน และได้รับการปลูกฝังจิตวิญญาณด้วยกันทุกคน
การฝึกฝนเทคนิคการปลูกจิตวิญญาณนี้จะก่อให้เกิดประตูดาบในมหาสมุทรแห่งจิต ตราบเท่าที่จิตวิญญาณของผู้ฝึกหัด จะสามารถหลุดออกจากประตูดาบนี้ได้ แล้วจิตวิญญาณของผู้นั้นจะหลุดออกจากร่างของผู้ฝึกหัดได้!
นั่นคือเทคนิคการปลูกจิตวิญญาณที่ดีที่สุด!!
เจ้าเด็กซินหวงหัวเราะและกล่าวว่า
"ผิดแล้ววว!!! เทคนิคการปลูกจิตวิญญาณเช่นนี้นั้นไร้ประโยชน์ยิ่งนัก... เจ้าจะมิสามารถล่วงรู้เลยว่าจิตวิญญาณของเจ้านั้นกระจายไปในทิศทางใด หากแต่เมื่อถูกแรงลมพัด และหากโดนกับแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างมันก็จะสลายกลายเป็นขี้เถ้าในที่สุด!!! จิตวิญญาณประเภทนี้นั้นอ่อนแอที่สุด มันจะละลายกับธาตุน้ำ และมอดไหม้เป็นขี้เถ้ากับธาตุไฟ และจะกลายเป็นหินเมื่อสัมผัสกับดิน มันอันตรายมาก......เทคนิคการปลูกจิตวิญญาณแท้จริงแล้วนั้นจะเทียบเท่ากับการมองเห็นความเป็นจริงของสวรรค์ การขยายจิตวิญญาณให้ทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ และดำดิ่งลงปฐพี ไม่กระจายไปในสายลม หลุดพ้นภายใต้แสง ไม่หวั่นไหวแม้โดนสายฟ้าฟาด ไม่ละลายธาตุน้ำ หากถูกเผาด้วยไฟย่อมมิได้แปรเปลี่ยนเป็นหิน และด้วยเหตุผลเหล่านี้เท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการปลูกฝังจิตวิญญาณอย่างแท้จริง!!!"
ซ่งหยูครุ่นคิดเล็กน้อย ที่เจ้าเด็กซินหวงนั้นกล่าวมาก็นับว่าถูกต้อง เหล่าศิษย์นอกที่สำเร็จการบ่มเพาะแล้วนั้น เมื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณเพื่อออกจากร่างนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ต้องทำในภายในห้องโถงไร้เมฆเท่านั้น ซึ่งไม่ได้สัมผัสกับท้องฟ้าด้านบน และไม่ได้สัมผัสพื้นปฐพีด้านล่าง หรือวัตถุใดๆ ในห้าองค์ประกอบ มิฉะนั้นจิตวิญญาณอาจจะกระจายตัว และหากสัมผัสกับองค์ประกอบห้าอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วไซร้ มันอันตรายมากถึงขั้นจะสลายกลายเป็นจุล!
"แล้วท่านมีเทคนิคการปลูกจิตวิญญาณที่แท้จริงเช่นไร? ซ่งหยูกล่าวถาม
"ใช่! ข้าจะสอนเจ้า..." เจ้าเด็กซินหวงนั่งลงบนไหล่ของเขา และกล่าวว่า "นับว่าเรามีวาสนาต่อกัน ตามเหตุผลแล้วนั้นเจ้าควรจะเป็นผู้สืบทอดของข้าคนต่อไป แต่น่าเสียดายด้วยสายเลือดของเจ้านั้นแตกต่างกับข้ายิ่งนัก เช่นนั้นแล้วเจ้าหาควรเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ไม่ ดังนั้นเจ้าจงช่วยข้าเสาะหาผู้ที่มีเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าสวรรค์ แล้วข้าจะสอนเทคนิคการปลูกจิตวิญญาณที่แท้จริงให้กับเจ้า หากแต่เมื่อจิตวิญญาณของเจ้านั้นแข็งแกร่งขึ้น และเมื่อนั้นเจ้าอาจจะสามารถไขภาพพระราชวังเปลวอัคคีแห่งจักรพรรดิสุยได้ไม่มากก็น้อย"
"ข้าเองก็มิได้มาจากเผ่าสวรรค์ แม้แต่ผู้คนรอบตัวข้าก็มิใช่เผ่าสวรรค์เสียทั้งหมด"
ซ่งหยูยืนเกาศรีษะแกร๊กๆ แล้วกล่าวถามว่า "แล้วผู้ที่มาจากเผ่ามนุษย์จะสามารถไขภาพพระราชวังเปลวอัคคีแห่งยุคจักรพรรดิสุยได้หรือไม่??
เจ้าเด็กซินหวงหัวเราะ "หากแม้ว่าข้ามิอาจล่วงรู้ได้ว่าชนเผ่าสวรรค์นั้นล่มสลายไปในยุคใด หากแต่ถ้าเจ้าเป็นหนึ่งในเผ่าสวรรค์จริงๆ แล้วนั้นเจ้าจะสามารถไขภาพพระราชวังเปลวอัคคีแห่งยุคจักรพรรดิสุยได้เช่นกัน"
ซ่งหยูต้องยอมรับว่าภายในห้วงแห่งจิตในการไขภาพพระราชวังเปลวอัคคีแห่งยุคจักรพรรดิสุยนั้นเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับเขา ส่วนการฝึกมหาสมุทรแห่งจิตนั้นเป็นจุดสิ้นสุดของการรวบรวมจิตที่ยิ่งใหญ่กว่า และการมองเห็นภาพก็ง่ายกว่ามาก"
การสร้างภาพประตูดาบในห้วงแห่งจิตนั้น ต้องใช้ดาบเพื่อตัดความเชื่อมโยงระหว่างจิตวิญญาณและร่างกายเพื่อให้จิตวิญญาณสามารถปลดปล่อยได้ แต่ด้วยวิธีนี้จะทำให้เป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ทั้งในจิตใจและร่างกายในเวลาเดียวกัน
ในทางตรงกันข้ามการที่จะไขภาพพระราชวังเปลวอัคคีแห่งจักรพรรดิสุยได้นั้น การกลั่นจิตและบำรุงจิตวิญญาณ เมื่อจิตวิญญาณแข็งแรงพอ มันจะปลดปล่อยตัวเองออกจากร่างกาย และนอกจากนี้เมื่อจิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวภัยอันตรายจากภายนอกที่จะย่างกรายเข้ามาได้
"มหาสมุทรแห่งจิตนั้น คือ การที่รวบรวมจิตของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น แล้วจิตภายในของเจ้าก็จะกว้างใหญ่ขึ้น และจะง่ายต่อการเห็นภาพได้ชัดเจน"
เจ้าเด็กซินหวงที่ยืนอยู่บนไหล่ของซ่งหยูนั้น ด้วยแววตาของเขาเมื่อกระพริบมันจะส่องแสงที่เฉิดฉายดูงดงามไม่น้อยเลยที่เดียวเขากล่าวว่า" สมัยจักรพรรดิสุยนั้นนับเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งพระราชวังเปลวอัคคี เขาเป็นที่รู้จักในฐานะจักรพรรดิสวรรค์ เขาเป็นผู้บุกเบิกยุคแห่งเปลวเพลิง และมีการเปลี่ยน
รัชสมัยถึงสามสิบสองพระองค์ เพื่อจะให้มองเห็นภาพของจักรพรรดิสวรรค์ที่ปกครองกว่าหมื่นเผ่าพันธุ์ และเป็นผู้สร้างยุคใหม่!!! เจ้าลองจินตนาการว่าหากเจ้าเป็นองค์จักรพรรดิสุย และปกครองดินแดนแห่งเปลวอัคคีนั้นดู"
ซ่งหยูเพ่งมองภาพอย่างจดจ่อ และมันถูกสร้างขึ้นแบบสามมิติ มิติแรกคือ จักรพรรดิสุยนั้นมีศรีษะเป็นมังกร ร่างกายเป็นมนุษย์ และหางเป็นงู ศรีษะที่เป็นมังกรนั้นมีเกล็ดที่เต็มไปด้วยลวดลาย และอักขระโบราณคล้ายกับคำภีร์ต่างไปทั่วร่างซึ่งยากนักที่จะเข้าถึงได้
นี่เป็นเพียงแค่มิติแรกก็ยากนักที่จะเข้าใจ หากแต่จะต้องใช้เทคนิคการบ่มเพาะสร้างจิตวิญญาณของตนเองผูกติดกับจิตวิญญาณของจักรพรรดิสุย ซึ่งเป็นผู้สร้างแห่งยุคเปลวอัคคีซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิสวรรค์อย่างแท้จริง!!!
มิติที่สอง คือพระราชวังเปลวอัคคีซึ่งเป็นพระราชวังของจักรพรรดิสวรรค์ เจ้าเด็กซินหวงฉายภาพพระราชวังเปลวอัคคี อย่างช้าๆ แต่ก็ยังคงความซับซ้อนที่ไม่เท่ากัน สำหรับพระราชวังอันงดงาม และเป็นนิรันดร์แห่งนี้ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะไขภาพเหล่านั้นได้เข้าใจ
มิติที่สามนั้นคือ ต้นไม้เพลิง ที่อยู่ด้านหน้าของพระราชวังเปลวอัคคี โดยพระราชวังอยู่บนยอดเขาที่มีขนาดใหญ่ และสูงมากจนไม่สามารถเข้าถึงได้โดยคนธรรมดา มีเมฆและหมอกหนาปกคลุมไปทั่วพระราชวังและต้นไม้เพลิง และมีนกขนาดใหญ่หน้าตาแปลกประหลาดเกาะอยู่บนต้นไม้เพลิง
ซึ่งลักษณะของใบไม้ของต้นไม้เพลิงนั้นแตกต่างจากต้นไม้ทั่วไป ซึ่งมันยากมากที่จะมองเห็นภาพของรายละเอียดทั้งหมด และความยากลำบากของภาพพระราชวังเพลิงอัคคีนั้นยากยิ่งกว่าภาพของประตูดาบยิ่งนัก
ซึ่งระดับความยากและซับซ้อนมันยากกว่าภาพของประตูดาบนับหมื่นเท่าเลยก็ว่าได้!!!
ซ่งหยูได้ศึกษาภาพอย่างถี่ถ้วน เขาคิดในใจว่า"ข้าคงไม่สามารถที่จะมองเห็นทุกรายละเอียดของภาพได้เป็นแน่ วิธีเดียวที่จะไขภาพได้ก็คือ จินตนาการถึงลักษณะนิสัยส่วนตัวของจักรพรรดิสุย, ความสูงตระหง่านของพระราชวังเปลวอัคคี และต้นไม้เพลิงอันน่าสะพรึง ข้าจะต้องเข้าถึงจิตวิญญาณของทั้งสามองค์ประกอบเข้าด้วยกัน และนั่นน่าจะเป็นวิธีเดียวที่จะเข้าถึงทั้งสามองค์ประกอบทุกอย่างได้"
ในขณะที่เขาหลับตาลงทำสมาธิจินตนาการว่าตนเองเป็นจักรพรรดิสุยพำนักอยู่ในพระราชวังเปลวอัคคีนั้น
ขณะนี้มหาสมุทรแห่งจิตของเขาก็เกิดสั่นสะเทือน และเป็นคลื่นจิตวิญญาณของซ่งหยูที่เริ่มใหญ่ขึ้น
ทันใดนั้น!!! และขาทั้งสองข้างของเขาหายไป และหางของเขาก็กลายเป็นงู ศรีษะของเขาก็กลายเป็นมังกรซึ่งเช่นเดียวกับจักรพรรดิสุยในภาพมิติของเขา
ไม่เพียงแค่นั้น มหาสมุทรแห่งจิตของเขาได้ถูกสร้างขึ้นรอบๆ พระราชวังเปลวอัคคี ในเวลาเดียวกัน
ก็มีต้นไม้เพลิงก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นอยู่ด้านหน้าของพระราชวัง
เจ้าเด็กซินหวงที่เกาะอยู่บนไหล่ของซ่งหยูนั้นแสดงอาการตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง กับสิ่งที่ซ่งหยูสามารถมองเห็นภาพพระราชวังเปลวอัคคี, ต้นไม้เพลิง และจักรพรรดิสุยได้ภายในระยะอันรวดเร็ว
เจ้าเด็กซินหวงครุ่นคิดแม้ว่าด้วยเชื้อสายเผ่าพันธุ์ของซ่งหยูจะต่ำต้อย หากแต่ความรักในเผ่าพันธุ์ของตนเองนั้นเทียบได้กับสายเลือดของเผ่าพันธุ์สวรรค์ในอดีตได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด!!!
.................................................................................................................................